การเลี้ยงคน 5 ,000 คน

คำเทศนาเรื่อง การเลี้ยงคน 5 ,000 คน

            ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมยอห์น 6 : 1 - 14 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ยอห์น 6 : 1 - 14 และอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

            และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ จะอยู่ในข้อที่ 9 ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 9 พร้อมๆ กันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังอีกครั้งหนึ่งเชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “การเลี้ยงคน 5000 คน” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานครับ

พี่ - น้องที่รักครับ ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น คุณพ่อกับคุณแม่มักที่จะชอบพาผมไปเที่ยวเล่นที่ท้องสนามหลวงอยู่เป็นประจำ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นมักจะเห็นอยู่เป็นประจำนั่นก็คือ การแสดงมายากลชุด “ อับดุลเอ้ยถามอะไรตอบได้” ( ได้ )

ซึ่งการแสดงชุดนี้ ถ้าคนที่มีจิตวินิจฉัยที่เป็นปกติทุกอย่าง ต่างจะรู้กันเป็นอย่างดีว่า การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงที่โกหก เป็นการแสดงที่เขาหลอกที่จะเอาเงินเรา ผ่านการขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างหนึ่งให้กับเรา เช่น น้ำมันแก้ปวด แก้เมื่อยสักขวดหนึ่ง หรือพระเครื่องสักองค์หนึ่งอะไรประมาณนั้น ผมในขณะที่เป็นเด็กน้อยอยู่นั้นผมยังรู้เลยว่าพวกเขานั้นหลอกที่จะเอาเงินเรา

คำถามก็คือว่าพี่ - น้องคิดว่าคนที่เขาโตกว่าผมนั้นเขารู้หรือไม่ครับว่า พวกนั้นกำลังหรอกที่จะเอาเงินพวกเขาอยู่ ? คำตอบก็คือ รู้ แต่ก็เต็มใจให้หลอก เหตุเพราะคนไทยชอบการพูดโกหก ชอบดูของหลอกคน

แต่การเลี้ยงคน 5,000 คน ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระคัมภีร์ตอนนี้ได้กล่าวถึง และรวมทั้งการอัศจรรย์อื่นๆ ที่พระเยซูได้ทรงกระทำและพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนนั้น มันไม่ใช่มายากล และมันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่โกหกหรือการหลอกลวงเพื่อที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะเอาเงินใคร

พระวจนะของพระเจ้าในข้อที่ 3 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ภายหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้า ทรงเหน็ดเหนื่อย จากการปรนนับติรับใช้มวลชนแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้ามักจะหาโอกาสที่จะพักผ่อนร่างกาย พักผ่อนสมองพร้อมๆ กับเหล่าสาวกของพระองค์เสมอ

ในข้อที่ 5 พระวจนะของพระเจ้าบอกกับเราว่า แต่เมื่อมวลชนรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์หลบไปพักผ่อนอยู่ ณ. ที่แห่งใด ฝูงชนเป็นจำนวนมากก็มักที่จะพากันไปหาพระองค์เสมอ

พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพระเยซูทรงเงยหน้าขึ้นมา พระเยซูก็ทรงพบฝูงชนจำนวนมากที่ได้รายล้อมอยู่รอบๆ พระองค์แล้ว

พี่ - น้องที่รักครับ แม้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเหน็ดเหนื่อยและยังไม่หายเหนื่อยจากการปฏิบัติพระราชกิจอยู่ก็ตาม แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นประชาชนเป็นจำนวนมาก ได้พากันเข้ามาหาพระองค์อย่างนั้นแล้ว สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำนั่นคืออะไร

พระเยซูทรงร้องเพลงนี้หรือเปล่าว่า มันมาอีกแล้ว ไม่ใช่ พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำนั่นก็คือ พระเยซูทรงสงสารพวกเขา มองพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง

ดังนั้นพระเยซูจึงเทศนาพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนกับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่พวกเขาก่อน ตามด้วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งเป็นความต้องการของคนในสมัยนั้น ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเยซูเป็นผู้ที่บรรเทาภาระกาย ภาระใจและบรรเทาภาระจิตวิญญาณให้กับผู้ที่มาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ

พระวจนะของพระเจ้าในข้อที่ 5 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นมาในทันทีเมื่อเวลา แดดร่มลมโกรก หรือเวลาตอนเย็นได้มาถึง

ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไรครับ ? คือ ทุกคนเริ่มที่จะหิวแล้ว

พี่ - น้องต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า ในสมัยขององค์พระเยซูคริสตเจ้านั้นมันเป็นทะเลทราย ในทะเลทรายนั้นมี Mac KfcMK ไหมครับพี่ - น้อง ?

