การผูกพันตัวกับผู้นำ

คำเทศนาเรื่อง การผูกพันตัวกับผู้นำ

อฟ.(4:10-11) 4:10 “พระองค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ)4:11 พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และอาจารย์4:12 เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น”

พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า พระเจ้าทรงใช้ใครให้เป็นผู้ที่จะนำชาวฮีบรู ซึ่งนับเฉพาะผู้ชายเพียงอย่างเดียวนะครับมีประมาณ 600,000 คนให้ออกจากการตกเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์ ? คนๆนั้นคือใครครับ ? โมเสส

อพยพ.(3:1-10) 3:1 ฝ่ายโมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตาของเขา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน และท่านได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ

3:2 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสจึงมองดูและดูเถิด พุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่พุ่มไม้นั้นมิได้ไหม้โทรมไป 3:3 โมเสสจึงกล่าวว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้" 3:4 และเมื่อพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู พระเจ้าจึงตรัสแก่เขาออกมาจากท่ามกลางพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสส" และโมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 3:5 พระองค์จึงตรัสว่า "อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์" 3:6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ" และโมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า 3:7 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า "เราเห็นความทุกข์ของพลไพร่ของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะเหตุพวกนายงานของเขา ด้วยเรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา 3:8 และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากมือของชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 3:9 เพราะฉะนั้น ดูเถิด บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการข่มเหงซึ่งชาวอียิปต์กระทำต่อเขาแล้ว 3:10 เพราะฉะนั้น จงมาเถิด บัดนี้เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อเจ้าจะได้พาพลไพร่ของเรา คือชนชาติอิสราเอล ออกจากอียิปต์"

การทรงเรียกของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของโมเสสในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณแล้วนั่นคือ ภาพของการเจิมตั้งให้โมเสสนั้นเป็นผู้นำหรือเป็นตัวแทนของพระองค์เพื่อที่จะให้โมเสสนั้นได้ปกครองและดูแลประชากรของพระองค์ในระหว่างการเดินทางออกจากประเทศอียิปต์ให้เกิดความเป็นระบบ ระเบียบขึ้นมา

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนชาวฮีบรูจำนวนหลายแสนคนนั้นสามารถที่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือในการถูกติดตามไล่ฆ่าจากทหารของกษัตริย์ฟาโรห์ที่ทะเลแดงได้นั้น สาเหตุเพราะจากการที่พวกเขานั้นเชื่อฟังโมเสส , ผู้นำ , เชื่อฟังคนของพระเจ้า

ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า เมื่อพระเจ้าทรงเจิมตั้งใครหรือแต่งตั้งใครให้เป็นผู้นำก็ตาม พระเจ้าจะให้การรับรอง พระเจ้าจะให้การปกป้องแก่ผู้นำคนนั้นด้วย

ดังนั้นในฐานะที่พวกเราเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าการเคารพผู้นำ การให้เกียรติผู้นำ การเชื่อฟังผู้นำ การผูกพันตัวกับผู้นำ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเราทั้งหลายควรที่จะกระทำในสิ่งนี้ด้วยโดยเฉพาะถ้าผู้นำคนนั้นเป็นคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมตั้งเขาเอาไว้อย่างแท้จริง

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันใน อฟ.(4:10-11) เราพบอะไร ? เราพบว่าผู้นำนั้นเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้าและพระองค์ทรงเรียกบางคนเท่านั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ

คำถามคือว่า ดูอย่างไรว่าผู้นำ คนไหนมาจากพระเจ้า ผู้นำคนไหนยกตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำ ? 1.รู้พระคำ 2.มีชีวิตดี หมายถึง มีชีวิตที่สอดคล้องกับพระวจนะ 3. มีผลงาน 4.เมื่อผู้นำมีปัญหาเรามองเห็นได้ว่าพระเจ้ายังคงสนับสนุนเขาอยู่หรือพระเจ้ายังอยู่ด้วยกับเขาจริงๆ

เมื่อผู้นำเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้า เราเองก็ควรที่จะแสดงออกถึงการผูกพันตัวกับผู้นำ คำถามคือว่า เราจะแสดงออกถึงการผูกพันตัวนี้อย่างไร ?

