กุญแจสู่สุขภาพดีและการหายโรค

คำเทศนาเรื่อง กุญแจสู่สุขภาพดีและการหายโรค

   

มธ.14:34-36 “ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็มาขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรทคนในตำบลนั้นจำพระองค์ได้ ก็ใช้คนไปบอกกล่าวทั่วแคว้นนั้น ต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมาเฝ้าพระองค์เขาทูลขอพระองค์โปรดให้เขาได้แตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์เท่านั้น และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายป่วยบริบูรณ์ดีทุกคน” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “กุญแจสู่การหายโรคและการมีสุขภาพดี”

พี่น้องที่รักครับ มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “การไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐ” ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่มนุษย์เรานั้นมีอายุที่ยืนนานอีกทั้งไม่มีโรคอื่นใดเลยนั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอดความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน

ถ้าการมีอายุที่ยืนนานหรือถ้าการไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ใช่สุดยอดความปรารถนาของมนุษย์แล้ว ทำไมมนุษย์เราหลายต่อหลายคน ถึงยอมที่จะเสียเงิน เสียทองในการไปหาหมอ

พี่น้องทราบไหมครับว่า 1) ผู้ที่มีฐานะดีบางคนนั้นถึงกับขอเลือกหมอที่เก่งที่สุดเพื่อช่วยรักษาชีวิตของตน 2)ผู้ป่วยหลายๆคนในเวลานี้บินมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การมีอายุที่ยืนนานหรือการทีเราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บนั้นคือสุดยอดความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน

แต่ก่อนที่ผมจะพาพี่น้องไปถึงพระคำของพระเจ้าในตอนนี้คือใน มธ.14:34-36 นะครับ ผมอยากที่จะพาพี่น้องไปค้นหาสาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ก่อนว่าแท้จริงแล้วต้นเหตุนั้นมันมาจากไหน

ปฐก.2:17 “เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่"

ปฐก.3:17 “พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต

จากพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก. ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบว่า พระเจ้านั้นได้ทรงสร้างในทุกๆสรรพสิ่งขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม รวมถึงมนุษย์อย่างพี่น้องกับผมด้วย

แต่เมื่ออาดำกับเอวานั้นตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตามพระวจนะของพระเจ้าใน ปฐก.2:17ตรัสว่าอย่างไรครับ “กินวันใดเจ้าจะต้องตายแน่” นี่คือบัญญัติแรกที่พระเจ้าได้ให้กับมนุษย์ และในทันทีที่อดัมกับเอวาตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า อะไรเกิดขึ้นกับเขาครับพี่น้อง ?

คำว่า “กินวันใดเจ้าจะต้องตายแน่” หมายความว่า “คุณกินเมื่อไหร่คุณตายเมื่อนั้น” ดังนั้นทันทีที่อดัมกับเอวาตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ความตายก็ได้เกิดขึ้นกับเขาทั้ง 2 คนในทันทีเดี๋ยวนั้น

มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาอีกครับพี่น้อง ?ในทันทีที่อดัมกับเอวานั้นตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าใน ปฐก.3:17บอกกับเราว่า ความเป็นนิรันดร์ ความสมบูรณ์ทั้งสิ้นที่พระเจ้าพระเจ้าได้ให้แก่มนุษย์นั้นมันได้เสื่อมลงในทันที

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ 1) แผ่นดินต้องถูกสาป จากไม่มีเชื้อโรค ก็มีเชื้อโรค 2) แผ่นดินให้ต้นไม้ที่มีพืชและมีหนามอีกทั้งต้นไม้บางชนิดยังเป็นพิษแก่มนุษย์ด้วย 3)มนุษย์ต้องลงทุน ลงแรงในการทำงาน เจออุปสรรค ปัญหา เหนื่อยยากลำบาก และมนุษย์จะต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะกลับไปเป็นดินอีกครั้งหนึ่ง

