คำเทศนาเรื่อง การเพิ่มพูน
สวัสดีปีใหม่ครับพี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน ในเช้าวันนี้เราพบกันในสัปดาห์แรกของปี ค.ศ. 2014 ซึ่งในปีนี้ทางคริสตจักรฯได้ให้ Them หรือได้ให้หัวข้อที่จะใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อนพระราชกิจของพระเจ้าตลอดทั้งปีในปี 2014 นี้นั่นก็คือ ปีแห่งการเพิ่มพูน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Year of Increased ซึ่งโดยแท้จริงแล้วในการเดินกับพระเจ้าของพวกเราทุกๆคน ถ้าพี่น้องอ่านในพระคำของพระเจ้าอย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณากันให้ดีๆ
พี่น้องก็จะพบว่า พระเจ้านั้นปรารถนาที่จะให้เราและเห็นเราทั้งหลายนั้น ได้มีการเพิ่มพูนหรือมีการยกระดับในมิติต่างๆที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นในทุกๆปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 1 ) ความเชื่อความไว้วางใจ 2 ) ความรักความศรัทธา 3 ) การเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าและอื่นๆอีกมากมาย ที่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ปรารถนาที่จะให้เราและเห็นทั้งหลายนั้น ได้มีการเพิ่มพูนหรือมีการยกระดับในมิติต่างๆที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทุกๆปี
อาจจะกล่าวได้ว่า ยิ่งเราเดินกับพระเจ้าองค์นี้มากเท่าไหร่ นานมากเพียงไร เรายิ่งจะต้องเห็นภาพอีกทั้งเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าองค์ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ให้เราบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่า “สิ่งที่อาจารย์ได้พูดมาทั้งหมดนั้นนั่นคือการอารัมภาบทเท่านั้นยังไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าเลย”
และในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม สดด.107:38 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ “พระองค์ทรงอวยพรและพวกเขาก็ทวีจำนวนขึ้น” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “การเพิ่มพูน” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่น้องที่รักครับ Them หรือหัวข้อที่คริสตจักรฯ ใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อนในพระราชกิจของพระเจ้านั้นในแต่ละปีนั้น ขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจตรงกันนะครับว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการที่ใครคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่มันเกิดขึ้นมาจากการที่ผู้รับใช้ของพระเจ้ากับพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรฯนั้น ได้ร่วมใจกันอธิษฐานกับพระเจ้าอีกทั้งหมั่นคอยสังเกต
คำถามคือว่า สังเกตอะไร ? สังเกตในที่นี้คือ หมั่นคอยสังเกตในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณว่าพระเจ้านั้นจะให้ Sing or Signal หรือส่งสัญญาณอะไรบางอย่างนั้นให้กับเรา และในระหว่างที่ผมกำลังรอคำตอบในเรื่องนี้จากพระเจ้านั้น พระเจ้าก็ส่งสัญญาณนี้ให้กับผมผ่านทางผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ นั่นก็คือท่าน อ.สวนีย์
เมื่อครั้งล่าสุดที่ท่าน อ.สวนีย์ ได้มาเป็นพระพรให้กับคริสตจักรฯแห่งนี้ อ.สวนีย์ ท่านได้พูดขึ้นมาในระหว่างที่ท่านกำลังสอนพระคำของพระเจ้าว่า ในปีหน้าที่คริสตจักรฯแห่งนี้ น่าจะกำหนดหัวข้อที่ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนของคริสตจักรฯในปีหน้าให้เป็นปีแห่งการเพิ่มพูน ผมจึงมีความเชื่ออย่างมั่นใจได้เลยว่า พระเจ้าได้ทรงตอบคำอธิษฐานของผมผ่านทางท่าน อ.สวนีย์ เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