ประการที่ 1 อยู่ใน อฟซ.6:19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศถึงข้อลึกลับแห่งข่าวประเสริฐได้

ประการที่ 1 คือ พี่น้องต้องเห็นความสำคัญของผู้นำ

พี่น้องลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าคริสตจักรของพระเจ้านั้นไม่มีผู้นำที่จะคอยอภิบาลฝ่ายจิตวิญญาณพี่น้องสมาชิกหรือมีผู้นำก็จริงแต่ไม่เข้มแข็ง

คำถามก็คือว่า แล้วฝูงแกะซึ่งในที่นี้ก็คือพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรของพระเจ้าในแต่ละที่ในแต่ละแห่งนั้นจะอยู่กันอย่างไรหรือจะเป็นเช่นไร ? ดังนั้นพี่น้องจะต้องคิดในเรื่องนี้อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญ พิจารณาหรือ Clear ในเรื่องนี้ให้ชัดก่อน ใครจะมาขับเคลื่อนข่าวประเสริฐของคริสตจักร ใครจะมาให้ทิศทางหรือข้อแนะแนวคิดในการดำเนินชีวิตแก่พี่น้องสมาชิกในคริสตจักร

ถ้าพี่น้องพอที่จะมองเห็นภาพอะไรบางสิ่งบางอย่าง พี่น้องก็จะเริ่มผูกพันตัวกับผู้นำคนปัจจุบันโดยการอธิษฐานกับพระเจ้าเผื่อเขา

Ex. เช่น ขอพระเจ้าให้สติปัญญาในการรับใช้พระเจ้าแก่เขา ขอพระเจ้าเสริมกำลังเรี่ยวแรงแก่เขา ขอพระเจ้าอวยพรการเงินให้กับครอบครัวของผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วย ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องในคริสตจักรที่จะมีกำลังมีความสามารถในการดูแลคนของพระเจ้าได้อย่างมีคุณภาพด้วย ขอพระเจ้าทรงจัดเตรียมผู้รับใช้ในอนาคตให้กับคริสตจักรที่จะมีลักษณะชีวิตแห่งการรับใช้แบบ ท่าน อ.Paual เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นต้นทุนของคริสตจักรฯ

ประการที่ 2 อยู่ใน มธ.10:40 , 1ธส.5:12-13 , ฮบ.13:7 รม.13:1-2

มธ.10:40 ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ให้การยอมรับผู้นำที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมานั่นก็เท่ากับเขาก็ยอมรับในเราหรือในพระเจ้าด้วย

(1ธส.5:12-13) 12 พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้รู้จักคนที่ทำงานอยู่ในพวกท่าน และปกครองท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า และตักเตือนท่าน 13 จงเคารพเขาให้มากในความรักเพราะงานที่เขาได้กระทำ และจงอยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงเคารพ นับถือและรักเขาให้มากเพราะเห็นแก่งานที่เขานั้นได้กระทำ

ฮบ.13:7 ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ปกครองท่าน ผู้ซึ่งได้ประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่าน และจงพิจารณาดูผลปลายทางของเขา แล้วจงตามอย่างความเชื่อของเขา พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของผู้นำของท่าน

(รม.13:1-2)1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจ เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น2 เหตุฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ขัดขืนอำนาจนั้นก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะนำพระอาชญามาสู่ตนเอง พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ที่มีอำนาจปกครองท่าน

โดยสรุปในประการที่ 2 นี้นั่นก็คือ จงอยู่ในการเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทในการให้คำแนะนำหรือคำสอนเพราะผู้นำเป็นผู้ที่ทำงานของพระเจ้าและเป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากพระเจ้า

ประการที่ 3 อยู่ใน มธ.10:11-14 , มธ.10:42

(มธ.10:11-14) 11 เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือเมืองใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้นจนกว่าจะจากไป12 ขณะเมื่อท่านขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้น 13 ถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของท่านอยู่กับเรือนนั้น แต่ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่ท่าน 14 ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย

มธ.10:42 และผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะนามแห่งศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้"

ประการที่ 3 โดยการปรนนิบัติ

พี่น้องที่รักครับ การปรนนิบัติคนของพระเจ้า การปรนนิบัติผู้นำ การปรนนิบัติผู้รับใช้ของพระเจ้าถือได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งในชีวิตของการเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ซึ่งถ้าพี่น้องมีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมคริสตจักรฯที่ประเทศเกาหลีใต้สักครั้งหนึ่งในชีวิตพี่น้องจะเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน ต้องบอกเลยว่าเขาให้เกียรติคนของพระเจ้าอย่างมากจริงๆ

