การอัศจรรย์

คำเทศนาเรื่อง การอัศจรรย์

ในเช้าวันนี้ให้เราเปิดพระวจนะของพระเจ้าไปที่ ยน. 10 : 41 และให้ที่ประชุมอ่านอย่างช้าๆ พร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ และกล่าวว่า ยอห์นมิได้ทำการอัศจรรย์ใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง ”และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “สุดยอดการอัศจรรย์” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

            พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ถ้าพี่ - น้องฟังข่าวอ่านหนังสือพิมพ์ พี่ - น้องก็จะพบว่าคนที่ไม่ได้รู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขาตื่นเต้นกับการอัศจรรย์ที่เกิดอยู่ 2 อย่างด้วยกันในตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาเพราะมันเป็นข่าวมาโดยตลอด

            ข่าวแรกนั่นก็คือ ตุ๊กแกห้อยศีรษะลงมาตามแนวโน้มถ่วงของโลกและทิ้งขาหน้าลงมาอยู่ในท่าพนมมือไหว้พระในพิธีสืบชะตา เรื่องของเรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละ

แต่ที่มันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็เพราะ คนที่มีศาสนาแต่เปลือกนอกเขาเอาไปตีเป็นหวยเป็นเบอร์แล้วมันดันถูกหวยถูกเบอร์ขึ้นมาและหนังสือพิมพ์ก็เอาข่าวนี้ไปเล่นก็เลยดังขึ้นมา คราวนี้ใครไปเจอตุ๊กแกห้อยศีรษะลงมาที่ไหนก็ออกข่าวหน้าหนึ่งว่าพบอีกแล้ว 1. ตุ๊กแกซึ้งธรรมะ 2. ตุ๊กแกไหว้พระเหมือนคน 3. ตุ๊กแกให้โชค

ผมขอบคุณพระเจ้าเพราะว่ามีวันหนึ่ง ได้มีคนที่รู้จริงออกมาบอกว่า แท้จริงแล้วขาคู่หน้าของมันเป็นแผล ดังนั้นมันจำเป็นจะต้องทิ้งตัวของมันลงมาในลักษณะอย่างนี้ เพื่อเป็นการรักษาแผลก็เท่านั้นเองส่วนใครจะมีเหตุผลไปมากกว่านี้ก็รู้ๆกันอยู่

            ข่าวที่สองนั่นก็คือ ถ่ายติดวิญญาณ ซึ่งตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเรื่องนี้มีให้เห็นโดยตลอด ล่าสุดลูกชายคนขับสามล้อได้เอาภาพถ่ายที่ตนเองได้ถ่ายเอาไว้ ที่ อ. พระปะแดง จ. สมุทรปราการ เข้าไปโพสต์ไว้ในWeb และบอกว่าวิญญาณของพ่อเขาเนี่ย (ซึ่งก็คือคนขับสามล้อ) ยังยืนดูรถสามล้อของตัวเองอยู่เลย

แต่พอวันรุ่งขึ้นก็มีลุงแก่ๆคนหนึ่งมาเลย บอกว่าคนที่อยู่ในรูปภาพและเป็นข่าวในตอนนี้นั้นคือผม มาไม่มาเปล่า คุณลุงแกใส่ชุดเดียวกับที่แกถูกถ่ายในรูปนั้นมาให้สื่อมวลชนได้ดูด้วย แต่ภรรยากับลูกชายคนขับสามล้อที่เสียชีวิตไปเชื่อไหมครับ ? ไม่เชื่อ

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า โลกใบนี้เต็มไปด้วยการอัศจรรย์ซึ่งทัศนคติของคนในเรื่องนี้อาจจะจะแบ่งออกเป็นหลายขั้วด้วยกัน บางคนก็ยอมรับอย่างสุดโต่ง นั่นก็แปลว่าเชื่อ

บางคนก็ไม่ยอมรับหรือถ้าจะยอมรับ แต่ก็จะต้องมีการพิสูจน์ นั่นก็แปลว่าไม่เชื่อ

แล้วคริสตเตียนเรายอมรับหรือไม่ยอมรับ ซึ่งเดี๋ยวเราจะกลับมาพูดกันในประเด็นที่ว่านี้ แต่ 2 ประเด็นเมื่อสักครู่ ทั้งเรื่อง “ตุ๊กแกพนมมือ” หรือ “ถ่ายติดวิญญาณ” นั้นผมขอเรียกว่าเป็นการ “โม้อัศจรรย์” ซะมากกว่า

โม้การอัศจรรย์ต่างจากการเล่นกลไหม ? และโม้การอัศจรรย์หมายความว่าอะไร ?

