การอัศจรรย์แรกของพระเยซู
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.2:1 - 11 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ยน.2:1 - 11 เมื่อพบแล้วเราจะอ่านอย่างช้าๆพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า การอัศจรรย์ครั้งแรกของพระเยซู ให้ที่ประชุมได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ การอัศจรรย์ครั้งแรกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำนั้นอยู่ที่ไหนครับ ? งานมงคลสมรส และถ้าพี่ - น้องได้มีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง
พี่ - น้องก็จะพบว่า งานมงคลสมรสนั้นเป็นงานมงคลที่พิเศษที่สุด เป็นงานที่สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษโดยส่วนมากนั้นให้การเฝ้ารอคอย เพราะนั่นหมายความว่าอะไร ? เพราะนั่นหมายความว่า คนๆ นั้นเขาจะได้พบกับความสุขอย่างมากที่สุดของชีวิต ไม่เชื่อพี่ - น้องลองไปถามพี่ดาร์ดูว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเมื่อวานนี้ผมกับพี่ดาร์ก็เพิ่งไปงานแต่งงานมาคู่หนึ่งที่ คจ.ใจสมานสุขุมวิท กท. และเดือนหน้าก็มีอีกคู่หนึ่งที่ คจ.สาธร
ส่วนการอัศจรรย์ครั้งสุดท้าย ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำนั้น อยู่ที่ไหนครับพี่ - น้อง ? อยู่ที่อุโมงค์ฝังศพ ซึ่งคนที่ไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเขาคิดอย่างไรกับอุโมงค์ฝังศพครับ ? เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ซึ่งก็ไม่ผิดที่เขาจะคิดอย่างนั้น
แต่เราในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า คำถามคือว่า ที่อุโมงค์ฝังศพนั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเราไหมครับ ? 1 - 2 วันที่พระเยซูทรงประทับอยู่ที่อุโมงค์อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่บ้างสำหรับเรา แต่พอวันที่ 3 มันไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเราอีกต่อไป เพราะอะไรครับ ?
เพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและเราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่จะเป็นขึ้นมาจากความตายและไปอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษมร่วมกับพระองค์ เพราะฉะนั้นความตายสำหรับคริสเตียนจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า และนั่นเป็นการอัศจรรย์ครั้งสุดท้าย ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำ
อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้อ่านในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม พี่ - น้องก็จะพบว่า ในช่วงที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรับใช้พระเจ้าพระบิดาของพระองค์บนแผ่นดินโลกในช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 3 ปี - 3 ปีครึ่งนั้น เราก็พบว่ายังมีการอัศจรรย์อื่นๆที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำไว้อีกมากมาย ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงก้าวเข้าไปสัมผัสกับชีวิตของผู้คนในทุกๆ รูปแบบ ตลอดจนมีสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้คนเกือบทุกๆ ประเภท ยกเว้น พวกธรรมาจารย์กับพวกฟารสีเท่านั้น จนอาจจะกล่าวได้ว่าในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ ประสบการณ์และในทุกๆ ปัญหาของชีวิตมนุษย์นั้นไม่มีอะไรสามารถที่จะรอดพ้นสายตาของพระองค์ไปได้ อาเมน
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 เราพบความจริง