พระคำของพระเจ้าใน รม.8:20“เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น” พระคำของพระเจ้าใน รม.8:20 บอกกับเราอย่างสัตย์ซื่อว่าในทุกๆสรรพสิ่งจะต้องเป็นไปตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ใน ปฐก.3:17ซึ่งนั่นหมายความว่า อาดำกับเอวาและรวมถึงมนุษย์ทุกๆคนต้องอยู่ภายใต้ขั้นตอนที่พระเจ้าได้ทรงวางเอาไว้และนี่คือปฐมเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ซึ่งมีมาตั้งแต่ในสวนเอเดนจนถึงทุกวันนี้

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของอาดำกับเอวาเท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องของเราทุกคนด้วย พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า

เมื่อคริสเตียนไม่เชื่อฟังพระเจ้าเมื่อไหร่.....เราก็ตายเมื่อนั้นในทันที

เมื่อเราฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าเมื่อไหร่.....เราก็ตายเมื่อนั้นในทันที

การตายในที่นี้ก็คือ การตายในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมันจะส่งผลมาถึงการตายในฝ่ายกายภาพหรือพระพรที่มนุษย์ควรจะได้รับจากพระเจ้าด้วย

การตายในฝ่ายจิตวิญญาณของอาดัมเอวาคืออะไรครับพี่น้อง ? จากนี้ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับพระเจ้านั้นมันไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างอาดัมกับเอวาตอนนี้เป็นอย่างไรครับ ? ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พระพรในการเป็นครอบครัวที่จะอยู่กินอย่างมีความสุขก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่สิ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า ถึงแม้ว่าอาดัมจะทำบาปและต้องถูกสาปจากพระเจ้าตาม ปฐก.3:17 ที่ผมได้แบ่งปันให้กับพี่น้องได้ฟังไปแล้วก็ตาม

แต่อาดำก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ถึง 930 ปี , ยาเรด มีอายุอยู่ได้ถึง 962 ปี ,เมธูเสลาห์ มีอายุอยู่ได้ถึง 969 ปี , ลาเมค มีอายุอยู่ได้ถึง 777 ปี , โนอาห์ มีอายุอยู่ได้ถึง 950 ปี , เทราห์ มีอายุอยู่ได้ถึง 205 , อับราฮัม 175 มีอายุอยู่ได้ถึง ,อิสอัค มีอายุอยู่ได้ถึง 180 ปี , โมเสส มีอายุอยู่ได้ถึง 120 ปี , โยชัว มีอายุอยู่ได้ถึง 110 ปี

มีคริสเตียนหลายคนอ่านพระคำของพระเจ้ามาถึงตอนนี้แล้วเกิดคำถามในทำนองที่ว่า อาดำทำบาป ทำให้ต้องถูกสาป แต่ทำไมเค้าถึงกับมีอายุยืนได้ถึงเกือบ 1000 ปี

คำตอบก็คือว่า คนในสมัยนั้นอาจจะยังมีไม่มาก มลภาวะที่เป็นพิษก็ยังไม่ได้เลวร้ายเหมือนทุกวันนี้ แต่ถ้าพี่น้องสังเกตให้ดีๆพี่น้องก็จะพบว่าคนรุ่นต่อๆมาก็จะเริ่มมีอายุที่สั้นลงเรื่อยๆจนถึงโมเสสที่มีอายุ 120 ปีและก็ดูเหมือนว่าตัวเลขนี้น่าจะเป็นตัวเลขที่เป็นมาตราฐานไปแล้ว คือ ไม่เกิน120 ปี ไม่ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะมีการพัฒนาหรือมีความก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วก็ตามมนุษย์ก็อยู่ได้ไม่เกินอายุ 120 ปี

ดังนั้นถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้เรายังมีชีวิตอยู่ให้เราได้ขอบคุณพระเจ้า และถ้าพระเจ้าให้เราอยู่ถึง 120 ปีก็ขอให้เราอยู่อย่างมีประโยชน์มากกว่าอยู่อย่างมีโทษ

กลับมาที่พระคำของพระเจ้าใน มธ.14:34-36 “ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็มาขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรทคนในตำบลนั้นจำพระองค์ได้ ก็ใช้คนไปบอกกล่าวทั่วแคว้นนั้น ต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมาเฝ้าพระองค์เขาทูลขอพระองค์โปรดให้เขาได้แตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์เท่านั้น และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายป่วยบริบูรณ์ดีทุกคน”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบคำว่า “ผู้ใด”

คำถามก็คือว่า “ผู้ใด” ในที่นี้มีความหมายว่าอย่างไร ?