โม้การอัศจรรย์ หมายความว่า มันไม่ใช่การอัศจรรย์ แต่คุณพยายามที่จะทำให้มันเป็นการอัศจรรย์ ซึ่งอันนี้มนุษย์เรารวมทั้งผู้ที่เป็นคริสเตียนด้วยจะต้องมีจิตวินิฉัยที่เป็นปกติ

กลับมาที่พระวจนะคำของพระเจ้า ถ้ามีคนถามเราว่าคริสเตียนเชื่อในเรื่องของการอัศจรรย์ไหม ? เราจะต้องแสดงทัศนะในเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่าเราไม่เชื่อการอัศจรรย์ที่มาร ซาตานทำ

แต่เราเชื่อการอัศจรรย์ที่พระเจ้าหรือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเป็นผู้กระทำ และสาเหตุที่เราเชื่อเช่นนี้นั่นก็เพราะว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่

อาจจะกล่าวได้ว่า เนื้อหาสาระในเรื่องของการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าหรือที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้น ครอบคลุม 1 / 10 ของเนื้อหาสาระของพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มก็ว่าได้ เฉพาะพระคัมภีร์ใหม่นะครับ พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า มีการอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้งสิ้น 35 ครั้งด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เราจะต้องเชื่อเรื่องการอัศจรรย์

โดยเฉพาะอัศจรรย์ครั้งแรก ที่พระเจ้ากระทำในพระคัมภีร์ใหม่นะครับ ไม่ใช่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำ นั่นก็คือ การที่พระเจ้าได้ให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้เสด็จมาบังเกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารีย์ อันนี้เป็นการอัศจรรย์ที่ถือได้ว่าเป็นหลักข้อเชื่อที่สำคัญของคริสตชน ซึ่งถ้าเราบอกว่าเราเชื่อการอัศจรรย์ แต่ไม่เชื่อในข้อที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าศาสนาคริสตก็ไม่เหลืออะไรแล้ว

ดังนั้นทัศนคติของเราในเรื่องนี้ต้องชัดเจน คือ เราเชื่อในการอัศจรรย์ที่พระเจ้าหรือที่องค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ อย่างไรก็ตามในเช้าวันนี้ขอให้พี่ - น้องได้เข้าใจต่อไปอีกด้วยว่า

การอัศจรรย์ ที่พระเจ้าหรือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้น มันแตกต่างจากการอัศจรรย์ที่มนุษย์ในโลกนี้กระทำ หรือแม้กระทั่งมันต่างจากการที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนในสมัยนี้ได้กระทำ

พี่ - น้องที่รักครับ การอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้นมีหลักอยู่ง่าย 4 ข้อด้วยกัน

ข้อที่ 1 อยู่ใน ลก. 10 : 2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ทุ่งนาก็เหลืองอร่ามแล้วแต่คนงานอย่างน้อยอยู่” งานของพระเยซูน้อยหรือมากครับพี่น้อง

ดังนั้นการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ไม่มีอะไรจะทำ ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ ที่บางคนไม่มีอะไรจะทำก็เปิดสำนักขึ้นมาหรือตั้งโต๊ะขึ้นมา

ข้อที่ 2 อยู่ใน มก. 2 : 1 - 12 ในหัวข้อ”พระเยซูทรงรักษาคนง่อย” พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า “คนเป็นจำนวนมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่แทบจะยืน” แต่พระเยซูทรงรักษากี่คนครับ รักษาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ?

สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่า พระองค์จะไม่ทำอะไรการอัศจรรย์อย่างเละๆเทะๆหรือสะเปะสะปะ

ข้อที่ 3 อยู่ใน มก. 2 : 12 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้า” พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า การอัศจรรย์ไม่ได้เป็นเหตุทำให้คนนั้น ต้องมาสรรเสริญพระองค์ แต่พวกเขาสรรเสริญใครครับ ? พระเจ้า

น่าเสียดายตรงที่ว่า เวลานี้มีคริสเตียนหลายคน ซึ่งบางคนก็เป็นถึงผู้รับใช้ของพระเจ้าเขาได้ทำการอัศจรรย์ต่างๆ ในนามของเขาหรือในนามขององค์การ, องค์กรหรือหน่วยงานของเขาซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่เคยที่จะทำอะไรอย่างนั้น