ความจริงที่ว่านี้ก็คืองานมงคลสมรสที่เกิดขึ้นในยุคนั้นหรือในสมัยนั้นเขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานมงคลสมรสของคนเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น แต่เขาคิดว่างานมงคลสมรสนี้เป็นงานของใครครับ ? เป็นของคนทั้งหมู่บ้านคานา ดังนั้นครอบครัวแต่ละครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ ต่างก็จะพาคนในครอบครัวทั้งลูกเล็กเด็กแดงมาร่วมรื่นเริงในวันมงคลนี้โดยที่ท่านเจ้าภาพนั้นไม่ต้องเชิญ เพราะฉะนั้นคนที่เจ้าภาพหรือเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องเชิญนั่นก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้
มีนักประวัติศาสตร์คริสเตียนในยุคแรกคนหนึ่งมีชื่อว่า พลินี ( Pliney ) กล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “ เราทุกคนชอบไปงานมงคลสมรสและพระเยซูก็ทรงชอบไปงานแต่งงานด้วยเช่นกัน ” ซึ่งอันนี้ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง แต่ที่จริงก็คือ มีคำว่า “ งานเลี้ยงฉลอง ” อยู่ในหนังสือพระกิตติคุณในหลายๆ ครั้งด้วยกัน เพราะฉะนั้นผมจึงมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้น พระองค์น่าที่จะชอบไปงานที่มีการเลี้ยงฉลองมากกว่าที่จะไปงานเลี้ยงใดงานเลี้ยงหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ชอบพูดว่า พอมาเป็นคริสเตียนแล้วหมดสนุก หมดความน่าตื่นเต้น พอมาเป็นคริสเตียนแล้วมีแต่เรื่องของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย พอมาเป็นคริสเตียนแล้วเครียดเพราะมีแต่เรื่องของคนถูกผีเข้าถูกผีออก และยังมีกฎอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มหมดไปเลย เลยไม่อยากมาเป็นคริสเตียน มันเป็นความจริงไหมครับพี่ - น้องที่เขาพูดอย่างนั้น ? เพราะฉะนั้นคำพูดดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเหตุการณ์ในพระธรรมยอห์น # 2 ในตอนนี้นั้นเป็นหลักฐานที่ยืนยันกับเราได้อย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องของการชื่นชมยินดีนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้นี่เองผมจึงมักที่จะพูดกับพี่ - น้องของเราอยู่เสมอๆว่า อะไรก็ตามที่พระเยซูทรงสนพระทัย เราเองก็ควรที่จะสนใจในเรื่องนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
และด้วยการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงให้ความสนพระทัยกับเรื่องธรรมดาๆกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นเหตุทำให้บ่าวสาวคู่นี้จึงกล้าที่จะเชิญพระเยซูไปในงานมงคลสมรสของเขาด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า บ่าวสาวคู่นี้เป็นผู้เชื่อหรือไม่ได้เป็นผู้เชื่อ
ซึ่งถ้าเราติ้งต่างหรือสมมติว่า บ่าวสาวคู่นี้ไม่ได้เป็นผู้เชื่อละ พี่ - น้องคิดว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จไปงานมงคลสมรสของคนที่ไม่ได้เชื่อนี้ไหมครับ ? อันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจและน่าคิด
โดยส่วนตัวผมคิดว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จไปงานมงคลสมรสนี้อย่างแน่นอนเพราะ 1. พระเยซูทรงสนใจเรื่องของคน 2. นี่เป็นงานเฉลิมฉลอง เป็นงานรื่นเริง 3. เจ้าภาพเขาเชิญ ซึ่งพระคำของพระเจ้าในหนังสือ รม. 13 : 7 บอกกับเราว่า “ จงให้เกียรติแก่ผู้ที่ผู้ควรจะได้รับ ”และประการที่สี่ซึ่งน่าจะเป็นประการที่สำคัญด้วยเช่นกันคือ พระเยซูต้องการที่จะทำลายกำแพงหรือทำลายวัฒนธรรมที่ไม่เข้าท่าอะไรบางอย่างของพวกที่ต่อต้านพระเยซู ซึ่งเราจะต้องไม่ลืมว่า ในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมีพวกต่อต้านพระเยซูนี้อยู่มาก เช่น พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี เป็นต้น และผู้เชื่อบางคนก็รับเชื้อของคนเหล่านี้มา ถามว่าในปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ยังมีเชื้อนี้อยู่หรือไม่ ? คำตอบคือ ยังมีเชื้อนี้อยู่ในสังคมของเรา