ผมอยากให้ที่ประชุมดูพระคำของพระเจ้าด้วยกันสัก 3 ข้ออยู่ในหนังสือ ปฐก.1:28 ตรัสดังนี้ว่า “พระเจ้าทรงอวยพรแก่เขา ตรัสกับเขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้ากับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด”
พระคำของพระเจ้าข้อที่สองอยู่ในปฐก.9:1-3 ตรัสดังนี้ว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินสัตว์ป่าทั้งปวงบนแผ่นดินโลก บรรดานกในอากาศ สิ่งทั้งปวงที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก และบรรดาปลาในทะเล จะเกรงกลัวพวกเจ้าและหวาดกลัวต่อพวกเจ้า พวกมันจะถูกมอบอยู่ในมือพวกเจ้าสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของพวกเจ้า เช่นเดียวกับพืชผักเขียวสด เรายกทุกสิ่งให้แก่พวกเจ้า”
และพระคำของพระเจ้าข้อสุดท้ายอยู่ในปฐก. 12:2 ตรัสดังนี้ว่า “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง เราจะอวยพรเจ้า ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต และเจ้าจะเป็นแหล่งพระพร”
พี่น้องที่รักครับพระคำของพระเจ้าทั้ง 3 ข้อนี้ ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่เพิ่มพูนให้กับ อาดำ โนอาห์และอับราฮัม ( ซึ่งทั้ง 3 ท่านนี้ท่านเป็นบรรพชนของเราในความเชื่อนะครับพี่น้อง )
พระคำของพระเจ้าทั้ง 3 ข้อนี้ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่เพิ่มพูนให้กับ อาดำ โนอาห์และอับราฮัม เพื่อที่จะให้เขานั้นจะเป็นผู้ปกครองโลกและในทุกๆสรรพสิ่ง ไม่ใช้ให้โลกและทุกๆสรรพสิ่งนั้นเป็นผู้ปกครองเขานะครับ แต่เพื่อที่จะให้เขานั้นเป็นผู้ปกครองโลกและในทุกๆสรรพสิ่ง
ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ ดาวิดจึงได้พูดเอาไว้ใน สดด.107:38 “ พระองค์ทรงอวยพรและพวกเขาก็ทวีจำนวนขึ้น ” ซึ่งการเพิ่มพูนหรือการทวีจำนวนมากขึ้นนี้บางคนบอกว่าดูเหมือนว่า จะเป็นการเพิ่มพูนในเชิงฝ่ายกายภาพเสียมากกว่า เช่น การเพิ่มพูนทางการเกษตร , การเพิ่มพูนทางจำนวนหรือปริมาณเป็นต้น
ผมขอให้เราได้มาดูพระคำของพระเจ้าด้วยกันสัก 3 ข้อๆแรกอยู่ใน ยน.15:16 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเราแต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านจะไปเกิดผล” อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า “พระเจ้าแต่งตั้งเราทั้งหลายไว้ให้ท่านนั้นไปเป็นผู้เพิ่มพูน”
คำถามก็คือว่า เพิ่มพูนอะไร ? พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเริ่มต้นงานรับใช้ของพระองค์ในโลกนี้ พระองค์ทรงเรียกสาวกรุ่นแรกของพระองค์ด้วยถ้อยคำว่าอะไรพี่น้องยังจำได้ไหมครับ
มก.1:17 ทำให้เราทราบว่า คำบัญชาแรกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเรียกสาวกรุ่นแรกของพระองค์ด้วยถ้อยคำที่ว่า" ท่านจงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดังหาปลา "
ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าใน มธ.28:18-20พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้วเหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน"
พระคำของพระเจ้าใน มธ.28:18-20ทำให้เราทราบว่า นี่คือคำบัญชาสุดท้าย
ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้มอบให้กับเรา ซึ่งคำบัญชาแรกและคำบัญชาสุดท้ายที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ตรัสนั้นทำให้เราเข้าใจว่า พระเจ้าต้องการให้เรานั้นเป็นผู้ที่เพิ่มพูนหรือเป็นผู้ที่เกิดผลในมิติของการเก็บเกี่ยวนำดวงวิญญาณ
แต่การเกิดผลในการเป็นผู้ครอบครองในฝ่ายกายภาพ ที่พระเจ้าได้มอบให้ในสมัยของอาดำ โนอาห์กับอับราฮัมนั้นยังคงอยู่ไหมครับ ? เวลานี้คนยิวเป็นจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