ข้อที่ 4 อยู่ใน ยน. 11 : 25 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้น และมีชีวิตผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังมีชีวิตอีก ”

ซึ่งก่อนหน้านี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสอยู่กับใครครับ ? มารธา

ต่อมานางมารีย์ทราบข่าวว่าพระเยซูเสด็จมา เขาก็ตามมาในภายหลังแล้วก็พูดกับพระเยซู “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย ”

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสกับนางมารีย์และมารธาว่า “มารธาเอ๋ยเราไม่ได้มาเพื่อร่วมไว้อาลัยในพิธีศพ แต่เรามาเพื่อเป็นเหตุให้คนทั้งปวงนั้นได้เป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังมีชีวิตอีกเจ้าเชื่อเช่นนั้นไหม ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” และสักพักหนึ่งพระองค์ก็ตรัสว่า “เราซารัสเอ๋ยออกมาเถิด”

พี่ - น้องที่รักครับ คำพูดนี้ชี้ให้เราเห็นว่า

1.การอัศจรรย์ไม่ใช่ทำไปเพราะคุณขอมา หรือทำตามลมตามแล้ง และหรือทำไปเพื่อแก้ข้อสงสัย เหมือนกับคนที่เขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้นทำกัน

2.การอัศจรรย์ทุกครั้งนั้นต้องมีเป้าหมาย ที่จะต้องชี้ให้เรานั้นได้เห็นอะไรบางอย่าง และเป้าหมายของการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในทุกๆครั้ง ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั้นนั้น อัครทูตยอห์นได้กล่าวสรุปเอาไว้ได้อย่างดีมากๆ อยู่ในยน. 20 : 30 - 31 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ดังนั้นทัศนคติของคริสเตียนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เราจะต้องเชื่อการอัศจรรย์ไหมครับพี่ - น้อง ? เราจะต้องเชื่อการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า

อาจจะกล่าวได้ว่า คริสเตียนเราพอได้ยินอะไรหรือได้ฟัง อะไรมานั้น ตัวอย่างอย่างเช่น เรื่องตุ๊กแกพนมมือหรือเรื่องถ่ายติดวิญญาณ ที่ผมได้กล่าวไปเมื่อตอนต้น

ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน พี่ - น้องจะต้องชั่งใจหรือมีการวิเคราะห์ พี่ - น้องจะต้องมีสติปัญญา หรือมีสายตาในฝ่ายวิญญาณของพระเป็นเจ้า ที่จะจำแนกแยกแยะในเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังมา และหรือพี่ - น้องจะต้องมีจิตวินิจฉัยเพราะอะไร ?

เพราะคนบางคนชอบเล่าเกินจริง เพราะบางคนเล่าสิ่งที่ไม่เป็นอัศจรรย์ให้เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ที่สำคัญนิสัยของมุนษย์เรามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ

พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

ประการที่สำคัญที่สุด ไม่ว่ามีการอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า พี่ - น้องจะต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือวัดเสมอ และพระคำของพระเจ้าในกจ. 8 : 9 ก็ได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ว่าให้เราระวังการอัศจรรย์ที่เป็นของปลอมซึ่งเดี๋ยวนี้ระบาดมาก ดังนั้นทัศนคติของคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องการอัศจรรย์นี้คือเราเชื่อแต่ไม่ใช่เชื่อแบบพร่ำเพรื่อเพ้อเจ้อไม่ใช่เชื่อแบบขาดเหตุขาดผล

            อย่างไรก็ตามขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจด้วยเถิดว่า ในสังคมที่เราอยู่นั้น ก็มีคนที่มีทัศนคติที่ไม่ยอมรับหรือไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์อยู่ในสังคมนี้ด้วย รวมทั้งก็มีคนที่มีทัศนคติที่ยอมรับหรือเชื่อว่ามีการอัศจรรย์อยู่แต่จะต้องมีการพิสูจน์อยู่ในสังคมนี้ด้วยเช่นกัน

            สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องจากนี้ไปไม่ใช่การกล่าวโต้แย้งกับคนสองกลุ่มเมื่อสักครู่นี้ แต่สิ่งที่ผมอยากที่จะแบ่งปันกับพี่น้องนั่นก็คือว่า