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก ที่จะมีคริสเตียนบางคนชอบ 1 ) แบ่งแยก ระหว่างคนที่ยังไม่ได้เชื่อว่าเป็นชาวโลกส่วนคนที่ในพระเจ้าแล้วเป็นชาวสวรรค์ 2 ) แบ่งแยกว่างานคริสเตียนไปได้เพราะเป็นงานที่บริสุทธิ์ ส่วนงานของคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเราไม่ควรที่จะไป ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะไม่มีวิญญาณเหล่านี้อยู่ในชีวิตแห่งความเชื่อของเรา
พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า งานทุกงานของคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้น เราไปได้และไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของศาสนพิธีของเขาอย่างเด็ดขาดอันนี้แหละที่เป็นสาระที่สำคัญ
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2เราพบงานสมรสที่เกิดขึ้น
อย่างที่ผมได้เรียนพี่ - น้องไปแล้วในตอนต้นว่า งานมงคลสมรสนี้เป็นงานที่สำคัญของคู่บ่าวสาวและเป็นงานที่สำคัญของคนทั้งหมู่บ้านจะว่าไปแล้วก็เป็นงานที่ใหญ่
ด้วยเหตุนี้เองคนที่สำคัญๆ ก็จะต้องมาร่วมงานที่สำคัญนี้ด้วยอย่างแน่นอน คำถามคือว่า ใครบ้างที่มางานนี้ ? พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า มารีย์มารดาของพระเยซูก็มางานนี้ด้วย และถ้าพี่ - น้องได้อ่านย้อนกลับไปในพระธรรม ยน. 1 : 43 - 45 พี่ - น้องก็จะทราบว่า “ นาธานาเอล ” ก็เป็นคนที่มาจากเมืองนี้ เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ นาธานาเอล ” เขามางานนี้ด้วยหรือไม่ ? เขาต้องมาด้วยอย่างแน่นอน
ใครอีกครับที่ได้ไปร่วมงานมงคลสมรสนี้ ? พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกก็ได้ไปร่วมงานมงคลสมรสนี้ด้วย แต่งานนั้นมงคลสมรสนั้นได้ผ่านไปกี่วันแล้วครับ ? ( 2 วัน ) ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเยซูกับเหล่าสาวกไปถึงที่หมู่บ้านนั้นในวันที่ 3 ที่มีการจัดงานแต่งงาน คำถามก็คือว่า และอีก 2 วันนั้นพระเยซูทรงอยู่ที่ไหน
ยน. 1 : 43 - 44 ทำให้เราทราบว่า ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีนั้น พระองค์ทรงประทับอยู่ที่เมืองเบธไซดาหรือเบธธานี ซึ่งพระเยซูจะต้องใช้เวลานานถึง 3 วันในการเดินเท้าระยะทางประมาณ 60 ไมล์หรือ 96 กม. เพื่อมาร่วมงานมงคลสมรสนี้ ซึ่งทำให้เราเห็นความจริงในเรื่องนี้ 2 ประการด้วยกัน คือ
ความจริงในฝ่ายเนื้อหนังกับความจริงในฝ่ายจิตวิญญาณ ความจริงในฝ่ายเนื้อหนัง คือ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรับปากโดยการตอบรับคำเชิญแล้ว อย่าว่าแต่ 60 ไมล์หรือ 96 กม. เลยครับพี่ - น้อง ผมคิดว่าไกลแค่ไหนองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะเสด็จไป คำถามคือว่า เพื่ออะไร ? เพื่อที่จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่คู่บ่าวสาวคู่นี้นั่นเอง
ความจริงอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ ความจริงในฝ่ายวิญญาณกล่าวคือ เมื่อพระองค์ทรงสัญญาแล้ว พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะทำให้สำเร็จตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพระเจ้าไม่มุสา พันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้กับเรานั้นเชื่อถือได้
กลับมาที่พระวจนะของพระเจ้า พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเยซูกับเหล่าสาวกไปถึงในวันที่ 3 ซึ่งนั่นหมายความว่า งานมงคลสมรสนั้นได้ดำเนินผ่านไป 2 วันแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่า ทางเจ้าภาพอาจจะคิดว่าคงไม่มีแขกเหรื่อที่ไหนมาแล้ว ก็เลยให้ดื่มกินกันเต็มที่เลยเป็นไปได้ไหมครับ ?
