คำเทศนาเรื่อง การหนุนใจ
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก มธ.3:15-17 “แต่พระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า "บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ" แล้วยอห์นก็ยอมครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “การหนุนใจ” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่น้องที่รักครับ ชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเป็นชีวิตที่มหัศจรรย์มาก แต่ถึงกระนั้นการเสด็จมาของพระองค์ในฐานะบุตรมนุษย์นั้น พี่น้องคิดว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นต้องการได้รับการหนุนใจด้วยไหมครับ ? การที่พระบิดาทรงตรัสว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" คำนี้ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า แม้กระทั่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอง พระองค์ก็ยังต้องการได้รับการหนุนใจด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นการหนุนใจ การชูใจ การให้กำลังใจ การบำรุงขวัญกำลังใจ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ขนาดพระเจ้ายังต้องการ มนุษย์ยังเรายิ่งต้องการไหมครับ ? น่าเสียดายตรงที่ว่า สังคมของคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้นมีตรงนี้น้อยมาก ตรงกันข้ามกับสังคมคริสเตียนที่เรามีในเรื่องการหนุนใจกันและกันมากไหมครับ ?
นอกจากสังคมของคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้นมีในเรื่องของการหนุนใจที่น้อยมากๆแล้วแต่กับยังมีความเชื่อโบราณของสังคมไทยที่เชื่อกันแบบผิดๆเข้ามาผสมผสานด้วยยิ่งไปกันใหญ่ไหมครับ ? เช่น ถ้าเรามีปัญหาอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็มักจะพูดกันด้วยถ้อยคำที่ว่า เกิดมามีกรรม เกิดมาตามกรรม เกิดมาชดใช้กรรม เป็นต้น
พี่น้องคิดว่า นอกจากสังคมของคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้นมีในเรื่องของการหนุนใจที่น้อยมากๆแล้ว แต่กับยังมีความเชื่อโบราณของสังคมไทยที่เชื่อกันแบบผิดๆเข้ามาผสมผสานและเราเห็นด้วยกับมันยอมรับมัน ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน พี่น้องคิดว่ามันยิ่งไปกันใหญ่ไหมครับ ? ยิ่งไปกันใหญ่
อับราฮัม ลินคอล์น ก่อนที่เขาจะเดินเข้าสู่ทำเนียบการเป็น President ของ U.S.A. เขามีเส้นทางเดินดังนี้
1816 ครอบครัวของเขาถูกไล่ออกจากบ้าน เขาต้องทำงานช่วยครอบครัว
1818 แม่ของเขาเสียชีวิต
1831 ล้มเหลวทางธุรกิจ
1832 สมัครเป็นวุฒิสมาชิก -แพ้
1832 ตกงาน ต้องการเข้าเรียนโรงเรียนกฏหมายแต่สอบเข้าไม่ได้
1833 ยืมเงินเพื่อนมาทำธุรกิจแต่ต้องล้มละลายในตอนสิ้นปี เขาต้องทำงานใช้หนี้เพื่อนเป็นเวลา 17 ปี
1834 สมัครวุฒิสมาชิกครั้งที่ 2 -ชนะ
1835 หมั้นและเตรียมแต่งงานแต่คนรักเสียชีวิตก่อนแต่งงาน
1836 เกิดอาการทางประสาทต้องพักงาน 6 เดือน
1838 พยายามสมัครชิงตำแหน่งโฆษกวุฒิรัฐสภา -แพ้
1840 ลงสมัครรับเลือกตั้ง -แพ้
1843 สมัครเป็นสมาชิก Congress -แพ้
1846 สมัครเป็นสมาชิก Congress อีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จ ได้ไปวอชิงตัน DC ได้งานที่ดี
1848 สมัครเป็นสมาชิก Congress -แพ้
1849 สมัครงานในตำแหน่ง จนท. ดูแลที่ดินที่บ้านเกิดของเขา -ถูกปฎิเสธ
1854 สมัครเป็นวุฒิสมาชิกของอเมริกา – แพ้
1856 พยายามให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรอง Presidentในการประชุมพรรคได้เสียงสนับสนุนน้อยกว่า 100 เสียง
1858 สมัครเป็นวุฒิสมาชิกของอเมริกา -แพ้
1860 เป็นประธานาธิบดีของ U.S.A.