ในทะเลทรายมีระบบ 1122 หรือ 1112 อย่างทุกวันนี้ไหมครับนอกจากไม่มีร้านอาหารใดๆแล้ว ยังปราศจากต้นไม้หรือปราศจากสุมทุมพุ่มไม้ที่ให้ร่มเงาทุกชนิดอีกด้วย จะมีเพียงแก่แค่ต้นอินทผลัมเท่านั้น ซึ่งก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก

พระวจนะของพระเจ้าในข้อที่ 5 - 7 พระองค์จึงตรัสกับฟิลิปว่า “ ทำอย่างไรเราจึงจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟิลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงทำประการใด ฟิลิปทูลตอบพระองค์ว่า สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินคนละเล็กละน้อย ”

พี่ - น้องที่รักครับ ฟิลิป คือ สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้เห็นในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์ ได้ทรงกระทำอย่างมากมายในชีวิตของเขา แต่เมื่อมาถึงบททดสอบง่ายๆ เขากับสอบไม่ผ่าน

เหตุที่ฟิลิปสอบไม่ผ่าน เพราะฟิลิปเขาใช้ความคิดของตนเอง เขาคิดที่จะแก้ไขปัญหาด้วยหลักทางคณิตศาสตร์ของมนุษย์

ฟิลิปเขาคิดว่ามีเงินอยู่เพียงแค่ 200 เหรียญเดนาริอัน มันจะไปพอเลี้ยงคน 5000 คนนั้นได้อย่างไร ต่อให้แบ่งกินกันคนละคำๆมันยังไม่พอเลย

เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักคริสตจักรของพระเจ้าในหลายที่ หลายแห่งหรือชีวิตของผู้เชื่อหลายต่อหลายคน ที่ไม่ได้ก้าวไปถึงไหนในทางของพระเจ้า เหตุเพราะเขาคิดที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้นแบบมนุษย์หรือด้วยตัวของเขาเอง ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าคุณอย่าเป็นเหมือนกับฟิลิป )

ซึ่งฟิลิปเขาสามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ไหมครับ ? ฟิลิปไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่เมื่อพระเจ้าได้สัมผัส ความคิด สติปัญญาและสัมผัสสายตา ของแอนดรูว์ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซู

แอนดรูว์ จึงได้มาหาพระเยซูแล้วตรัสกับพระเยซูว่า พระองค์เจ้าข้า “ มีเด็กคนหนึ่งอยู่ที่นี่ เขามีอาหารคือ ขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว” ตอนจบของเรื่องนี้เป็นอย่างไรครับพี่ - น้อง ?  จบได้อย่างสวยงามและทุกคนมีความสุข

เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพระเจ้าได้สัมผัส ความคิด สติปัญญาและสายตา ของพี่ - น้อง ฉากจบของอุปสรรคปัญหาที่พี่ - น้องมีทั้งหมดนั้นจะจบลงได้อย่างสวยงาม

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ นะครับ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ก็คือว่า เด็กน้อยคนหนึ่งคนนี้เขาคือ พระเอกของเรื่องนี้รวมทั้งเขาคือจุดสำคัญของพระคัมภีร์ในตอนนี้ และก่อนที่ผมจะแบ่งปันกับพี่ - น้องในตอนต่อไปนั้น ผมขออนุญาตที่จะพาพี่ - น้องได้มารู้จักกับพระเอกของเรื่องนี้กันสักนิดหนึ่ง

เป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่เด็กน้อยคนนี้เขาอาจจะช่วยครอบครัวโดยการดูแลฝูงแกะ การทำงานของเด็กน้อยคนนี้นั่นก็คือ การที่เขาจะต้องพาฝูงแกะออกเดินทุกวัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ในการเดินทางออกไปทำงานของเด็กน้อยคนนี้เขาจะต้องได้รับการเตรียมอาหารกลางวันมาจากที่บ้าน