แต่พอมีแขกมาเพิ่มอีก 13 คน คือ พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ไปถึงในวันที่ 3 เจ้าภาพก็ทราบในทันทีเลยว่า เหล้าองุ่นที่เหลืออยู่นั้นคงเหลือไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงคนที่มาในภายหลังนี้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเจ้าภาพจะเริ่มที่จะเครียด , กลัวที่จะเสียหน้า โดยเฉพาะงานแต่งของคนยิวในสมัยโบราณนั้น งานสมรสจะต้องจัดโดยไม่ให้ขาดอะไรเลย
โดยเฉพาะเหล้าองุ่นเพราะคนยิวนั้นมีคำพูดที่ติดปากว่า “ หมดเหล้าก็หมดสนุก ”“ ขาดเหล้าองุ่นก็ขาดความยินดี ” เพราะฉะนั้นคนยิวถือว่า เหล้าองุ่นนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความยินดี ดังนั้นถ้าไม่มีเหล้าองุ่นในงานมงคลสมรสซะแล้ว ก็ถือว่าหมดท่าเลยทีเดียว
นอกเหนือจากนี้แล้วเจ้าภาพกลัวอะไรอีกพี่ - น้องทราบไหมครับ ? กลัวชาวบ้านจะไปลือกันทั่วคุ้ง ทั่วแคว้นว่า งานมงคลสมรสของบ่าวสาวคู่นี้หมดสนุก เพราะไม่มีเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดความชื่นชมยินดี ซึ่งคนเอเชียก็ถือวัฒนธรรมในเรื่องนี้เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นบ่าวสาวคู่นี้ก็กลัวที่จะเสียชื่อ และมารีย์มารดาของพระเยซูก็กลัวที่จะเสียหน้า เหตุเพราะมารดาของพระเยซูถือได้ว่าเป็นเจ้าภาพคนสำคัญคนหนึ่งของงานมงคลสมรสนี้ด้วยเช่นกัน
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 เราพบปัญหาของเรื่อง
ในข้อที่ 3 ทำให้เราทราบว่ามารดาของพระเยซูได้รายงานให้พระเยซูได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เธอบอกว่า “ เหล้าองุ่นหมดแล้ว ” พี่ - น้องที่รักครับ คำพูดของนางมารีย์มารดาของพระเยซู เป็นคำพูดในลักษณะที่บอกให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงรู้กลายๆ รวมทั้งเป็นคำพูดในลักษณะที่ขอร้อง ให้พระเยซูทรงช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ด้วย
พี่ - น้องที่รักครับ สิ่งที่พระเยซูตอบก็เป็นสิ่งที่สำคัญด้วยเช่นกัน พระเยซูตรัสว่า “ ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง ” ซึ่งถ้าแปรเป็นคำพูดของคนในยุคนี้ สมัยนี้ ก็อาจจะพูดในลักษณะอย่างนี้ก็เป็นได้ว่า “ แล้วมันเป็นธุระอะไรของแม่ด้วยเล่า ให้เป็นธุระของผมเถิด ”
พี่ - น้องที่รัก คำพูดของพระเยซูคำนี้ถ้าเราฟังดูเผินๆ จากคำพูดของคนในสมัยนั้นหรือถ้าเราฟังดูเผินๆ จากคำพูดของคนในสมัยนี้ก็ตาม อาจจะฟังดูแปลกๆหู อาจจะฟังดูไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก เป็นคำพูดที่ลูกไม่ควรที่จะใช้กับแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเอาวัฒนธรรมไทยของเราเข้าไปจับคำพูดของพระเยซูคำนี้เข้าด้วย ดูเหมือนพระเยซูกำลังตำหนิมารดาของพระองค์อยู่ด้วยซ้ำ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรากำลังให้เกียรติกับนางมารีย์มารดาของตนอย่างสูงที่สุด พระเยซูตรัสว่า “ หญิงเอ๋ย ” ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า “O Woman ” คำนี้จะใช้เรียกเฉพาะพระราชินีในสมัยก่อนเท่านั้นเพราะฉะนั้นขอให้พี่ - น้องได้มีความเข้าใจที่ตรงกันในคำพูดของพระเยซูคำนี้ด้วย
ในขณะเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า ขอให้ถึงเวลาของเราก่อน นั้น คำนี้ก็ดูเหมือนว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากำลังที่จะบอกกับนางมารีย์พระมารดาของพระองค์ว่า
นับจากนี้เป็นต้นไป ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้นพระมารดาจะมากำกับ พระองค์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และต่อไปนี้ พระองค์จะไม่ได้อยู่ใต้อาณัติการดูแลของนางมารีย์และโยเซฟอีกต่อไปด้วยเช่นกัน