คำถามคือว่า ทำไมเส้นทางเดินของเขาถึงมาเป็น President ของ U.S.A. ได้ ทั้งๆที่เขาน่าจะหมดความหวังไปตั้งนานแล้ว
คำตอบคือว่า ระหว่างทางเดินของเขานั้น 1) เขาได้รับการหนุนใจโดยตลอด 2) ไม่เคยมีใครพูดกับเขาว่า เกิดมามีกรรม เกิดมาตามกรรม เกิดมาชดใช้กรรม
เจ โค รอลลิ่ง ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ครอบครัวแตกแยกและมีหนี้สินมากมาย หนังสือหลายเล่มที่เธอเขียนถูกโรงพิมพ์มากมายต่างๆตอบปฎิเสธ แต่ด้วยมุ่งมั่นตั้งใจในการเขียนของเธอ เธอจึง Harry Porter ขึ้นมา ปรากฏว่าวัยรุ่น American ชอบมาก เป็นหนังสือที่ขายดีมากพอเอามาทำเป็นภาพยนตร์ก็ทำเงินได้มาก ปัจจุบัน เจ โค รอลลิ่ง เป็นสตรี American คนหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากในปัจจุบัน
คำถามคือว่า ทำไม เจ โค รอลลิ่ง เป็นสตรี American คนหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากในปัจจุบัน
คำตอบคือว่า ระหว่างทางเดินของเขานั้น 1) เขาได้รับการหนุนใจโดยตลอด 2) ไม่เคยมีใครพูดกับเขาว่า เกิดมามีกรรม เกิดมาตามกรรม เกิดมาชดใช้กรรม
ผู้พันเซนเดอร์ คือใครครับ ? ผู้ค้นคิดสูตรไก่ทอด KFC เขาล้มเหลวในการคิดค้นสูตรมานับครั้งไม่ถ้วน ผู้พันเซนเดอร์ มาประสบความสำเร็จในการคิดค้นว่าสูตรนี้แหละ ที่น่าจะถูกปากของผู้บริโภค ตอนเขามีอายุ 60 ปี
ผมแบ่งปันกับพี่น้องเรื่องนี้เพราะอะไร ? ผมกำลังจะบอกกับพี่น้องว่า สังคมไทยเวลานี้ก้าวไกลไปมาก เรามีการศึกษาที่สูงมากขึ้น แต่การยกระดับทางความคิด สติปัญญา ยังไม่ไปไหนเลย คือ เรายังเชื่อ 1) เกิดมามีกรรม 2) เกิดมาตามกรรม 3) เกิดมาชดใช้กรรม 4) ขาดบุญวาสนา 5) ฐานไม่ดีบารมีไม่สูง
ซึ่งต่างกับ อับราฮัม ลินคอล์น , เจ โค รอลลิ่ง , ผู้พันเซนเดอร์ ที่เขาเข้าใจว่า “ ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ ” แต่เมื่อสิ่งที่เขาเลือกแล้วทำให้ชีวิตของเขานั้นต้องล้มเหลว
เขาเลือกใหม่ คือ เลือกที่จะหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจตัวเองขึ้นใหม่ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้แหละพี่น้องที่รักครับ ที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้แม้เขาจะเกิดมาบนความไม่พร้อมในเรื่องครอบครัว การขาดทางการศึกษาหรือจะเรื่องอะไรก็ตาม
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราล้มเหลว ทุกข์ยากลำบาก อ่อนกำลังเรี่ยวแรง และเลือกที่จะเชื่อว่า ที่เราไม่ประสบความสำเร็จนั้น เพราะเรา1) เกิดมามีกรรม 2) เกิดมาตามกรรม 3) เกิดมาชดใช้กรรม 4) ขาดบุญวาสนา 5) ฐานไม่ดีบารมีไม่สูง นั่นก็เท่ากับว่า เราปล่อยให้ชีวิตของเรานั้นเป็นไปตามยถากรรม ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เรายอมรับมัน เมื่อเรายอมรับมันเราก็จะเป็นบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย
โมเสส คนของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เขาเริ่มรับใช้พระเจ้าตอนอายุ 80 ปี ระหว่างการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า เขาล้มลุก คลุกคลานมาโดยตลอด ถึงกระนั้นโมเสสเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ชีวิตของเขาเป็นไปตามยถากรรม แต่เขาปล่อยให้เป็นไปตามพระเจ้ากำหนด
และด้วยการที่โมเสสให้พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำในชีวิตของเขา ผลแห่งการรับใช้ของโมเสสนั้นเป็นอย่างไรครับพี่น้อง ? ผลยังคงอยู่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นการคงอยู่อย่างถาวร อาจจะกล่าวได้ว่า ในโลกใบนี้น้อยคนมากนักพี่น้องที่รัก ที่ไม่มีใครไม่รู้จักโมเสส
ฉลธ.28:13 “ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง”
ความล้มเหลวนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากตัวของเราเองนั่นแหละที่เลือกที่จะนำหน้าพระเจ้า แต่เมื่อสิ่งที่เราเลือกแล้วทำให้ชีวิตของเรานั้นต้องล้มเหลว เราก็จะต้องเลือกใหม่ อีกทั้งเราจะต้องเลือกให้ถูก คือ เลือกที่จะหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจตัวเองขึ้นใหม่เสมอ
คำถามก็คือว่า เราจะเลือกที่จะหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจตัวเองขึ้นอย่างไร ?
สภษ.24:16 “เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก”
พระคำของพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าคนชอบธรรมล้มลง 7 ครั้งหรือจะล้มลงกี่ครั้งก็ตามมันไม่สำคัญ แต่มันสำคัญตรงที่ว่าทุกครั้งที่คุณล้มนั้น คุณพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนสู้ใหม่หรือไหม อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
แต่ถ้าพี่น้องล้มเหลวในชีวิตแล้ว พี่น้องปล่อยให้ชีวิตมันเป็นไปตามยถากรรม ปล่อยให้ชีวิตมันเป็นไปตามเวรตามกรรม เชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะกรรมเก่า เชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะมันเป็นวิบากกรรม ชีวิตของพี่น้องหลายคนก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลัง เบื่อหน่ายกับชีวิต
ดังนั้นชีวิตแบบนี้ก็จะอยู่ไปเพียงวันๆหนึ่งเพื่อรอวันตายเท่านั้น ซึ่งหลายคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าเขามีชีวิตแบบนี้จริงๆนะครับพี่น้องที่รัก แต่เราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเราจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของเราเป็นแบบนี้ อาเมน ไหมครับ ?
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงสอนให้เราดูตัวอย่างจากต้นไม้ใน มธ.6:28 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร” สิ่งพี่น้องจะต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสนั้น พระองค์ตรัสในยุคสมัยของท่าน ซึ่งมันผ่านมานานแล้วหรือยังครับ ?