พี่น้องลองคิดดูนะครับว่าประเทศอิสราเอลซึ่งครั้งหนึ่งประเทศนี้เคยหายไปจากแผนที่โลกนะครับ และพวกเขาสามารถที่จะกลับมาเป็นประเทศได้ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งพี่น้องคิดว่ามันธรรมดาไหมครับ ? พวกเขาจะต้องออกแรงอย่างมากกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และพวกเขาจะต้องออกแรงอย่างมากกับประชาคมโลกหรือ UN ในการให้อิสราเอลนั้นได้มีประเทศขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นผลในการเป็นผู้ครอบครองในฝ่ายกายภาพที่พระเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ในพระคัมภีร์เดิมนั้นยังคงอยู่ แต่พระคำของพระเจ้าที่ตรัสไว้ในภาคพันธสัญญาใหม่นั้นพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่เพิ่มพูนหรือเป็นผู้ที่เกิดผลในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ
และการที่เราทั้งหลายจะเป็นเพิ่มพูนหรือเกิดผล ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณนี้ได้นั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ได้ทรงให้วิธีการนั้นแก่เรา นั่นก็คือให้เราทั้งหลายนั้นเป็นเหมือนกับคนหาปลา
คำถามก็คือว่า คนหาปลานั้นเขาจะต้องทำอะไรบ้างครับ เขาจะต้อง :
1 ) เตรียมอวน เตรียมเรือ , 2 ) รู้ธรรมชาติของน้ำ , 3 ) รู้แหล่งที่ปลาอาศัยอยู่ , 4 ) เอาเรือออกทะเล , 5 ) หย่อนอวนลงทะเล ลากอวนขึ้นเรือและอื่นๆอีกมากมาย แต่กระบวนการที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เขาจะต้องออกไปจับปลา เขาจะต้องออกไปปฏิบัติ เขาจะต้องออกไปลงมือทำ
เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ ถ้าเราจะเพิ่มพูนผลผลิตในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือเพิ่มพูนจำนวนผู้เชื่อในคริสตจักร เราก็จะต้องลุกขึ้นและก้าวออกไป...................ไม่ใช่
1 ) ให้เรานั้นอธิษฐานกับพระเจ้าเพียงอย่างเดียวแล้วนั่งดูพระเจ้าทำงาน
2 ) รอให้คนเดินเข้ามาในคริสตจักร ถ้าเรารอให้คนเดินเข้ามาในคริสตจักรฯ พี่น้องคิดว่ามันจะเพิ่มพูนไหมครับ
สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า มีผู้รับใช้พระเจ้าบางคนพูดในทำนองที่ว่า คริสตจักรของเขานั้นไม่ได้เน้นที่จำนวน ซึ่งโดยแท้จริงผมเองก็อยากจะพูดกับเขาว่า คริสตจักรใจสมานสมุทรสงครามเองก็ไม่ได้เน้นที่จำนวน แต่เราเน้นในการที่เรานั้นสัตย์ซื่อในการก้าวออกไปทำตามพระมหาบัญชาของพระเจ้ามากเป็นที่สุดอาเมนไหมครับพี่น้อง
ดังนั้นการที่พี่น้องและผม จะก้าวออกไปทำตามพระมหาบัญชาของพระเจ้านั้น เราก็จะต้องก้าวออกไปในที่ๆปลานั้นอาศัยอยู่ ซึ่งในที่นี้ (ปลา) ในความหมายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นก็คือใครครับ ? คือคนนั่นเอง และแหล่งที่ผู้คนอาศัยอยู่นั่นก็คือ ในชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน , ที่ทำงาน , โรงเรียน , โรงงาน , โรงพยาบาล , ตลาด , เพื่อนบ้านใกล้เคียง , รวมถึงในที่ๆคนยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้วย
เมื่อเราพบปลาหรือคนแล้ว เราก็จะต้องเรียนรู้ในการที่จะวางเบ็ดหรือเหวี่ยงแห และหรือเรียนรู้ที่จะต้องหย่อนอวนลงตรงไหนอย่างไร ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือ การที่เราคิดอ่านใคร่ครวญ ว่าเรานั้นจะหว่านข่าวประเสริฐหรือแบ่งปันในเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าให้กับเขานั้นได้ฟังด้วยวิธีการอย่างไร
ยน.4 ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้ทรงพบกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งที่บ่อน้ำของยาโคบ สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั่นก็คือ พระองค์ทรงวางชีวิตของพระองค์ลงในการที่จะสนทนากับหญิงชาวสะมาเรียคนนั้น
สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า ปลานั้นมันธรรมชาติของมัน มนุษย์ก็มีธรรมชาติของมนุษย์ และหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์นั้น นั่นก็คือ ภาระปัญหาที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน
ปัญหาที่ผู้หญิงที่พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้ในหนังสือ ยน.4 มีนั่นก็คือ ความอึดอัดใจต่อเรื่องราวในอดีตของเธอ เธอจึงมีความรู้สึกถึงความบกพร่องในฝ่ายจิตวิญญาณ อีกทั้งเธออยากจะสะสางความอึดอัดใจนี้ สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่า หญิงชาวสะมาเรียคนนี้รู้ดีว่า มีเพียงพระเมสสิยาห์เท่านั้นจริงๆที่จะเติมเต็มในสิ่งนี้ให้กับเธอได้
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงบอกกับนางว่า พระองค์ไม่เพียงแต่จะเติมเต็มในสิ่งเธอขาดอยู่ให้เท่านั้น แต่พระองค์สามารถที่จะให้อภัย อีกทั้งให้ชีวิตใหม่แก่เธอได้ เพราะพระองค์คือผู้ที่เธอนั้นตามหามาตลอดชีวิต องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพูดกับนางอย่างนี้ คำถามคือว่า.....นางสนใจในสิ่งที่พระองค์พูดกับนางไหม.....นางก็ยังไม่สนใจ
นอกจากนางจะไม่สนใจแล้ว หญิงชาวสะมาเรียคนนี้เธอยังกล้าที่จะสนทนาในหลักศาสนศาสตร์กับพระเยซูต่อไปด้วย จนกระทั่งพระเยซูบอกว่า ให้นางไปตามสามีของนางมาหน่อยสิ นางจึงบอกพระเยซูว่านางไม่มีสามี พระเยซูจึงบอกนางว่าใช่นางไม่ได้มีสามีเดียวแต่นางมีสามีหลายคน
พอนางได้ยินเท่านั้นแหละ นางเชื่อเลยว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งถ้าพี่น้องอ่านพระคำของพระเจ้าต่อไป พี่น้องก็จะพบว่าไม่เพียงแต่นางเท่านั้นนะครับที่ได้รับความรอด
พระคำของพระเจ้าใน ยน.4:41บอกกับเราว่ายังมีชาวสะมาเรียได้รับความรอดเพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการที่จะสอนเราผ่านบทเรียนนี้ในเช้าวันนี้นั้นมี 3 บทเรียนด้วยกัน
บทเรียนที่ 1 นั่นก็คือว่า พี่น้องมีเป้าหมายที่จะนั่งลงอย่างมีคุณภาพในการที่จะแบ่งปันเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าให้กับใครสักคนหนึ่งที่จะได้ยินได้ฟังหรือยังในปีนี้
บทเรียนที่ 2 นั่นก็คือว่าการจับปลาหรือจับคนในฝ่ายวิญญาณเราจะต้องเรียนรู้วิธีการอีกทั้งเรียนรู้ที่จะอดทนและรอคอยให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
พี่น้องคิดว่าเวลาที่เราจะจับปลานั้น อยู่ๆเราหย่อนเบ็ดลงไปแล้วเราจะได้ปลาเลยไหมครับ พวกเขาต้องเรียนรู้ในการที่จะต้องอดทนรอคอยให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
คนตกปลาเขาเปลี่ยนเหยื่อใหม่ได้ไหมครับ แต่เป้าหมายของเขาคืออะไรครับเปลี่ยนไหมครับ ? รอให้ปลานั้นมันกินเหยื่อ
ยน.4ทำให้เราเรียนรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงพูดคุยกับหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ด้วยวิธีการพูดคุยแบบเป็นธรรมชาติ แต่นางเปิดใจไหมครับ ? เมื่อนางไม่เปิดใจแล้วเป้าหมายของพระเยซูคริสต์เจ้าที่จะให้นางได้รับความรอดนั้นเปลี่ยนไหมครับ ? แต่วิธีการของพระองค์นั้นเปลี่ยน
เปลี่ยนจากการพูดคุยด้วยวิธีแบบเป็นธรรมชาติ เป็นพระเยซูพูดกับนางว่าให้นางไปตามสามีของนางมาหน่อยสิ นางบอกพระเยซูว่านางไม่มีสามี พระเยซูบอกว่าใช่นางไม่ได้มีสามีเดียวแต่นางมีสามีหลายคน และคนที่อยู่ในปัจจุบันเนี่ยก็เป็นคนที่หกแล้วพอนางได้ยินเท่านั้นแหละ นางเชื่อเลยว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะบอกกับเราว่ากับปลาบางตัว ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือคน ที่เรามีเป้าหมายในการที่จะแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเจ้าให้กับเขาฟังอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อจิตใจของเขาเองนั้นยังไม่พร้อม ที่จะเปิดรับในเรื่องราวขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นก็ไม่เป็นไร แต่เป้าหมายของพี่น้องในการที่จะให้เขานั้นได้รับความรอดอย่าเปลี่ยน