ซึ่งนางมารีย์ก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่ก็รู้ดีว่านี่เป็นเวลาที่พระเยซูจะต้องไปตามวิถีทางของพระเจ้า แต่นางมารีย์ก็หวังว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงช่วยแก้ไขปัญหานี้อยู่ภายในจิตใจซึ่งบทเรียนนี้ผมคิดว่าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ทุกๆคนต่างเข้าใจดีที่จะยอมรับบทเรียนนี้ โดยให้ลูกของตนพ้นจากอกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างที่ควรจะเป็น
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 4 เราพบว่าการอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ก็เพราะมนุษย์ร่วมมือ
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระวจนะคำของพระเจ้าและถ้าพี่ - น้องได้พิจารณาถึงการอัศจรรย์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พี่ - น้องก็จะพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ได้ทำคนเดียวซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ทำคนเดียวได้ไหมครับพี่ - น้อง ? ได้แต่พระองค์ไม่ทำ พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า
1 ) ก่อนที่พระเยซูจะรักษาคนง่อยนั้น พระเยซูต้องการกี่คนหามคนง่อยนั้น ให้เข้ามาในห้องประชุมครับ ? 4 คน ที่จะร่วมมือกับพระองค์
2 ) ในพระธรรม ยน. 6 ว่าก่อนที่พระเยซูจะทรงหักขนมปังและปลาเลี้ยงคน 5,000 คนนับเฉพาะผู้ชายเท่านั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการใครครับ ? เด็กคนหนึ่งที่มีขนมปังเพียงแค่ 5 ก้อนกับปลาอีก 2 ตัวที่จะร่วมมือกับพระองค์
3 ) ก่อนที่พระเยซูจะเรียกลาซารัสซึ่งตายไปแล้ว 4 วันให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ต้องการใครสักคนหนึ่งร่วมมือกับพระองค์ โดยให้คนนั้นได้ทำอะไรครับ ? กลิ้งหินที่ปิดปากอุโมงค์ออกไปเสียก่อน
พี่ - น้องที่รักครับ คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้น ก่อนที่เขาจะทำการอัศจรรย์ให้พี่ - น้องได้ดูนั้นเขาจะต้องเอาอะไรจากเราก่อนครับ ? เงินนะมีไหม ( จริงหรือไม่จริงครับพี่ - น้อง ) แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ได้ต้องการเงินของเราหรือจากเรา อาเมน
แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการอะไรจากเราครับพี่ - น้องในการทำการอัศจรรย์ พระองค์ต้องการความเชื่อที่นำไปสู่การเชื่อฟังจากเรา พระเจ้าต้องการที่จะให้เรานั้นได้ทำตามในสิ่งที่พระองค์บอก ก่อนที่เรานั้นจะได้เห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า พระเยซูต้องการคนที่จะเชื่อฟังและยินดีที่จะร่วมมือกับพระองค์ในการทำการอัศจรรย์นั่นเอง
ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมใน ยน. 2 : 6 พระองค์จึงตรัสสั่งว่า “ ให้ตักน้ำเต็มเสมอปากโอ่ง ” ซึ่งนั่นหมายความว่า คนจะต้องตักน้ำก่อน ถ้าคนไม่ตักตามที่พระเยซูทรงตรัสสั่ง การอัศจรรย์ก็คงไม่เกิด เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตของผู้เชื่อบางคน ( ซึ่งไม่สำคัญนะครับว่าพี่ - น้องจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม ) ถ้าผู้เชื่อบางคนเขายังไม่ได้สัมผัสถึงการอัศจรรย์ของพระเจ้า นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า เขายังไม่ได้ยอมที่จะทำตามเงื่อนไขของพระเยซูนั่นเอง
กลับมาที่พระวจนะของพระเจ้า พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อเขาได้ตักน้ำเต็มเสมอปากโอ่งแล้ว พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 8 - 10 ตรัสว่าอย่างไรครับพี่ - น้องให้ที่ประชุมอ่านอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ ?
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเปลี่ยนบรรยากาศที่กำลังจะเซ็ง ให้เป็นบรรยากาศแห่งความรื่นเริงยินดี เหตุเพราะพระเยซูทรงรู้ว่างานมงคลสมรสนั้นเป็นงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนทั่วไป
ดังนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะทำให้ บ่าวสาวคู่นี้นั้นมีความสุขกับงานมงคลสมรสของเขา พระคำของพระเจ้าในพระธรรม กจ. 20 : 35 บอกกับเราว่า“ การให้เป็นเหตุให้มีความสุขใจมากกว่ายิ่งกว่าการรับ ” ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อบ่าวสาวคู่นี้มีความสุขพระเยซูก็มีความสุขด้วยเช่นกัน
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเยซูคริสต์เจ้าทรงเปลี่ยนน้ำ ให้เป็นเหล้าองุ่นได้ พระองค์ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ด้วยเช่นกัน
พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่าพระองค์ทรงเปลี่ยน 1 ) ซีโมนชาวประมงซึ่งเป็นคนที่ขี้โมโห ให้เป็นเปโตรที่เป็นศิลาของคริสตจักร 2 ) ยอห์นซึ่งเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น เป็นคนที่อยากจะเรียกให้ไฟจากสวรรค์นั้นลงมาเพื่อจะเผาพวกสะมาเรีย ให้มาเป็นอัครทูตแห่งความรัก 3 ) คนขี้โกงอย่างมัทธิวให้เป็นผู้ที่เขียนหรือบันทึกพระกิตติคุณเล่มแรก และ 4 ) หญิงที่ถูกผีเข้าให้เป็นสาวกคนแรกที่ได้ประสบกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องมีปัญหาอะไรก็ตามให้บอกใครครับ ? บอกพระเยซู
เพราะพระเยซูสามารถที่จะเปลี่ยนความกลัวของพี่ - น้องให้เป็นความหวังได้
เพราะพระเยซูสามารถที่จะเปลี่ยนความเศร้าของพี่ - น้องให้เป็นเสียงหัวเราะได้
เพราะพระเยซูสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของพี่ - น้องให้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้
เพราะพระเยซูสามารถที่จะเปลี่ยนความว่างเปล่าในชีวิตของพี่ - น้อง ให้เป็นความอิ่มเอมใจในชีวิตของพี่ - น้องได้
เพราะพระเยซูคือผู้มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้และเป็นฤทธิ์อำนาจเดียวกันกับการเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นนั่นเอง
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 5 เราพบคุณภาพของเหล้าองุ่น
พี่ - น้องที่รักครับ มีคำพูดหนึ่งที่คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเขามักจะพูดกันในตอนท้ายๆ ของงานเลี้ยงนั่นก็คือ คำพูดที่ว่า “ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ”ซึ่งเขามักจะพูดกันตอนไหนครับ ? ตอนอาหารไม่มีหรือเครื่องดื่มใกล้ๆ จะหมดใช่ไหมครับ ?