ซึ่งสภาพของภูมิทัศน์ของอิสราเอลในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเต็มไปด้วยพื้นดินที่กันดาร แต่ต้นไม้ที่ทุ่งนายังคงงอกงามอยู่ได้นั่น แปลความว่า ต้นไม้นั้นมันจะต้องพยายามทำทุกๆทาง ไม่ว่ามันพยายามจะทำให้ 1) รากของมันแทงทะลุหิน 2) ลำต้นของมันหันไปหาแดดอยู่เสมอ 3) ยอดของมันแตกหน่ออยู่เสมอ มันพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มันอยู่รอดได้ เหมือนกับต้น Christina ซึ่งเป็นไม้แดดที่ผมนำมาปลูกไว้ริมรั้วใกล้ๆกับห้องน้ำด้านนอก ซึ่งถ้าพี่น้องสังเกตดูให้ดีๆ พี่น้องก็จะพบว่า ลำต้นของมัน ใบของมันนั้นพยายามที่จะเอียงเข้าหาแดดเสมอ
ถ้ามันปล่อยชีวิตของมันให้เป็นไปตามยถากรรม พี่น้องคิดว่าต้น Christina จะตายไหมครับ ? แต่นี่มันมีความรู้สึก มันเลือกที่จะหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจตัวเองขึ้นมา ต้น Christina ต้นนี้มันจึงมีชีวิตอยู่และสามารถอยู่กับเราได้จนถึงทุกวันนี้
สดด. 8:5-6 “เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขาพระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา”
พระคำของพระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนนะครับว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยให้มนุษย์นั้นต่ำกว่าพระองค์เพียงหน่อยเดียวเท่านั้น อีกทั้งพระเจ้าทรงระบายลมปราณของพระองค์ให้แก่มนุษย์ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า มนุษย์เป็นพระฉายของพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้นอยู่ในชีวิตของมนุษย์
ดังนั้นถึงคราวที่เราจะต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิต ขอให้พี่น้องได้เข้าใจว่าต้นไม้ในทะเลทรายมันยังดำรงอยู่อย่างอัศจรรย์ เราเองแม้จะทุกข์ แม้จะล้มเหลว เราเองก็จะต้องยืนอยู่ได้ด้วยเช่นกัน อาเมนไหมครับ ?
คำถามก็คือว่า เราจะเลือกที่จะหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจตัวเองขึ้นอย่างไร ?
อสย.40:31 “แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย”
เมื่อพี่น้องจะต้องประสบกับความล้มเหลว ประสบกับความท้อแท้ สิ้นหวังหรือหมดกำลังใจในชีวิต พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าให้เรานั้น “รอคอย”
ซึ่งคำว่า “รอคอย” ในที่นี้ มิได้หมายความว่า ให้พี่น้องนั้นปล่อยชีวิตของพี่น้องเป็นไปตามยถากรรมหรือปล่อยให้ชีวิตของพี่น้องเป็นไปตามเวรตามกรรมนะครับ แต่คำว่า “รอคอย” ในที่นี้หมายความว่า นิ่งสิ สงบสิ เงียบสิ ฟังเสียงของพระเจ้าสิว่า พระเจ้าได้สอนอะไรแก่เรา พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้อะไรในเรื่องนี้ พระเจ้าจะให้เรายืนอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร และพระเจ้าจะนำเราออกจากจุดนี้อย่างไร
ซึ่งพระคำของพระเจ้าใน ยน.2:4 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “พระเยซูตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง" พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์เองก็ทรงที่จะต้องเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
อาจจะกล่าวได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันมีเวลาอยู่ในตัวของมันเอง ถึงแม้พระเยซูเจ้าอยากจะทำใจจะขาด แต่ทำได้ไหมครับ ? พระองค์ยังทรง 1) รอคอยเวลาที่เหมาะสม 2) ทำทุกอย่างตามเวลา
มนุษย์เราพอมีเรื่องเข้ามา เรามักจะรออะไรไหมครับ? เรามีพี่น้องสมาชิกคนหนึ่งที่เขามีปัญหาเกี่ยวการเรื่องการเงินการทองพอมีปัญหาเขาทำอย่างไรครับ อยากจะแก้ปัญอย่างนั้นอย่างนี้ คือ ทำตัวเป็น นอสตาดามุส
พี่น้องรู้จัก นอสตาดามุส ไหมครับ ? คือ ทำตัวเหมือนกับผู้ที่หยังรู้อนาคตได้ พอแก้ไม่ได้ก็ตื่นตระหนก
มีเรื่องเล่าซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เล่าขานกันมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่อเมริกา เขาเล่าว่า
เมื่อเกิดพายุขึ้นฝูงวัวก็ตื่นกลัว และวัวหนุ่มพากันวิ่งหนีกันอย่างแตกตื่น
ในขณะที่วัวแก่ไม่วิ่งหนีและหันหน้าเข้าสู้กับพายุอย่างยืนหยัด
ท้ายที่สุด วัวหนุ่มพากันตายหมด ในขณะที่วัวแก่ยังคงมีชีวิตอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราประสบกับวิกฤตการณ์ในชีวิต เราต้องมีทีท่าทีที่ถูกต้องต่อการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าเราตื่นตระหนกต่อปัญหา เราก็จะวิ่งหนีทั้งชีวิต
ดังนั้นเมื่อคราวที่พี่น้องจะต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิต ให้เราทำอย่างไรครับ ?