            คนในสมัยนี้เขาพยายามที่จะ   1. รู้   2. วิเคราะห์   3. ไขข้อข้องใจ 4.หาเหตุและผลมาอธิบายให้ได้ 5. ต้องมีข้อมูลอ้างอิงถึงจะเชื่อถือได้

            อะไรก็ตามที่อธิบายไม่ได้ เข้าใจยากหรือไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีที่มาที่ไป พิจารณาแล้วมันไม่เคลียร์ มันไม่โปร่งใส ขาดความน่าเชื่อถือและอื่นๆอีกมากมาย เขาถือว่างมงาย

            แต่ความจริงเหนือความจริงที่ผมพบก็คือว่า มีนักวิทยาศาสตร์มากมายในโลกใบนี้ ที่เขาต้องการจะไขความจริงหรือความลึกลับที่เป็นปริศนามากหลายของโลกใบนี้ แต่ก็มีหลายอย่างที่พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ยังไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้เลยพี่ - น้องว่าจริงไหม ?

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าจักรวาลนี้ยังมีความลึกลับได้

  1. แล้วทำไมความเชื่อในพระเจ้าของคริสเตียนถึงมีความลึกลับไม่ได้
  2. ความเชื่อในพระเจ้าของพวกคริสเตียน มันก็น่าจะมีความลึกลับอะไรมากกว่าโลกนี้อีกหลายเท่า

ด้วยเหตุนี้ อ.เปาโล จึงเขียนเอาไว้ว่า “ความลึกลับในพระศาสนาของเรานั้นลึกล้ำจริงๆ” ขอบพระคุณพระเจ้า

เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเรามีโทรศัพท์มือถือใช้กันไหมครับ ? ปัจจุบันเรามีทั้ง I Phone , I Pad และในอนาคตบริษัทที่ผลิต ITเหล่านี้ก็คงจะยังมีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อะไรต่อมิอะไรอีกหลายๆอย่างออกมา ให้เราได้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาพี่ - น้องว่าจริงไหม ?

สิ่งที่ผมจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า เมื่อมนุษย์ ยังไม่สามารถที่จะกำหนดความสามารถของมนุษย์ด้วยกันเองให้ยุติการค้นคว้าสิ่งใหม่ๆได้เลย

และมนุษย์จะยุติความสามารถหรือความลึกลับและหรือการอัศจรรย์ของพระเจ้าได้อย่างไร ?

            พี่ - น้องทราบไหมครับว่า เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองผลิตเครื่องบินขึ้นมา ตอนแรกเครื่องบินมันไม่สามารถ ที่จะบินขึ้นบนท้องฟ้าได้ยังที่เราเห็นในปัจจุบันนะครับ    สาเหตุเพราะมันมีพลังงานต้านแรงโน้มถ่วง( Gravity ) ของโลกดันอยู่ แต่วันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบกฎของอากาศพลศาสตร์ ( Aerodanamic ) ซึ่งมันเป็นพลังงานที่สูงกว่าแรงดันของโลก พลังงานนี้เองเป็นเหตุทำให้เครื่องบินสามารถที่จะยกตัวเองและลอยขึ้นได้

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่าในเมื่อมันยังมีพลังงานที่สูงกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกได้ พลังงานของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกซึ่งเหนือธรรมชาติมันจะไม่สูงกว่าหรือ

เมื่อกล่าวพระคำของพระเจ้ามาถึงตรงนี้ ทำให้ผมคิดถึงพระคำของพระเจ้าใน โยบ.9 : 3 ขอให้ที่ประชุมเปิดพระคำของพระเจ้าไปที่โยบ 9 : 3 อ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ”ถ้าคนหนึ่งคนใดปรารถนาจะโต้แย้งกับพระองค์ในพันครั้งผู้นั้นก็ตอบพระองค์ไม่ได้สักครั้งเดียว ” ส่วนฉบับที่ผมใช้อยู่เขียนไว้ดังนี้ว่า “ท่านผู้ที่โต้แย้งพระเจ้าท่านจะชนะพระองค์ได้หรือ”

มาถึงตรงนี้อาจจะกล่าวได้ว่า คริสเตียนกับความเชื่อในเรื่องการอัศจรรย์ของพระเจ้านั้นมันได้ถูกผูกติดกันเอาไว้อย่างชนิดที่เรียกว่า แยกกันไม่ออกเลยก็ว่าได้

ดังนั้นเราจะต้องเชื่อในเรื่องการอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถที่จะอธิบายความได้หมดก็ตาม และพระองค์ปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายได้ใช้ประโยชน์หรือได้รับพระพรจากการที่เราไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดนี้