แต่ถ้าพี่ - น้องคนใดได้ให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เข้ามามีส่วนร่วมในงานเลี้ยงของพี่ - น้องแล้วละก็ ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า มันจะไม่มีวันหมด นอกจากว่ามันจะไม่มีวันหมดแล้วมันกับจะยิ่งมีมากขึ้น
เพราะฉะนั้นงานเลี้ยงอะไรก็ตาม ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วม ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า มันสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างมีความสุขและเป็นความสุขที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งพี่ - น้องไม่ต้องเชื่อผม แต่ให้ดูที่พระคำของพระเจ้า พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 9 บอกกับเราว่า เมื่อเจ้าภาพได้ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้วและไม่รู้ว่ามาจากไหน เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมาและพูดกับเจ้าบ่าวว่า “ใครๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้ ”
พี่ - น้องที่รักครับ คำพูดของเจ้าภาพนั้นน่าสนใจมาก ? น่าสนใจตรงไหน ? น่าสนใจตรงที่ว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ใช่มีฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่พระเยซูทรงมีฤทธิ์อำนาจ ในการที่จะให้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นออกมาอย่างมีคุณภาพด้วย และนี่คือจุดสูงสุดในการสำแดงพระสิริ หรือพระสง่าราศี และหรือพระรัศมีภาพของพระองค์ผ่านงานมงคลสมรสในหมู่บ้านคานานี้
เพราะฉะนั้นแขกเหรื่อยังสังสรรค์กันต่อไปได้ไหมครับพี่ - น้อง ? นั่งกินกันได้อีกหลายวันเลยคราวนี้ เพราะเหล้าองุ่นคุณภาพชั้นเลิศเพิ่งถูกผลิตขึ้นมาเพิ่มอีกตั้ง 6 ตุ่ม
สิ่งที่พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการจะสื่อกับที่ประชุมหรือสื่อสารกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ถ้าพี่ - น้องคนใดได้ให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของพี่ - น้อง ในธุรกิจของพี่ - น้อง ในการงานการอาชีพของพี่ - น้อง มันจะไม่มีวันหมด
นอกจากมันจะไม่มีวันหมดแล้ว 1 ) ธุรกิจของพี่ - น้องก็จะดำเนินต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ 2 ) ชีวิตของพี่ - น้องที่มีพระเยซูอยู่ด้วยจะไม่ผุ ไม่พัง ไม่ย่ำ ไม่แย่แต่จะมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ดังบทเพลงหนึ่งที่บอกว่า “ งามขึ้นทุกเวลา ”
ซึ่งนั่นหมายความว่า การอัศจรรย์ชนิดนี้จะเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เราเชิญองค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้เข้ามามีส่วนร่วมที่สำคัญในชีวิตของเราในทุกๆด้าน
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อเราเชิญพระองค์เข้ามามีส่วนร่วมที่สำคัญในชีวิตของเราในทุกๆ ด้าน พระองค์ก็จะทรงสำแดงสง่าราศี หรือพระสิริ และหรือพระรัศมีภาพของพระองค์ลงมาในชีวิตของเรา ในธุรกิจของเรา ในอาชีพการงานของเราและหรือทุกสิ่งและทุกอย่างที่เราทำ
คำถามก็คือว่า พี่ - น้องได้เคยอธิษฐานที่จะทูลเชิญพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในทุกสิ่งและทุกอย่างที่พี่ - น้องได้กระทำหรือไม่ อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญ
ถ้าพี่ - น้องได้ทูลเชิญพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในทุกสิ่งที่พี่ - น้องจะทำ พระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรแก่พี่ - น้องเกินกว่าที่พี่น้องจะเข้าใจได้อย่างแน่นอน และผมจะสรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ด้วยคำพยานชีวิตที่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ได้ทรงโปรดอำนวยพระพรแก่ผมเรื่องมีอยู่ว่า