“ผู้ใด” ในที่นี้มีหมายความว่า ไม่จำกัดว่าคนๆนั้นจะ 1)เป็นเพศชายหรือเพศหญิง 2) เป็นคนที่มีความรู้น้อยหรือเป็นคนที่มีความรู้มาก 3 ) ยากดีมีจนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งโดยแท้จริงแล้วองค์พระเยซูคริสเจ้าไม่ได้ทอดพระเนตรมนุษย์ที่องค์ประกอบเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นอย่างที่มนุษย์มองกันอยู่ในเวลานี้

แต่พระองค์ทรงมองมนุษย์ที่ไหนครับ ? จากเหตุการณ์ในตอนนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมองมนุษย์ที่ “ความเชื่อ” พวกเขามีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า องค์พระเยซูคริสต์ไม่ต้อง

1) อธิษฐานเผื่อพวกเขาเลยก็ได้พวกเขาก็สามารถที่จะหายโรคได้

2) พูดไม่ต้องตรัสอะไรกับพวกเขาเลยพวกเขาก็สามารถที่จะหายโรคได้

3) วางมือบนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งภายในร่างกายของพวกเขาเลยพวกเขาก็สามารถที่จะหายโรคได้

แต่พวกเขาขอกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ อะไรครับพี่น้อง ? เขาขอได้แตะชายฉลองขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้นและพวกเขาเชื่อว่าทุกคนที่ 1) เจ็บไข้ได้ป่วย 2) ถูกผีเข้านั้น จะหายดี

นับว่าเป็นความเชื่อที่ไม่ธรรมดาจริงๆครับพี่น้องที่รัก ขอพระเจ้าเมตตาเราทั้งหลายที่จะมีความเชื่อที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เพราะนี่เป็น“กุญแจที่นำไปสู่การหายโรคและการมีสุขภาพดี”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบความหมายที่ตรงตัวตามอักษรที่เฉพาะเจ้าจง

และคำๆนั้นก็คือคำว่า “แตะชายฉลองพระองค์เท่านั้น” นี่คือคำที่ตรงตามตัวอักษรอย่างเฉพาะเจาะจง พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก.1 ซึ่งผมเชื่ออย่างมั่นใจพวกเราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีว่า ใน 6วันนั้น พระเจ้าทรงเป็นผู้เนรมิตสร้างอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่าง ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งฤทธิ์อำนาจทั้งมวลในสากลจักรวาล

ดังนั้นการที่คนในตำบลเยนนาซาเรทต้องการที่จะแตะชายฉลองของพระองค์ นั่นก็หมายความว่า พวกเขาต้องการที่จะเข้าถึงแหล่งแห่งพลังหรือเข้าถึงแหล่งแห่งฤทธิ์เดชที่เหนือธรรมชาติของพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องเพื่อให้พี่น้องได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันนั่นก็คือว่า

การที่เรานมัสการพระเจ้า นั่นก็คือ การที่เราพาตัวของเราเองเข้าถึงแหล่งพลังของพระเจ้า

การที่เราอธิษฐานกับพระเจ้า นั่นก็คือ การที่เรากำลังพาตัวของเราเองเข้าถึงแหล่งแห่งฤทธานุภาพของพระเจ้า

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อคนในตำบลเยนนาซาเรททราบว่าพระองค์เสด็จมา แล้วจำได้ว่าเป็นพระองค์เขาจึงใช้คนไปบอกกล่าวทั่วแคว้นนั้น ต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมาเฝ้าพระองค์ พระคัมภีร์บางฉบับแปลว่า “ต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมานมัสการพระองค์”

ผลลัพธ์ของการที่พวกเขาได้เฝ้าพระองค์หรือนมัสการพระองค์เป็นอย่างไรครับ ? พวกเขาเข้าถึงแหล่งแห่งพลังหรือแหล่งแห่งฤทธิ์เดชที่เหนือธรรมชาติของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไรครับ ? มีใครหายครึ่งๆกลางๆมีไหมครับ ?