คำถามก็คือว่า เป็นสิทธิพิเศษอย่างไร ? การปรนนิบัติคนของพระเจ้า ถือได้ว่าเป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทางตรงคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเป็นผู้โปรดเจิมและแต่งตั้งผู้นำคนนั้นเอาไว้ นั่นก็เท่ากับว่า พี่น้องได้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยทางตรง

ทางอ้อมคือ ผู้นำคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมและแต่งตั้งนั้น เขาเป็นผู้ที่ประกอบพระราชกิจหรือทำหน้าที่แทนพระเป็นเจ้านี่คือทางอ้อม

และนี่คือสิทธิพิเศษในการที่เรานั้นจะผูกพันตัวกับผู้นำผ่านการปรนนิบัติผู้รับใช้ของพระเจ้า ซึ่งพี่น้องสามารถที่จะปรนนิบัติผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ทั้ง

ประการที่ 3.1 ในเรื่องส่วนตัว ประการที่ 3.2 ในเรื่องส่วนรวม

คำถามคือว่า อะไรบ้างที่เป็นเรื่องส่วนตัว ? และอะไรบ้างที่เป็นเรื่องส่วนรวม

ในเรื่องส่วนตัว Ex.เช่น ถ้าพี่น้องมีบ้านพักตากอากาศก็เปิดบ้านให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้พักอาศัยบ้าง พระคำของพระเจ้าใน มธ.10:11-14 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า บ้านใดมีโอกาสที่จะต้อนรับผู้รับใช้พระเจ้าอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติและเป็นศักดิ์ศรีของบ้านนั้น สิ่งที่เขาจะได้รับคือ พระพรตามหลักการของพระเจ้า

Ex. เช่น ถ้าพี่น้องได้รับ Bonus ประจำปี พี่น้องก็อาจจะแบ่งปันให้คนของพระเจ้าได้รับโอกาสในการที่จะได้ไปพักในสถานที่ๆดีๆบ้าง เป็นต้น

ผมขอบคุณพระเจ้าเสมอ ที่ผมมีโอกาสได้ไปทัศนศึกษาที่ประเทศอิสราเอลเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาโดยมีพี่น้องนิมิตใหม่กลุ่มหนึ่งเป็นคนถวายค่าเดินทางให้กับผมจำนวน 75% ส่วนที่เหลือพี่น้องให้ผมหาเอง

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนอีกข้อหนึ่งอยู่ใน มธ.10:42 ว่า ถ้าพี่น้องไม่มีอะไรจริงๆเลยก็ให้พี่น้องหาน้ำ กาแฟ ไมโล โอวัลติน ให้ผู้รับใช้ของพระเจ้ากินสักแก้วหนึ่งก็ได้และคนที่ทำแบบนี้พระคำของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรครับ ? เขาจะขาดบำเหน็จก็หามิได้ นั่นคือในเรื่องส่วนตัว

อะไรบ้างที่เป็นเรื่องส่วนรวม ? การรับใช้พระเจ้าร่วมกับผู้นำผ่านทางคริสตจักรของพระองค์นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวมครับ ?

พี่น้องยังจำคุณเปิ้ลกับคุณหลุยส์ ที่เคยเดินทางมากับท่าน อ.เกียรติศักดิ์ ที่สมุทรสงคราม ได้ไหมครับ ? เขาเป็นพยานว่าอย่างไรครับ ? เขาเดินทางไปร่วมรับใช้กับท่าน อ.เกียรติศักดิ์ ที่ อ.แกลง จ.ระยอง เดือนละ 2 ครั้ง

สิ่งหนึ่งที่คุณหลุยส์ทำในการปรนนิบัติรับใช้นั่นก็คือ เขาขับรถให้กับ อ.เกียรติศักดิ์ นั่งเพื่อให้ท่าน อ.เกียรติศักดิ์ ได้มีเวลาพักเพราะเมื่ออาจารย์ไปถึงที่นั่น อาจารย์จะได้มีกำลังในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ามากขึ้น ยิ่งคริสตจักรที่นั่นมีปัญหาเขายิ่งต้องยืนเคียงข้างกับผู้นำ

แต่ไม่ว่าพี่น้องจะผูกพันตัวกับผู้นำผ่านการปรนนิบัติผู้รับใช้ของพระเจ้าทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือในเรื่องส่วนรวมก็ดี สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องตระหนักอยู่เสมอ กจ.16:15 บอกกับเราอย่างชัดเจนนั่นก็คือ ความถ่อมใจ