แต่สิ่งที่พี่น้องควรจะเปลี่ยนนั้นคือวิธีการ ซึ่งกับคนบางคนพี่น้องอาจจะนำเขามาผ่านกิจกรรมของคริสเตียน กับคนบางคนพี่น้องอาจจะนำเขามาด้วยการพาเขาไปค่ายของคริสตจักรฯ คนบางคนพี่น้องอาจจะนำเขามาด้วยการที่พี่น้องนั้นได้เข้าไปปลอบประโลมใจ กับคนบางคนอาจจะถูกชวนมาโบสถ์ในวันอาทิตย์แล้วพอฟังคำเทศนาแล้ว พระคำของพระเจ้านั้นแตะต้องสัมผัสจิตใจของเขา กับคนบางคนอาจจะมาเพราะเขาอยากหายโรคหรือจะอะไรก็ตาม
สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่าพี่น้องจะต้องหา Need หรือหาความต้องการของเขานั้นให้เจอ สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้ต้องการที่จะมารับใช้ความต้องการของพระองค์ แต่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อรับใช้ความต้องการของผู้คน
ขอพระเจ้าเมตตาที่พี่น้องจะเห็นถึงภาระปัญหาของคนที่พี่น้องกำลังประกาศหรือเป็นพยานอยู่ในเวลานี้ ว่าเขานั้นมีความต้องการที่จะให้พระเจ้านั้นช่วยในปัญหาอะไร เหมือนกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำของยาโคบในตอนนี้
และสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการที่จะสอนเราผ่านบทเรียนนี้ในเช้าวันนี้
ประการที่ 3 นั่นก็คือ อย่าให้เราเป็นคนที่จับปลาผิดน้ำผิดเวลา ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระคำของพระเจ้าใน ยน.4 : 39-42 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
เมื่อปลาซึ่งในที่นี่ก็คือคนเขาพร้อมที่จะงับเหยื่อฝ่ายวิญญาณหรือเมื่อเขาพร้อม และหรือเมื่อเขามีความต้องการ ที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอดในชีวิตนั้น ก็ให้เขารับเลยเหมือนกับเหตุการณ์ในตอนนี้ หรือถ้าเขาต้องการที่จะรับบัพติสมาในน้ำเหมือนกับขันทีชาวเอธิโอเปีย ที่พระคำได้มีการบันทึกเอาไว้ใน กจ.8:26 ฟิลิปก็อธิบายความสั้นๆแล้วก็ให้เขานั้นรับบัพติสมาในน้ำนั้นเลย
สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือบางทีปลานั้นติดเบ็ดแล้ว แต่คนตกนั้นแหละไม่พร้อมที่ชักรอกกลับมา ผมกำลังสื่ออะไร ? สิ่งที่ผมกำลังสื่อนั่นก็คือว่า ปลาในที่นี้ก็คือคนเขาพร้อมแล้วที่จะเชื่อในพระเยซู
แต่อวน , แหหรือเบ็ดบางทีมันไม่พร้อม ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือพวกเราเนี่ยแหละที่ยังไม่พร้อม เช่น ปลานั้นหรือคนนั้นพร้อมที่จะเชื่อในพระเยซูแล้ว.....แต่เรากับบอกว่า 1 ) อย่าเพิ่งๆๆเพราะฉันยังเล่าเรื่องพระเยซูยังจบ 2 ) คำพยานฉันยังมีอีกเยอะ เดี๋ยวๆๆให้ฉันเล่าให้จบก่อน 3 ) ต้องไปรับเชื่อกับอาจารย์ที่โบสถ์ อย่างนี้เป็นต้น........ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า อย่าเป็นคนอย่างนั้น
พี่น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเลือกเราทั้งหลายเอาไว้เมื่อ 2014 ที่ผ่านมา พระองค์ทรงเลือกเราทุกคนให้ไปเกิดผลหรือเลือกเราทุกคนให้เป็นผู้เพิ่มพูนประชากรในฝ่ายจิตวิญญาณ และในปีนี้คริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม ก็ได้ตั้ง Them หรือหัวข้อที่ใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อนว่า “ปีแห่งการเพิ่มพูน” ซึ่งผมเองก็ต้องยอมรับกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า ผมเองไม่สามารถที่จะนำข่าวประเสริฐไปถึงคนใน จ.สมุทรสงคราม นี้ได้ด้วยเพียงแค่ลำพังหรือด้วยคนเพียงแค่หยิบมือเดียว
แต่ถ้าพี่น้องทุกคนต่างมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบนี้ร่วมกัน ทั้งการเข้ามามีส่วนร่วมในการอธิษฐานขอกับพระเจ้า ทั้งเข้ามามีส่วนในการออกทำพันธกิจร่วมกัน ทั้งประกาศทั้งเป็นพยานส่วนตัว ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าผลผลิตในการเพิ่มพูนนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน