คำเทศนาเรื่อง การผูกพันตัวกับพี่น้อง
ในปฐมบทของการเทศนาใน Series นี้เราได้เรียนรู้กันมาแล้วถึงเหตุและผลว่า ทำไมคริสเตียนเราถึงต้องมีการผูกพันตัว ? และจากนั้นเราได้เรียนรู้กันมาแล้ว่า คริสเตียนเรานั้นต้องผูกพันตัวกับ 1.พระเจ้า 2.คริสตจักร 3.ผู้นำ
ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะมาเรียนรู้ด้วยกันในคำเทศนาที่มีชื่อเรื่องว่า “การผูกพันตัวกับพี่น้อง” โดยผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากหนังสือ อฟ.2:19 “เหตุฉะนั้นบัดนี้ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชนและเป็นครอบครัวของพระเจ้า” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
จากพระคำของพระเจ้าใน อฟ.2:19 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ? เราพบว่าคริสเตียนทั่วโลกทุกๆคนนั้นต่างๆมี 1.พระบิดาองค์เดียวกัน 2.มีความเชื่อที่เหมือนกัน พระคำของพระเจ้าเรียกผู้เชื่อทุกคนว่า วิสุทธิชน
ด้วยเหตุนี้เองวิสุทธิชนทั้งหลายหรือคริสเตียนทั่วโลกทุกคนจึงได้ชื่อเป็นพี่น้องกัน มากไปกว่านั้นพระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นนามสกุลในฝ่ายวิญญาณของเราคือนามสกุลอะไรใครรู้บ้างครับ ? วงศ์พระคริสต์
มีผู้เชื่อใหม่หลายคนนะครับพี่น้องที่รัก ที่พอเขามาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว และเมื่อเขากลับไปบอกกับคนที่บ้านว่าเขามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอที่บ้านทราบว่าพี่น้องมาเป็นคริสเตียนแล้วเท่านั้นแหละ เขากับมีความไม่พึงพอใจต่อพี่น้องเป็นอย่างมาก บางคนถึงกับแสดงออกต่อพี่น้องแบบไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ก็มี
ผู้เชื่อใหม่หลายคนก็มักที่จะมาบอกเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นให้พี่เลี้ยงหรือผู้นำในคริสตจักรฯฟัง พอพี่เลี้ยงหรือผู้นำฟังเสร็จแล้วทำอย่างไรครับ ? สิ่งที่พวกเราทำคือให้การหนุนใจ
และส่วนมากพวกเราชอบหนุนใจว่าอย่างไรครับ “ไม่เป็นไร เวลานี้น้องมีครอบครัวใหม่และใหญ่กว่าเดิมแล้วเห็นไหม” ซึ่งเป็นความจริงไหมครับ ?
ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า การที่เราจะต้องผูกพันตัวต่อกันและกันนั่นเป็นเพราะว่า เรามีพระบิดาองค์เดียวกัน เรามีความเชื่อที่เหมือนกัน เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันมากกว่านั้นเรายังใช้นามสกุลเดียวกันอีกด้วย
คำถามคือว่า เราจะผูกพันตัวต่อกันและกันอย่างไร ?