พระคำของพระเจ้าได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดที่ได้แตะชายฉลองของพระองค์แล้ว ก็หายป่วยบริบูรณ์ดีทุกคน นี่คือ “กุญแจที่นำพวกเขาและนำเราทั้งหลายไปสู่การหายโรคและการมีสุขภาพที่ดีได้”

สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า หลายคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าเขาพากันไปหาแหล่งพลังที่มันเป็นพลังที่ไม่จริง , เป็นพลังสำรอง , เป็นพลังเสริม เช่น พลังอะไรบ้างครับ ? พวกเขาพากันไปไหว้พวก อิฐ หิน ปูน ทราย ต้นไม้ ดวงจันทร์ ดวงดาว เป็นต้น ทั้งๆที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างในทุกสรรพสิ่งแต่พวกเขากับไม่ยอมไหว้

แต่ที่ผมตลกมากที่สุดคือพวกไหว้เรือ , ไหว้รถยนต์ , ไหว้รถสามล้อ , ไหว้รถมอเตอร์ไซค์ ไหว้รถเข็นและอื่นๆเป็นต้น แท้ที่จริงแล้วผมคิดว่า ถ้าเขาคิดจะไหว้รถทั้งหลายแหล่ที่กล่าวมานี้ ผมคิดว่าเขาน่าจะไหว้คนที่คิดค้นหรือคนที่ผลิตรถยนต์ให้เขาได้ขับไปใช้งานน่าจะดีกว่า

สิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ ไม่มีเภสัช ไม่มีคลีนิค ไม่มีสถานีอนามัย ไม่มี อสม. และอื่นๆ แต่ในเวลาต่อมา พระเจ้าได้ทรงประทานสติปัญญาให้กับมนุษย์ สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงได้เกิดขึ้นมา

ดังนั้นโรคอะไรก็ตามที่จะต้องใช้ความรู้มนุษย์ก็ควรที่จะความรู้ แต่โรคอะไรก็ตามที่ใช้ความรู้แล้ว แต่ความรู้นั้นมันไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ ให้เราใช้ความเชื่อที่เรามีในพระเจ้า

ผมจะเล่าความจริงให้พี่น้องฟังอย่างหนึ่ง ความจริงที่ว่านี้นั่นก็คือว่า มีผู้รับใช้ของพระเจ้าอยู่จำนวนไม่น้อยนะครับ ที่เมื่อเวลาสมาชิกในครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับความเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว เขาไม่ยอมพาลูก ไม่ยอมพาภรรยาไปหาหมอ แต่เขากับให้ลูกกับให้ภรรยาของเขานั้นอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างเดียว

เขาลืมไปว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ลูกและภรรยาคุณเป็นนั้นมันไม่ใช่ 1 )นอนพักผ่อนเดี๋ยวก็หาย 2)แผลที่ถลอกเดี๋ยวหนังกำพร้ามันก็งอกขึ้นมาใหม่ 3) การที่คุณอธิษฐานใช้พระเจ้าอย่างเดียวโดยที่คุณไม่ได้ใช้ตนเองเลย หมายถึง ต้องทำในสิ่งที่คุณต้องทำ และถ้าคุณจะอธิษฐานใช้พระเจ้าอย่างเดียวพระเจ้าจะให้สติปัญญากับมนุษย์มาเพื่ออะไร

ซึ่งคริสเตียนคนใดก็ตาม ที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วบอกว่าเขาจะอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างเดียวโดยไม่ยอมที่จะไปหาหมอนั้น ผมจะไม่พูดถึงเขานะครับ แต่ผมจะพูดกับพี่น้องว่า ขอให้พี่น้องอยู่ให้ห่างไกล