เป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่เด็กน้อยคนนี้เมื่อเขาเดินทางมาได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินคนพูดถึงชายชาวกาลิลีคนหนึ่ง ที่ได้เคยทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญมานานแล้ว

เป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่เด็กน้อยคนนี้ก็ใคร่ที่อยากจะรู้ อยากจะเห็นและอยากจะได้ยินคำเทศน์คำสอนของพระเยซู เขาจึงได้เบี่ยงไม้เท้าและบ่ายหน้าเดินทางไปยังที่ภูเขา และเมื่อเขาเดินไปสักระยะหนึ่งก็พบว่า ตัวเองมายืนอยู่ที่เชิงเขาลูกหนึ่งและพบกับฝูงชนจำนวนกว่า 5,000 คน ยืนกันแน่นอยู่ตรงหน้า แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ไม่รู้ว่าพระเยซูแบ่งปันเรื่องอะไร เขาจึงค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในฝูงชนจนกระทั่งถึงตัวบรรดาอัครทูตและพระเยซู

พี่ - น้องเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมครับว่า ถ้าเราได้จดจ่ออยู่กับอะไรบางสิ่ง บางอย่าง ก็อาจทำให้เราเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้นได้ จนกระทั่งเราลืมกินข้าวกินปลาก็เป็นไปได้ พี่ - น้องเคยเป็นบ้างไหมครับ ?

ดังนั้นเป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่เด็กน้อยคนนี้นั่งฟังคำเทศน์ คำสอน หรือนั่งมองตาชายชาวกาลิลีคนนี้ด้วยใจจด ใจจ่อ ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเด็กน้อยคนนี้ อาจจะลืมกินข้าวที่คุณแม่ได้เตรียมเอาไว้ให้กับเขาในถุงย่ามก็เป็นได้

ซึ่งนักเทศน์บางคน ได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ในตอนนี้อย่างติดตลกว่า“ การอัศจรรย์แรก ที่เราเห็นได้จากพระคัมภีร์ในตอนนี้นั่นก็คือ การที่พระเยซูทรงทำให้เด็กน้อยคนนี้ลืมกินอาหารกลางวันของตนก็เป็นได้” เมื่อเรารู้จักกับพระเอกของเรื่องนี้พอสมควรแล้ว ให้เรากลับมาที่พระวจนะของพระเจ้ากันอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อ“แดดร่มลมโกรก”ได้มาถึง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของปัญหานี้ และเด็กน้อยคนนี้ ก็ได้ยินทุกคำพูด ในสิ่งที่สาวกและพระเยซูได้พูดกัน เขาจึงนึกถึงอาหารกลางวันของเขาที่อยู่ในถุงย่ามขึ้นมาได้

ซึ่งเด็กน้อยคนนี้ เขาอาจจะยื่นมือไปกระตุกเสื้อของแอนดรูว์ แล้วก็อาจจะพูดขึ้นมาตามประสาเด็กก็ได้ว่า “ คุณลุงครับๆผมมีอาหารกลางวันอยู่ มีขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว ผมอยากให้พระเยซู ”

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้แอนดรูว์ได้เดินไปบอกพระเยซูว่าพระองค์เจ้าข้า “มีเด็กคนหนึ่งอยู่ที่นี้มีอาหารคือขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2ตัว”องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงรับขนมปังและปลานั้นมา ครั้งโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว จึงเริ่มแจกขนมปังและปลา ผ่านมือของสาวก การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นโดยที่พระองค์ทรงคนเลี้ยง 5000 คน และยังมีอาหารเหลืออีก 12 กระบุง

คำถามก็คือว่า บทเรียนนี้ได้สอนอะไรแก่เรา

ประการที่ 1 พระเยซูต้องการเครื่องมือและเครื่องมือที่พระองค์ต้องการนั่นก็คือคน ( เรา )

            พระวจนะของพระเจ้าในหนังสือปฐก. บทที่ 1 บอกกับเราว่า พระองค์ คือ พระเจ้าผู้ทรงสร้างจากสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นมา

พระวจนะของพระเจ้าในพระคริสตธรรมคัมภีร์บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นผู้ที่สถาปนาอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมาได้เองและพระองค์สามารถที่จะดำเนินกิจการต่างๆ ของพระองค์ได้โดยพระองค์เอง  