แท้ที่จริงแล้วพี่ - น้องคิดว่าเราเข้าใจอะไรๆทั้งหมดในชีวิตนี้ไหมครับ ผมเคยรับใช้ที่ จ. บุรีรัมย์ วัวข้างๆโบสถ์ตัวมันสีดำ แต่มันกินหญ้าที่ใบเขียว

แต่พอรีดน้ำนมออกมากลับกลายเป็นสีขาว ถ้าเรามัวแต่จะต้องไปเข้าใจอะไรมันทั้งหมดพี่ - น้องจะได้กินนมไหมครับ ? ชาติหน้าแน่นอน

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ไม่ได้ต้องการที่จะให้เรานั้น ที่จะต้องเข้าใจในเรื่องการอัศจรรย์ทั้งหมดเสียก่อน แต่พอที่เรานั้นจะเข้าใจอะไรบ้างและเราก็ได้รับพระพรจากการอัศจรรย์นั้น อาจจะกล่าวได้ว่า ความเข้าใจไม่ได้ผลิตการอัศจรรย์แต่ความเชื่อต่างหากที่ผลิตการอัศจรรย์

            และสิ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจในเรื่องการอัศจรรย์ของพระเจ้าเพิ่มเติมนั่นก็คือว่าเมื่อเรามาเป็นผู้เชื่อใหม่ๆ เรามักจะตื่นเต้นกับการอัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างมากมาย พอการเป็นคริสเตียนของเราเข้าสู่ปีที่ 2 - 3 และนานวันเข้าเรื่อยๆดูเหมือนว่าการอัศจรรย์ของพระเจ้าหายไปจากชีวิตของเรา

            สิ่งที่ผมจะอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อ นั่นก็คือว่า การอัศจรรย์ของพระเจ้าไม่ได้หายไปจากชีวิตของเราแต่มันเพียงค่อยๆห่างหรือพ้นไปจากชีวิตของเราเท่านั้นเอง

พี่ - น้องยังจำได้ไหมครับ เมื่อชนชาติอิสราเอลยังอยู่ในถิ่นทุรกันดารพระเยโฮวาห์นำพวกเขาด้วย เสาเมฆ เสาเพลิง เสาไฟและมานา แต่เมื่อพวกเขาได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าค่อยๆให้การอัศจรรย์พ้นจากพวกเขาไปสู่ชีวิตที่เป็นปกติ

คำถามคือว่า เพราะอะไร ?

            คำตอบก็คือว่า เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการที่จะให้การอัศจรรย์นั้นเป็นสิ่งที่นำพาชีวิตของพวกเขาตลอดไป อาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือการวิวัฒนาการ

            เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ การอัศจรรย์ของพระเจ้าไม่ได้หายไปจากชีวิตของเรา แต่มันจะค่อยๆลดความถี่ลงเรื่อยๆหรือพ้นและในที่สุดมันจะห่างไปจากชีวิตของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าการอัศจรรย์นั้นห่างจากชีวิตของเราไปแล้วไปลับนะครับพี่ - น้อง แต่การอัศจรรย์นั้นจะกลับมาอีกอย่างแน่นอนแต่ต้องเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร เพราะพระเจ้าต้องการที่จะวิวัฒนาการชีวิตของเราขึ้นใหม่ จาก Miracles ไปสู่ Biblecal อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเจ้าต้องการที่จะวิวัฒนาการชีวิตของเราขึ้นใหม่ จากความเชื่อในเรื่องการอัศจรรย์ไปสู่การใช้พระคำของพระเจ้าในแต่ละวันมากขึ้น

ซึ่งโดยแท้จริงจริงแล้วคริสเตียนเรา มีการพูดถึงพระคุณของพระเจ้ากันมากมายหลายรูปแบบ แต่ที่ไม่ค่อยจะมีการพูดถึงกันสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ พระคุณในพระคำ อาจจะกล่าวได้ว่า พระเจ้าต้องการที่จะวิวัฒนาการชีวิตของเราทุกๆคนในแต่ละวัน จากการอัศจรรย์ไปสู่พระคุณในพระคำและการที่ผู้เชื่อคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ผ่านพระคุณในพระคำของพระองค์นั้นถือได้ว่านี่คือสุดยอดของสุดยอดของการอัศจรรย์ อาเมน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City