ดังนั้นโรคอะไรก็ตามที่จะต้องใช้ความรู้ของมนุษย์ ก็ควรที่จะความรู้มนุษย์ แต่โรคอะไรก็ตามที่ใช้ความรู้แล้ว แต่ความรู้นั้นมันไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ ก็ให้เราใช้ความเชื่อ หมายความว่า ให้เราเชื่อในพลังแห่งฤทธานุภาพของพระเจ้า และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้หายก็คือหาย และถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็อยู่อย่างให้มีประโยชน์หรือคุณค่า แต่ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ตายก็คือตายเพราะสุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องกลับไปสู่อำนาจที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้นตามที่พระคำของพระเจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน รม.8:20“เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น”

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้เข้าใจที่ตรงกันนะครับว่า“สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์ทำได้มนุษย์ต้องทำ สิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ภายหลังจากที่ได้ใช้ความรู้นั้นแล้ว แต่ความรู้นั้นมันไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ ให้เราพึ่งพาพระเจ้า ให้เราใช้ความเชื่อ”

คำถามคือว่า เชื่ออะไร ? คำตอบก็คือ เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงตรัสเอาไว้ในพระคำของพระองค์

และพระองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่าอย่างไร ? พระองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า อย่าสงสัย สงสัยไม่ได้ ห้ามสงสัย สงสัยได้แต่เจ้าจะไม่ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

มีเรื่องเล่าว่า มีจอมปลวกได้เข้าไปทำรังอยู่ในคริสตจักรแห่งหนึ่ง พี่น้องในคริสตจักรท่านหนึ่งมีใจปรารถนาที่จะอธิษฐานเผื่อให้จอมปลวกนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา ว่าแล้วเขาจึงหลับตาและอธิษฐานด้วยใจร้อนรน

อีกทั้งในคำอธิษฐานนั้นก็มีการกล่าวอ้างพระสัญญาของพระเจ้าด้วย และสุดท้ายการอธิษฐานนั้นก็จบลงในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็ปรากฏว่าจอมปลวกนั้นก็ยังอยู่ต่อหน้าเขา เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “นึกแล้วว่ามันยังอยู่”

พี่น้องคิดอย่างไรครับ กับคำพูดที่ว่า “นึกแล้วว่ามันยังอยู่” ในขณะที่เราอธิษฐานแล้วภายในจิตใจของเราคิดว่า “นึกแล้วว่ามันยังอยู่” นั่นก็เท่ากับว่าในใจของเรานั้นยังมีความสงสัยในพระเจ้าอยู่ เมื่อภายในในจิตใจของเรามันนึกอยู่แล้วว่ามันยังอยู่มันก็เลยไม่ไปไง

พี่น้องคริสเตียนหลายคนนะครับ พอเวลาอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่ดีๆแต่ภายในจิตใจของเขากับคิดขึ้นมาว่า “แล้วมันจะได้ตามที่เราขอหรือเปล่า” พี่น้องคิดอย่างไรกับการที่เราอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่ดีๆแล้วเราคิดว่า “แล้วมันจะได้ตามที่เราขอหรือเปล่า”

ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาคิดว่ามันต้องได้ แต่มันจะได้ตามที่ขอหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้น้อย เพราะเขามีความเชื่อน้อยแต่กับมีความสงสัยที่เยอะมากกว่า

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้เข้าใจที่ตรงกันนะครับว่า“สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์ทำได้มนุษย์ต้องทำ สิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ภายหลังจากที่ได้ใช้ความรู้นั้นแล้ว แต่ความรู้นั้นมันไม่สามารถที่จะช่วยเราได้ ให้เราใช้ความเชื่อ” การที่เราใช้ความเชื่อ นั่นก็เท่ากับว่าเรานั้นยอมที่จะพึ่งพาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะเป็นผู้ที่กระทำการแทนเรา และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะนำพวกเราทั้งหลายให้ไปสู่การหายโรคและการมีสุขภาพที่ดีได้

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

เราพบ

1) สาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วย

2) ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงต้อนรับทุกคนอย่างเสมอภาพและเท่าเทียมกัน

3) ถึงแหล่งพลังที่แท้จริงซึ่งมีอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

Green City