คำถามก็คือว่า คนที่พูดอย่างนี้ได้ต้องการคนอย่างเราไหมครับพี่ - น้อง ? ไม่ต้องการคนอย่างเรา องค์พระเยซูคริสต์เจ้าสามารถที่จะเปลี่ยนก้อนหินปลายๆเชิงเขา ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย ให้กลายมาเป็นขนมปังขึ้นมาแล้วทรงเลี้ยงคน 5000 คนก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทำ เหตุที่พระองค์ไม่ทำเช่นนั้นเป็นเพราะว่า พระเจ้าต้องการให้มนุษย์นั้นได้เข้ามามีส่วนรับพระพรในกิจการงานของพระเจ้า

ดังนั้นมนุษย์ จึงเป็นเครื่องมือของพระเจ้า อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเจ้าต้องการพี่ - น้องและผมไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้ายังต้องการในสิ่งของที่เป็นของๆ พี่ - น้องและในสิ่งของที่เป็นของๆ ผมด้วย

เช่น ไม่เท้าอันเดียวของโมเสส

เช่นน้ำมันขวดเดียวของหญิงชาวชูเนม

เช่น ปากกาด้ามเดียวของมัทธิวคนเก็บภาษี

เช่น เข็มเย็บผ้าเล่มเดียวของโดรคัส เป็นต้น

เช่น2 เหรียญทองแดงของหญิงม่ายที่ถวายให้กับพระเจ้าในพระวิหาร

อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าคนในโลกนี้จะอิ่มเอมในฝ่ายจิตวิญญาณได้ก็เพราะพี่ - น้องและผม ยินดีที่จะมอบชีวิต ความสามารถ เวลา ศักยภาพ อันน้อยนิดของเราไว้ในมือของพระเจ้าและยอมให้พระองค์ทรงใช้นั่นเอง

อาจจะกล่าวได้ว่า เวลานี้พระเยซูไม่มีสตางค์ นอกจากสตางค์ของท่านและของผม

ดังนั้นถ้าคนยาก คนจนในเวลานี้ จะอิ่มท้องได้ เขาก็จะต้องอิ่มท้องด้วยสตางค์ในกระเป๋าของเรา

ดังนั้นถ้าคนทุกข์ยากในชีวิต เขาจะมีความสุขขึ้นมาได้ เขาจะต้องมีความสุขจากการลงทุนช่วยเหลือของเรา

ดังนั้นถ้าข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จะเข้าไปในที่หูของใคร เขาก็จะต้องได้ยินมันออกจากปากของเรา

ดังนั้นถ้าผู้เชื่อใหม่ จะมีความรู้หรือมีความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น มันก็จะต้องเกิดขึ้นจากการอธิษฐานของเรา หรือจากการที่เราออกไปใช้เวลากับเขา

ดังนั้นคนสลัมในประทศไทย จะได้รับความรอดมันก็จะต้องอาศัยการเดินเท้าหรือการเดินทางของพี่ - น้องและผมเหมือนกับที่องค์พระเยซูคริสตเจ้าได้เสด็จจากสวรรค์สถาน เพื่อมาหาคนบาปอย่างเรา ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า “ คุณ คือ เครื่องมือของพระเจ้า ”

น่าเสียดายตรงที่ว่า ผู้เชื่อหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะผู้เชื่อที่เป็นสุภาพสตรี ชอบที่จะตกเป็นเครื่องมือของแพทย์ ในการให้แพทย์ผ่าตัดทำศัลยกรรม

น่าเสียดายตรงที่ว่า ผู้เชื่อหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะผู้เชื่อที่เป็นสุภาพสตรี ชอบที่จะตกเป็นเครื่องมือ ของตนเองในการที่จะซื้อสิ่งของที่ตามใจตนเองมากกว่า ที่จะเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยเราในการที่เราทั้งหลายจะยอมเป็นเครื่องมือของพระเจ้า

คำถามก็คือว่า บทเรียนนี้ได้สอนอะไรแก่เรา ?