ประการที่ 1 อยู่ในหนังสือ ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา”
พี่น้องที่รักครับ ในคริสตจักรของพระเจ้านั้นเราทุกคนต่างมีที่มาที่ไปหรือเราทุกคนต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน Ex. บางคนก็มีความรู้มาก บางคนก็มีความรู้น้อย บางคนก็ไม่มีความรู้อะไรเลย บางคนก็ไม่ประสีประสา บางคนก็มีฐานะดี บางคนก็มีฐานะไม่ดี อันนี้เป็นความจริง
แต่ความจริงเหนือความจริงนั่นก็คือว่า ผู้เชื่อทุกๆคนนั้นต่างมีแหล่งที่มาที่เหมือนกันนั่นก็คือ 1.ในฝ่ายกายภาพนั้นคือทุกคนมาจากดินเหมือนกัน 2.ในฝ่ายจิตวิญญาณนั้นคือทุกคนมาจากลมปราณของพระเป็นเจ้า
ดังนั้นในประการที่ 1 เราจะต้องตระหนักโดยการเห็นคุณค่าของพี่น้องในเรื่องนี้นั่นก็คือ เขาคือพระฉายของพระเจ้า เขาคือคนที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา พระเจ้าทรงอยู่ภายในเขา
และด้วยการที่พระคำของพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้อย่างนี้ จึงทำให้ข่าวประเสริฐในบางพื้นที่ Ex. India พี่น้องคิดว่าการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้ากระทำได้ง่ายหรือยากครับ เพราะอะไรครับ ? เพราะนั่นเท่ากับว่าเราไปยกเลิกระบบการแบ่งชั้น วรรณะของเขาพี่น้องคิดว่าเขายอมไหมครับ ?
พี่น้องเคยดูหนังเรื่อง Amazing Grace ไหมครับ ? เคยฟังเพลง Amazing Grace ไหมครับ ? คนที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมาในนั้นอดีตเขาเคยเป็นคนค้าทาสมาก่อน
แต่เมื่อเขาได้มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว และเขารู้ว่ามนุษย์คือพระฉายของพระเจ้า เขาคือคนที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา พระเจ้าทรงอยู่ภายในเขา พี่น้องคิดว่าเขาเลิกจากอาชีพนี้ไหมครับ ? นี่คือคนที่ได้พบกับพระคริสต์อย่างแท้จริง
นอกเหนือจากการที่เราผูกพันตัวกับเขาเพราะเราตระหนักว่า เขาเป็นพระฉายของพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาแล้ว พระคำของพระเจ้าใน 1คร.12:12-31 ยังบอกบางสิ่งบางอย่างกับเราเอาไว้ด้วย
1คร.12:12-31 (12) ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น 13 เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิว หรือพวกกรีก เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวนั้นซาบซ่านอยู่ 14 เพราะว่าร่างกายมิได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ 15 ถ้าเท้าจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นมือ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" เท้าจะไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนั้นก็หามิได้ 16 ถ้าหูจะพูดว่า "เพราะข้าพเจ้ามิได้เป็นตา ข้าพเจ้าจึงมิได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น" การพูดเช่นนั้นจะทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายก็หามิได้ 17 ถ้าอวัยวะทั้งหมดในร่างกายเป็นตาการได้ยินจะอยู่ที่ไหน ถ้าทั้งร่างกายเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน 18 แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์ 19 ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน 20 ความจริงมีอวัยวะหลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน 21 และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ 22 ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ 23 และอวัยวะที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ไม่น่าดูนั้น เราก็ทำให้น่าดูยิ่งขึ้น 24 เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น 25 เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน 26 ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย 27 ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น 28 และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่งอัครทูต สองผู้เผยพระวจนะ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีผู้กระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาโรค ผู้อุปการะ ผู้ครอบครอง และผู้รู้ภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ 30 ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ ทุกคนพูดภาษาแปลกๆหรือ ทุกคนแปลได้หรือ 31 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้น และข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย
พระคำของพระเจ้าใน 1คร.12:12-31 ยังบอกกับเราด้วยว่า ในการทรงสร้างมนุษย์ของพระเจ้านั้น พระองค์ไม่ได้ใส่ตะลันต์หรือความสามารถให้กับมนุษย์คนใดคนหนึ่งเอาไว้อย่างครบถ้วน
ด้วยเหตุนี้ 1คร.12:12-31 จึงได้เปรียบภาพของคริสตจักรเป็นเหมือนกับอะไรครับ ? การทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายที่เราต่างต้องการกันและกัน งานของพระเจ้าจึงจะเติบโตและเกิดผลได้
ดังนั้นการที่พี่น้องจะต้องผูกพันตัวต่อกันและกัน นอกจากการที่เราตระหนักว่าเขาเป็นพระฉายของพระเจ้าแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งนั่นก็คือเราทุกคนต่างต้องการกันและกัน
คำถามคือว่า เราจะผูกพันตัวต่อกันและกันอย่างไร ?