“เมื่อพายุพัดมาและฟ้าคำราม ข้าจะบินขึ้นไปอยู่กับพระองค์ เพราะทรงเป็นราชา เหนือสิ่งใดๆ ข้ายืนอยู่ได้เพราะทรงเป็นพระเจ้า”
ดังนั้นเมื่อคราวที่พี่น้องจะต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิต ให้เราทำอย่างไรครับ ? นมัสการ อธิษฐาน รอคอยเวลาที่เหมาะสม
การที่พี่น้องมีวิกฤตการณ์เกิดขึ้นในชีวิต และถ้าพี่น้องอยากที่จะแก้ปัญอย่างนั้น อย่างนี้นั่นก็เท่ากับว่า 1) พี่น้องรู้สึกหวั่นวิตก 2) พี่น้องกลัว ซึ่งความกลัวมาจากใครครับ ? มาร
ความกล้ามาจากใครครับ ? มาจากพระเจ้า
ความกลัวเป็นอาวุธของมาร ความกล้าเป็นเครื่องมือของพระเจ้า
ถามว่าพระเจ้ารู้ไหมว่าพี่น้องกลัว ?
ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญเดิมพระองค์จึงหนุนใจเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “อย่ากลัวเลย จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด” และพระคำของพระเจ้าในภาคพันธสัญญาใหม่อยู่ใน มธ.6:34 ยังได้หนุนใจเราว่า"เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” แปลความว่า เมื่อวานผ่านไปแล้ว วันนี้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด พรุ่งนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
คำว่าวันนี้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไรครับ ?
เวลาที่พี่น้องมีวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต การทำวันนี้ให้ดีที่สุดของพี่น้องคืออะไรครับ ?นมัสการ อธิษฐาน รอคอยพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่เราควบคุมตัวเองให้ทำอย่างนี้ได้ไหมครับ ? คนเจ้าอารมณ์ที่คิดว่าร้ายกาจแล้ว แต่คนที่ทำตามอารมณ์ของตัวเองร้ายยิ่งกว่า
พี่น้องที่รักครับ ความวิตกกังวล ความกลัว สามารถสร้างจุดเล็กๆให้กลายเป็นความน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นถ้าพี่น้องต้องพบกับความล้มเหลวในชีวิต วิกฤตการณ์ในชีวิต พี่น้องต้องทำอย่างไรนะครับ ?
นมัสการ อธิษฐาน รอคอยพระสุรเสียงของพระเจ้า และถ้าพี่น้องทำอย่างนี้ได้พี่น้องก็จะเห็นทางออกที่สดใสของปัญหานั้นๆ ยรม.29:11 พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกข์ภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า”
สรุป พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ
เมื่อประสบกับความล้มเหลวต้องหนุนใจตัวเอง ฟื้นใจตัวเอง ชูใจตัวเอง , ไม่โทษชะตากรรมหรือชะตาชีวิต นมัสการ อธิษฐาน รอคอยพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้วจะพบกับอนาคตที่สดใสแห่งทางออกของชีวิต