ประการที่ 2 แม้เราจะไม่มีอะไรมากมายแต่กระนั้นพระเยซูก็ยังต้องการในสิ่งที่เรามีอยู่ดี

            พระวจนะของพระเจ้าในปลายข้อที่ 9 ทำให้เราทราบว่า แอนดรูว์ได้ตรัสกับพระเยซูว่า เด็กคนนี้มีขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว แค่นี้มันจะพออะไร แต่ถึงกระนั้นพระเยซูทรงรับเอาไว้ไหมครับ ?

            เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสไปที่ไหนก็ตาม พี่ - น้องเคยเห็นพสกนิกรชาวไทยโดยเฉพาะผู้สูงวัยได้ถวายข้าวของบางสิ่งบางอย่าง ให้กับพระองค์ท่านไหมครับ ?

และของที่ชาวบ้านนำมามอบให้กับพระองค์นั้น มันมีมูลค่าราคาน้อยหรือมากครับพี่ - น้อง ? ราคาอาจจะไม่กี่สตางค์ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายของพระองค์ลงมารับของนั้นซึ่งเป็นภาพที่เราเห็นจนชินตา

เช่นเดียวกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวแท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ถึงกระนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ทรงต้องการอยู่ดี พระองค์ทรงรับของสิ่งนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ ต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า

1 ) แม้ว่าสิ่งที่พี่ - น้องและผมมีและอยากที่จะมอบให้กับพระเยซูนั้น มันอาจจะไม่ได้มีมูลค่ามากมายอะไร หรือไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตามในสายตาของมนุษย์ แต่ถ้าเรามอบให้กับพระเยซู องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะทรงรับสิ่งนั้นเอาไว้ ด้วยความเต็มใจ

2 ) มันไม่ใช่ว่าสิ่งที่พี่ - น้องและผมจะให้กับพระเยซูนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ แต่มันขึ้นกับว่าพี่ - น้องและผมเต็มใจที่จะให้สิ่งนั้นหรือไม่

3 ) มันไม่ใช่ว่าสิ่งเล็กน้อยที่พี่ - น้องและผมจะให้กับพระเยซูแล้วมันจะเอาไปทำอะไรได้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าพระเยซูจะทำอะไรกับสิ่งนั้น ผ่านในสิ่งที่พี่ - น้องและผมมอบให้

คำถามก็คือว่า บทเรียนนี้ได้สอนอะไรแก่เรา ?

ประการที่ 3อยู่ในข้อที่ 11 - 12คือ สิ่งเล็กน้อยที่เราให้ไว้ในมือของพระเยซูจะทวีจำนวนมากขึ้น พี่ - น้องที่รักครับ เราทราบว่าเด็กน้อยคนนี้มีเพียงขนมปัง 5 ก้อนและปลาอีก 2 ตัว แต่มีผู้คนที่นับเพียงเฉพาะผู้ชายเท่านั้นมีสูงถึง 5000 คนที่พระเยซูจะต้องเลี้ยงอาหารพวกเขา เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงนำขนมปัง 5 ก้อนกับปลาอีก 2 ตัวจากเด็กคนหนึ่ง ที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจกันสักเท่าไหร่นัก มาโมทนขอบพระคุณพระเจ้า อาหารของเด็กน้อยคนหนึ่งกลายมาเป็นพระพรสำหรับคน 5000 คนได้

ซึ่งนั่นหมายความว่า สิ่งเล็กน้อยในมือของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สามารถที่จะเลี้ยงดูคนได้อย่างมากมายมหาศาลและเพียงพอต่อความต้องการของคนทุกคนได้เพราะพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนทุกคนได้กินตามที่เขาต้องการ ทุกคนกินอิ่มเต็มที่

ที่สำคัญคือ พวกเขายังมีอาหารเหลืออีกกองพะเรอ นั่นก็คือเหลืออีก 12 กระบุงเต็ม ซึ่งนี่เป็นความยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ในตอนนี้ ซึ่งถ้าเราจะมองในมิติของฝ่ายวิญญาณ อาจจะกล่าวได้ว่า การหักขนมปังในตอนนี้จึงเป็นการหักปัญหาต่างๆทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าพี่ - น้องมีปัญหาและได้นำนำปัญหาที่พี่ - น้องมีทั้งหมดมามอบไว้ในมือของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ พระเจ้าจะเป็นผู้จัดการกับปัญหานี้ให้กับพี่น้องอย่างแน่นอน อาเมน

อย่างไรก็ตาม ขนมปังที่เด็กน้อยคนนี้ได้มอบให้กับพระเยซูนั้น ผมไม่ทราบจริงๆ ว่ามันใช่ยี่ห้อ ฟาร์มเฮ้าส์ หรือเปล่า แต่ไม่ว่ามันจะมียี่ห้อหรือไม่มียี่ห้ออะไรก็ตามพระเยซูจะทรงรับไว้และอวยพรต่อสิ่งนั้น และพระองค์จะทรงใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับทุกคน คำถามก็คือว่า บทเรียนนี้ได้สอนอะไรแก่เรา ?