กจ.16:15 เมื่อหญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเขาได้รับบัพติศมาแล้วจึงอ้อนวอนเราว่า "ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในบ้านของข้าพเจ้าเถิด" และเขาได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้”

พี่น้องจะต้องปรนนิบัติด้วยท่าทีที่ถูกต้องนั่นก็คือ มิใช่ด้วยการโอ้อวดแต่กระทำด้วยความถ่อมใจ

ประการที่ 4 อยู่ใน สดด.105:15 ว่า "อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายแก่ผู้พยากรณ์ทั้งหลายของเรา"

คนของพระเจ้ามีที่มาอย่างไรนะครับ ? ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องตระหนักอยู่เสมอ

พระคำของพระเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมตั้งเอาไว้ คำว่า “แตะต้อง”คำนี้ มิได้หมายถึง การ “แตะต้อง” เนื้อตัวแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงการที่พี่น้องจะต้องไม่แตะต้องคนของพระเจ้าด้วยการนินทาให้ร้ายหรือทำร้ายเขาด้วย

พี่น้องที่สมุทรสงครามซึ่งไม่ใช่บางคนนะครับแต่หลายคนที่ผมให้การสงเคราะห์ ช่วยเหลือ มากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยส่วนมากในเวลานี้ ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว นอกจากไม่ได้อยู่กับเราแล้วโดยส่วนมากหลายๆคนก็หลงไปจากทางของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

กว่า 13 ปีแล้วนะครับที่ผมกับ อ.ดาร์ มารับใช้พี่น้องที่สมุทรสงคราม ถ้าให้ผมตีตัวเลขแบบเร็วๆกลมๆ ในการสงเคราะห์ช่วยเหลือ ผมขอเรียนกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อเลยนะครับว่ามากกว่า 500,000฿ พี่น้องคิดว่าน้อยหรือมากครับ แต่หลายคนก็ยังเอาผมไปพูดติฉินนินทาพูดนั่นพูดนี่กับพี่น้องเยอะแยะมากมาย

เฉกเช่นเดียวกับพี่น้องที่เพชรบุรีบางคน เอาผมไปติฉินนินทาในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงหลายเรื่อง หาว่าผมไปขโมยแกะหรือสมาชิกของโบสถ์อื่นมาเป็นของตัวเองบ้าง หาว่าผมมีอะไรกับพี่อนงค์บ้าง หาว่าผมมีอะไรกับนิสาบ้าง เห็นผมกับพี่หนุ่ยเดี๋ยวกอด เดี๋ยวกอด สงสัยว่าผมกับพี่หนุ่ยน่าจะมีอะไรกันบ้าง แถมยังมีพี่น้องในคริสตจักรของเราบางคนบ้าจี้ขี้เล่น เอาเรื่องพรรค์อย่างนี้ไปเล่าสู่กันฟังเพราะว่าสนุกดี

ซึ่งส่วนตัวผมไม่ถือสา เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่พี่น้องเองต่างหากกำลังแตะต้องผู้รับใช้ของพระเจ้า สิ่งที่ผมเห็นนั่นก็คือว่า ชีวิตของคนที่กระทำแบบนี้โดยส่วนมากก็ไม่ได้พบกับความเจริญรุ่งเรืองแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามพวกเขากับใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพชเวทนา ซึ่งผมได้แต่อธิษฐานกับพระเจ้าเผื่อพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพี่ยงค์ชัยหรือน้อง Pat ที่พวกเขานั้นจะได้มีโอกาสกลับใจมาหาพระเจ้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง

พี่น้องยังคงจำเรื่องราวของซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์คนแรกของชนชาติอิสราเอลได้ไหมครับ ? ซาอูลมีความรู้สึกอิจฉาที่ประชาชนของเขานั้นรักดาวิดมากกว่าซาอูล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซาอูลคิดหมายที่จะฆ่าดาวิดอยู่โดยตลอด

ดาวิดล่วงรู้เรื่องนี้ เขาจึงหนีออกมาจากซาอูล ซาอูลนำทหารออกติดตามตัวเขา แต่เมื่อซาอูลกับทหารพักผ่อนนอนหลับอยู่ในถ้ำ ดาวิดสบโอกาสจึงลงไปในถ้ำ แล้วหยิบเอามีดสั้นติดตัวของซาอูลออกมาแล้วตัดชายฉลองของซาอูล