เมื่อ 1 ปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้รับการท้าทายจากเพื่อนผู้รับใช้คนหนึ่งให้ผมนั้นได้เขียนหนังสือออกมา ในเวลานั้นผมเองก็ไม่ได้ตอบรับและก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธเพื่อนผู้รับใช้ท่านนั้นว่าผมจะเขียนหรือไม่เขียน แต่สัญญาว่าผมจะนำเรื่องนี้ไปอธิษฐานกับพระเจ้า
ในเวลาไม่นานนักผมก็ได้บอกกับเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ว่าผมจะเขียน เพราะเมื่อผมได้อธิษฐานกับพระเจ้าแล้วผมมีสันติสุขขององค์พระเยซูคริสต์เข้ามาครองจิตใจหลังจากนั้นผมก็อธิษฐานขอพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในสิ่งที่ผมจะทำ
และเมื่อผมเขียนหนังสือเล่มนี้แล้วเสร็จในเวลา 1 ปีกว่า ผมก็ได้ส่งไปให้เพื่อนผู้รับใช้หลายต่อหลายท่านได้อ่านซึ่งแต่ละท่านก็บอกว่าดี อาจารย์หลีท่านบอกกับผมว่าพี่นี่ทึ่งในตัวอาจารย์จริงๆ อาจารย์มนูญศักดิ์บอกกับผมว่า เป็นประโยชน์อย่างมากหลายอย่างผมไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย และฯลฯ แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากนี้
เมื่อเป็นดังนั้นผมก็ได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่า เมื่อพระเจ้าทรงหนุนนำข้าพระองค์มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอพระองค์ได้โปรดทรงหนุนนำข้าพระองค์ต่อไป ขอพระองค์ผู้ซึ่งเป็นแหล่งแห่งพระพรทั้งมวล ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการหาทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์หรือการผลิตในครั้งนี้ด้วย พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ทำในส่วนของข้าพระองค์อย่างเต็มที่แล้ว
ในเวลาไม่นานนักพี่ - น้องที่รัก ก็มีเพื่อนผู้รับใช้ท่านหนึ่งโทรกลับมาหาผมบอกว่า ผมได้อ่านหนังสือของผมแล้วและก็ได้ดู DVD คำพยานชีวิตของมุสลิมที่ได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้าแล้วด้วย ดีมากๆ เลย ผมอยากที่จะขอแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม ผมบอกว่าได้ครับ ยินดี อาจารย์แปลได้เลย
ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้นพี่ - น้องที่รัก เพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ก็ได้โทรหาผมอีกครั้งหนึ่ง บอกกับผมว่าหน่วยงานของเขาที่สิงค์โปร์นั้น อยากมีส่วนในการถวายค่าพิมพ์หนังสือกับค่าผลิต DVD ให้กับอาจารย์เพื่อทำสิ่งนี้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,200 เหรียญ ซึ่งขณะนี้หนังสือก็กำลังพิมพ์อยู่ที่โรงพิมพ์เรียบร้อยแล้ว สรรเสริญพระเจ้า
เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามแต่พี่ - น้องที่รัก ที่เราจะทำและเราได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามามีส่วนร่วม สิ่งนั้นๆ จะดำเนินต่อไปได้ อาเมน และนี่คือการทรงสำแดงพระสิริของพระเจ้า
เมื่อปี 2540 เศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่ในภาวะเครื่องบินตก นักธุรกิจหลายต่อหลายคนต่างตกอยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว บ้างก็ฆ่าตัวตาย แต่ไม่มีนักธุรกิจคริสเตียนแม้แต่คนเดียวพี่ - น้องที่รัก ที่จะต้องตกอยู่ในภาวะอย่างนั้น
เหตุเพราะนักธุรกิจคริสเตียนได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจของเขา เพราะฉะนั้นใครจะเจ๊งก็เจ๊งไปแต่ทุกๆ ธุรกิจที่พระเจ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ผ่านการถวายมอบของนักธุรกิจคริสเตียน จะไม่มีวันเจ๊ง นอกจะไม่มีวันเจ๊งแล้วมันก็จะต้องอยู่ได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยด้วย
คำถามคือว่า วันนี้พี่ - น้องอยากการอัศจรรย์ต่างๆ นานาที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำนั้นเกิดขึ้นในชีวิตของเราไหม ถ้าต้องการในเช้าวันนี้ผมขอหนุนนำที่จะให้เราได้อธิษฐาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามาในสิ่งต่างๆ ที่เราจะทำนี้ด้วยกัน