ประการที่ 4คือ ผู้ร่วมงานของพระเจ้า

            พี่ - น้องยังจำกันได้ไหมครับว่า ครูวิวรณ์ได้เทศนาครั้งสุดท้าย ได้ให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาว่าเรื่องอะไร พี่ - น้องยังจำกันได้ไหมครับ จงยอมเพราะพระเจ้าจะใช้คุณ เมื่อเด็กน้อยคนนี้ยอมที่จะให้ขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวกับพระเยซู เด็กน้อยคนนี้ เขาได้กลายเป็นผู้ร่วมงานในการรับใช้ผู้คนเป็นจำนวนมากกับพระเยซู

ผมคิดเองนะครับว่า เมื่อเด็กน้อยคนนี้เขากลับไปถึงที่บ้าน เขาคงจะพูดกับพ่อแม่ของเขาว่า พ่อครับ แม่ครับวันนี้ผมและพระเยซูร่วมกันเลี้ยงคนถึง 5000 คน รวมทั้งคงจะได้แบ่งปันในสิ่งต่างๆ ให้กับพ่อแม่ของเขาได้รับฟังด้วยความตื่นตาตื่นใจ

สิ่งที่พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในตอนนี้ก็คือว่า เรื่องราวในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าทรงใช้คนเก่งกาจ ในการทำพระราชกิจของพระองค์แต่อย่างใดเลย

แต่พระองค์ทรงใช้คนที่ไม่เก่ง ทรงใช้คนธรรมดาๆ ทรงใช้คนที่มีความสามารถปกติอย่างยิ่งใหญ่ได้ ( อาเมน ) อาจจะกล่าวได้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นผู้ชำนาญเป็นอย่างมากที่จะใช้ของเล็กน้อยทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่

ดังนั้นขออย่าให้เราคิดหรือขออย่าให้เราพูดกับตัวเองว่า เรายังเด็กเกินไปเรายังรับใช้ไม่ได้ หรือเรายังเป็นคริสเตียนใหม่ พระเจ้าคงยังไม่ใช้เราหรอก หรือเราพูดไม่เก่งเรายังเป็นพยานไม่ได้ เรื่องของเรายังไม่น่าตื่นเต้นมากว่าเรื่องของพี่งามนิดหรือพี่ - น้องคนอื่นๆ เราจึงยังแบ่งปันออกไปไม่ได้

ขออย่าให้พี่ - น้องคิดหรือพูดกับตัวเองอย่างนั้น แต่ขอหนุนใจให้พี่ - น้องให้สิ่งที่เรามีแก่พระเยซู และดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวของท่านหรือชีวิตของท่าน

พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าทรงกระทำผ่านเด็กน้อยคนนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ก็สามารถที่จะกระทำผ่านในสิ่งที่พี่ - น้องได้มอบให้กับพระองค์ได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน

ในการประมูลของเก่าครั้งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ ผู้ประมูลได้หยิบไวโอลินตัวที่เก่ามากขึ้นมาในสภาพที่มีฝุ่นจับเขรอะไปหมดและสายก็หย่อนมาก แล้วเจ้าหน้าที่ก็ได้ถามคนที่มาประมูลว่า ใครจะให้ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ คนแรกบอกว่า 40 เหรียญ อีกคนบอกให้ 85 เหรียญ อีกคนหนึ่งบอกว่าให้ 135 เหรียญ

แต่ก่อนที่มีการเคาะประมูลนั้นได้มีชายสูงวัยคนหนึ่งได้ก้าวออกมาจากฝูงชนขอไวโอลินนั้นไปขันสายให้ตึงพอเหมาะแล้วนำคันชักไปถูกับยางสนจากนั้นจึงเริ่มบรรเลง