แล้วปีนกลับขึ้นไปที่ข้างบนถ้ำแล้วตะโกนบอกซาอูลว่าข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ซาอูลพร้อมทหารตื่นขึ้น ดาวิดบอกกับซาอูลว่า กษัตริย์ของข้า ถ้าข้าพระองค์คิดไม่ดีต่อพระองค์จริงๆข้าพระองค์คงจัดการท่านไปแล้ว

แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่สามารถปกป้องท่านได้ท่านลองดูที่ชายฉลองของพระองค์สิ พร้อมๆกับที่ดาวิดโยนมีดสั้นติดตัวของซาอูลลงไปในถ้ำ

(1 ซมอ.24:5-6) 5 ต่อมาภายหลังใจของดาวิดก็ตำหนิตัวท่านเอง เพราะท่านได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
6 ท่านว่าแก่คนของท่านว่า "ขอพระเยโฮวาห์ทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงเจิมไว้"

มีบางคนถามผมว่า ทำไมผู้นำทำผิดแล้วสมาชิกทำอะไรไม่ได้หรือ ? ทำได้ครับ สิ่งที่พี่น้องทำได้คือ 1.ให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อผู้นำแล้วพูดคุยกับผู้นำคนนั้นอย่างตรงไปตรงมาเหมือนดาวิด 2.อธิษฐานเผื่อตัวของพี่น้องเองและให้พี่น้องพาตัวเองออกมา 3.พี่น้องได้โปรดอย่าทำอะไรไปมากกว่านี้ ส่วนที่เหลือถ้าเขาไม่กลับใจใหม่กับพระเจ้าจริงๆให้พี่น้องดูฉากจบของชีวิต Saul

อยู่ใน (1 ซมอ.31:4-6) 4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า "จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ เป็นการลบหลู่เรา" แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออกทรงล้มทับดาบนั้น 5 และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่าซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาเองตายด้วย 6 ดังนั้น ซาอูลก็สิ้นพระชนม์ ราชโอรสทั้งสาม และผู้ถืออาวุธของพระองค์ก็สิ้นชีวิต ตลอดจนคนของพระองค์ทั้งสิ้นก็ตายเสียในวันเดียวกัน

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเมื่อ Saul นั้นไม่กลับใจจริงๆพระเจ้าทรงมอบ Saul ไว้ในมือของชาวฟิลิสเตียถึงตาย

คำถามคือว่า Saul ตายคนเดียวไหมครับ ? ราชโอรสและคนถือดาบก็ตายด้วย สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อสารกับพี่น้องนั่นก็คือว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องราวของ Saul เท่านั้น

แต่มันเป็นเรื่องราวของพวกเราในเวลานี้ด้วย หลายเรื่องที่พี่น้องทำ ถึงแม้ว่ามนุษย์นั้นจะไม่รู้ แต่พระเจ้าทรงรู้ เพราะพระองค์เป็นองค์สัพพัญญูญาณ

แต่ที่พระเจ้ายังไม่ทำอะไรกับพี่น้อง เพราะพระองค์ทรงอดทนนาน แต่เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพี่น้องยังคงมีใจหิน ใจแข็ง ใจกระด้าง ไม่กลับใจใหม่ ไม่บังเกิดใหม่กับพระเจ้าอย่างแท้จริง

พระเจ้าจะทรงมอบพี่น้องเอาไว้กับความปรารถนาชั่วของพี่น้องเอง ในที่นี้คือ Saul ตามฆ่า David ท้ายที่สุด Saul ถูกทหารชาวฟิลิสเตียตามฆ่า พระเจ้าจะทรงมอบพี่น้องเอาไว้กับความปรารถนาชั่วของพี่น้องเอง

เมื่อสักครู่ผมได้บอกกับพี่น้องไปแล้วนะครับว่า คำว่า “แตะต้อง”คำนี้มิได้หมายถึงการ “แตะต้อง” เนื้อตัวแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พี่น้องจะต้องไม่แตะต้องคนของพระเจ้าด้วยการติฉินนินทาให้ร้ายหรือทำร้ายเขา

อีกประการหนึ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่าคำว่า แตะต้อง คำนี้รวมถึงการที่พี่น้องจะต้องไม่กระทำตัวตีเสมอผู้นำด้วย

(กดว.12:1-11) 1 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนเอธิโอเปียที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนเอธิโอเปียคนหนึ่ง 2 เขาทั้งสองกล่าวว่า "พระเยโฮวาห์ตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ" พระเยโฮวาห์ทรงได้ยิน 3 (โมเสสเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน) 4 ทันใดนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า "เจ้าทั้งสามจงออกมาที่พลับพลาแห่งชุมนุม" เขาทั้งสามก็ออกมา5 พระเยโฮวาห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า 6 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้พยากรณ์ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเยโฮวาห์จะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน

7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในวงศ์วานทั้งหมดของเราเขาสัตย์ซื่อ 8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจน ไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเยโฮวาห์ ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา" 9 พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย 10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน 11 และอาโรนพูดกับโมเสสว่า "อนิจจา เจ้านายของข้าพเจ้า ขออย่าลงโทษบาปเราทั้งสองที่ได้กระทำความเขลาและบาปเช่นนี้

พี่น้องที่รักครับ ผู้นำมีการทรงเรียกของพระเจ้า มีการเจิมจากพระเจ้า ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า อาจจะมีบางด้านหรือหลายๆด้านๆ ที่พี่น้องสมาชิกนั้นเหนือกว่าผู้นำหรือมีความเหนือกว่าคนของพระเจ้าซึ่งอันนี้เป็นเรื่องจริง

แต่สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า แต่ถ้าเป็นงานรับใช้พระเจ้า แต่ถ้าเป็นงานฝ่ายจิตวิญญาณคุณจะต้องฟังเขาเพราะเขามีการเจิมตั้งที่มาจากพระเจ้า

พระคัมภีร์ในตอนนี้ทำให้เราทราบว่า พี่สาวกับพี่ชายของโมเสส เขากำลังคิดว่าเขาทั้ง 2 คนนั้นมีความเหนือกว่าโมเสส เพราะโมเสสแต่งงานกับผู้หญิงชาวคูชหรือชาวเอธิโอเปียซึ่งเป็นหญิงต่างด้าว มิเรียมกับอาโรนเขาจึงคิดว่าเขานั้นมีความชอบธรรมมากกว่าโมเสส

เขาจึงพูดกับโมเสสว่า โมเสสขนาดเธอมีเมียต่างด้าวต่างแดนพระเจ้ายังตรัสกับเธอได้ ฉันกับอาโรนแต่งงานกับคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยกันเอง พระเจ้าจะไม่ตรัสกับฉันหรือตรัสกับอาโรนมากกว่าเธอหรือ ? นี่คือการแตะต้องผู้นำด้วยการตีตัวเสมอผู้นำ

10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน ส่วนอาโรนกลับใจในทันทีและสารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า 11 และอาโรนพูดกับโมเสสว่า "อนิจจา เจ้านายของข้าพเจ้า ขออย่าลงโทษบาปเราทั้งสองที่ได้กระทำความเขลาและบาปเช่นนี้

ประการที่ 5 1 คร.10:31 เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่มหรือจะทำอะไรก็ตามจงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

พี่น้องที่รักครับ การอวยพรของพระเจ้านั้น มาจากทิศทางที่หลากหลาย ทิศทางหนึ่งนั่นก็คือ ผ่านการที่เรานั้นเชื่อฟังยำเกรงในพระวจนะคำของพระเจ้า อีกทิศทางหนึ่งนั่นก็คือ ผ่านทางผู้นำที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมและแต่งตั้งเอาไว้

คำถามคือว่า พระพรที่ได้รับจากคนของพระเจ้าสำคัญไหม ?ถ้าไม่สำคัญ ยาโคบคงไม่คิดที่จะแย่งสิทธิในการเป็นบุตรหัวปีไปจากเอซาว

ดังนั้นคำอวยพรหรือพระพรที่ได้รับจากคนของพระเจ้าสำคัญไหม ? เพราะผู้นำเปรียบเสมือนตัวแทน เปรียบเสมือนท่อพระพร ที่นำพระพรของพระเจ้ามาถึงบรรดาธรรมิกชน ดังนั้นการอวยพรของผู้นำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ พี่น้องจะต้องจงรักและภักดีต่อพระเจ้าผ่านคนของพระเจ้าหรือผ่านทางผู้นำ เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

สรุป การผูกพันตัวกับผู้นำ

ประการที่ 1.พี่น้องต้องเห็นความสำคัญของผู้นำ

ประการที่ 2.โดยการเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาท

ประการที่ 3.โดยการปรนนิบัติ

                 3.1 ในเรื่องส่วนตัว

                 3.2 ในเรื่องส่วนรวม

ประการที่ 4 อย่าแตะต้องผู้รับใช้และอย่าตีตัวเสมอ

ประการที่ 5 จงรักและภักดีต่อพระเจ้าผ่านคนของพระเจ้า

Green City