ท่ามกลางผู้คนมากมาย เสียงของไวโอลินที่ผ่านการบรรเลงจากผู้สูงวัยคนนี้ก่อให้เกิดเสียงที่ไพเราะจับใจคนทั้งปวง แล้วผู้สูงวัยคนนี้เขาก็คืนไวโอลินให้กับผู้ประมูล

            ทันใดนั้นเองคนก็ส่งเสียงประมูลกันอย่างเซ็งแซ่ ในที่สุดก็มีผู้เสนอราคา 9, 000 - 12,000 - และราคาสูงสุดที่ผู้เสนอให้คือ 135,000 เหรียญ

            สิ่งที่ต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องผ่านทางเรื่องเล่านี้ก็คือว่า เมื่อใดก็ตามที่เรายอมเอาความสามารถที่ด้อยค่าของเรามาไว้ในมือของพระผู้สร้างเราขึ้นมา พระองค์จะทรงเปลี่ยนความสามารถใหม่นั้นขึ้นมาในทันที ให้งามขึ้น   มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นพรแก่คนทั้งปวงและให้คนได้รับความรอด

อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแตะความสามารถของท่านหรือแตะของที่ท่านมีและท่านได้ถวายให้กับพระองค์ มันจะทวีงอกงามมากยิ่งขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ

ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าใน 2 คร 8 : 12 จึงได้หนุนใจเราว่า 1 ) ให้เราที่จะให้ของที่เรามีแด่พระองค์ 2 ) ให้เราให้ตามความสามารถหรือตามสภาพของเราหรืออย่างที่เราเป็นนั้นแด่พระองค์ แล้วพระองค์จะใช้เราอวยพรเรา และให้เราเป็นพระแก่ผู้อื่น

ประการที่สำคัญก็คือให้พระองค์ทรงได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเรา หรือครอบครัวของเราหรือคริสตจักรของเรา เหมือนดังที่พระองค์ทรงได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเด็กน้อยคนนี้เถิด

คำถามก็คือว่า บทเรียนนี้ได้สอนอะไรแก่เรา ?

ประการที่ 5 คือ บำเหน็จแห่งสวรรค์

            พี่ - น้องที่รักครับ   เด็กน้อยคนนี้มีสิทธิที่จะพูดกับพระเยซูอย่างนี้ได้ไหมครับว่า พระเยซูครับ ผมมีขนมปัง 5 ก้อน กับปลา 2 ตัว แต่ถ้าผมให้พระเยซูหมดแล้วผมจะเอาอะไรกิน อีกอย่างหนึ่งผมจะต้องเดินทางกลับบ้านอีกตั้งไกล อย่างนั้นผมให้ขนมปังพระเยซู 3 ก้อนกับปลาอีก 1 ตัวก็แล้วกัน

            คำถามก็คือว่า เด็กน้อยคนนี้เขามีสิทธิที่จะพูดกับพระเยซูอย่างนี้ไหมครับ ? เขามีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วโดยชอบธรรม และใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตำหนิเขาได้ด้วยเพราะอะไร เพราะเขาเป็นเด็ก แต่เด็กน้อยคนนี้เขาได้พูดกับพระเยซูอย่างนั้นไหมครับพี่ - น้อง ? ไม่เลย

            สิ่งที่เด็กน้อยคนนี้ได้กระทำนั่นก็คือ เขาได้ให้ทั้งหมดต่อพระเยซูด้วยความยินดีและด้วยความเต็มใจโดยไม่ได้นึกเสียดาย ซึ่งนั่นหมายความว่า เด็กน้อยคนนี้เขาได้เข้ามานมัสการองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดอย่างแท้จริง

พี่ - น้องที่รักครับ แท้ที่จริงโลกใบนี้นั้นมีรางวัลต่างๆ เยอะแยะมากมายแต่มนุษย์เราก็รับกันเพียงแค่แป๊บเดียวหรือเพียงไม่กี่นาที ( จริงหรือไม่จริง )

ถ้าพี่ - น้องเป็นนักกีฬา พี่ - น้องก็จะทราบว่า พอเพลงชาติของแต่ละชาติจบก็จบกัน หรือถ้าพี่ - น้องเป็น Top Sale ฝ่ายขายของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง พอเพลง WE ARE THE CHAMPIONจบก็จบกัน( จริงหรือไม่จริง ) เพราะนี่คือ รางวัลของโลก นี้ แต่ รางวัลจากสวรรค์มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ เพราะเรื่องราวของเด็กน้อยคนนี้ ได้เคียงคู่กันไปกับข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาตลอดระยะเวลา 2000 กับ 9 ปี

มีผู้คนเป็นจำนวนน้อยหรือมากครับพี่ - น้อง ที่ได้อ่านเรื่องราวของเขา คริสเตียนซึ่งมีเกินกว่า 3,000 กว่าล้านคนในโลกใบนี้ได้อ่านเรื่องราวของเด็กน้อยคนนี้

คำถามก็คือว่า เราซึ่งไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆกันแล้ว เราพร้อมที่จะรับ รางวัลแห่งสวรรค์ เหมือนกับที่เด็กน้อยคนนี้ได้รับจากพระเยซูหรือไม่ ?

ถ้าพี่ - น้องและผม อยากที่จะได้รับ รางวัลจากสวรรค์ เหมือนกับเด็กน้อยคนนี้พี่ - น้องก็จะต้องให้ทั้งกำลัง ให้ทั้งความสามารถ ให้ทั้งทักษะความชำนาญที่เรามี ตลอดจนทรัพย์สินที่เรามีอยู่นั้นแด่พระองค์

คำถามก็คือว่า พี่ - น้องและผมพร้อมที่จะให้ทั้งหมดไว้ในมือของพระเยซูหรือไม่อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญและท้าทายความเชื่อของพวกเราเป็นอย่างมาก

ถ้าพี่ - น้องพร้อมที่จะให้ทั้งหมดของท่านไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ - น้องได้กระทำเพื่อพระราชกิจของพระเจ้านั้น ก็จะเคียงไปกับข่าวประเสริฐของพระองค์อย่างแน่นอน

แต่ผมอยากจะหนุนใจพี่ - น้องว่าให้เถอะครับ ผมพูดอย่างนี้เป็นเพราะว่าผมเป็นห่วงพระเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่ เพราะพระวจนะของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเมื่อทุกคนได้กินอิ่มเต็มที่แล้ว อาหารนั้นมันยังเหลืออีกเป็นพะเรอเกวียนคือ 12 กระบุง

พี่ - น้องคิดว่า เมื่ออาหารเหลืออย่างนี้แล้ว เด็กน้อยคนนี้เขาจะขอกับพระเยซูไหมครับว่า ?

พระเยซูครับ ผมขอเก็บอาหารไปฝากคุณพ่อ คุณแม่และน้องที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ ? ผมขอขนมปังสัก 10 ก้อนและปลา 4 ตัวได้ไหมครับ ? พี่ - น้องคิดว่าพระเยซูจะให้ไหมครับ ?

พระวจนะของพระเจ้าในโรม 13 : 8 บอกกับเราว่า พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ใครและใน สภษ. 19 : 17 บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืมและพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้เข้าใจมาโดยตลอดว่า เราได้ให้กับพระเจ้าหรือเราได้ถวายกับพระเจ้านั้น แท้ที่จริงแล้วพี่ - น้องและผมได้ให้กับพระเจ้าไหมครับ ? เราไม่ได้ให้เลย เหตุเพราะพระเจ้าได้อวยพระพรเรากลับคืนมา และพระองค์ทรงให้เรามากกว่าที่เราได้เข้าใจว่าเราได้ให้กับพระเจ้าเสียอีก (ให้บอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าคุณช่วยกรุณาเข้าใจให้ถูกต้องด้วย)

สรุป     พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1. เราพบว่าพระเยซูต้องการเครื่องมือและเครื่องมือที่พระเจ้าต้องการคือคน

2. เราพบว่าแม้ว่าเราจะมีไม่มากอะไรเลยแต่กระนั้นพระเยซูก็ยังต้องการสิ่งที่เรามีอยู่ดี

3. เราพบว่า สิ่งเล็กน้อยที่เราให้ไว้ในมือของพระเยซูจะทวีจำนวนมากขึ้น

4. เราพบผู้ร่วมงานของพระเจ้า

5. เราพบบำเหน็จแห่งสวรรค์

 

Green City