ประการที่ 2 อยู่ใน รม.12:13 “จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี” พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้เราผูกพันตัวกับพี่น้องของเราผ่านการสงเคราะห์ช่วยเหลือ แต่ก่อนที่พี่น้องจะให้การสงเคราะห์หรือให้การช่วยเหลือแก่พี่น้องของเราไม่ว่าจะเป็นคนใดก็ตาม ผมขอแนะนำให้พี่น้องได้ให้การสงเคราะห์หรือให้การช่วยเหลือพี่น้องของเราด้วยท่าทีตามพระคำของพระเจ้าใน 2 ข้อนี้
กจ.20:35 “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
Ex. Joshua & Family
มธ.25:40 “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย”
Ex.ของแถม
คำถามคือว่า เราจะผูกพันตัวกับพี่น้องผ่านการช่วยเหลือในด้านอะไรได้บ้าง ?
ประการที่ 2.1 อยู่ใน 1ยน.3:17 “แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้”
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนนั่นก็คือให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเขาในด้านทรัพย์และสิ่งของเพื่อที่เขานั้นจะดำเนินชีวิตและดำรงชีวิตต่อไปได้
เราจะผูกพันตัวกับพี่น้องผ่านการช่วยเหลือในด้านอะไรได้บ้าง ?
ประการที่ 2.2 อยู่ใน 1 ธสก.5:11 “เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น”
พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราว่า ปัญหาที่พี่น้องในคริสตจักรบางคนเจอนั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของค่าครองชีพเสมอไป แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของสามีที่ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือเชื่อในพระเจ้า หรืออาจจะเป็นเรื่องของลูกชายหรือลูกสาวและหรืออาจะเป็นเรื่องสุขภาพร่างกายของเขาเองโดยส่วนตัวก็เป็นได้
การผูกพันตัวกับพี่น้องที่มีปัญหาในลักษณะอย่างนี้นั่นก็คือเราต้องช่วยเหลือเขาไม่ใช่ด้วยกำลังทรัพย์แต่โดยการหนุนใจ ชูใจเขา แต่ถ้าเขามีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นบาดแผลที่ลึกล่ะ พี่น้องจะทำอย่างไร ?
ถ้าพี่น้องสามารถทำได้มากกว่าการหนุนใจ ชูใจ ฟื้นใจ นั่นก็คือ การเยียวยา รักษา ปลดปล่อย พี่น้องเองก็อาจจะต้องจัดเวลาที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องของเราในเรื่องนี้ด้วย
เราจะผูกพันตัวกับพี่น้องผ่านการช่วยเหลือในด้านอะไรได้บ้าง
บ้าง ?
ประการที่ 2.3 อยู่ใน 3 ยน.1:2 “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์ และเจริญสุขทุกประการ อย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น” เราสามารถที่จะผูกพันตัวกับพี่น้องผ่านการช่วยเหลือโดยการอธิษฐานเผื่อเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาอะไรก็ตาม
สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่าทุกครั้งที่เราอธิษฐานเผื่อคนอื่นหรือไม่ว่าเราจะอธิษฐานเผื่อใครก็ตามไม่ใช่เขาเท่านั้นนะครับที่ได้รับพระพร ตัวเราเองที่เป็นคนอธิษฐานเผื่อเขาก็ได้รับพระพรจากการที่เราได้อธิษฐานเผื่อเขาด้วย
คำถามคือว่า เราจะผูกพันตัวต่อกันและกันอย่างไร ?
ประการที่ 3 อยู่ใน 1ยน.3:18 “ทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”
ให้เราผูกพันตัวต่อกันและกัน ผ่านการที่เรานั้นมีความรักและมีความปรารถนาดีต่อกันและกัน สิ่งที่สำคัญคือไม่ใช่ด้วยคำพูดแต่ด้วยการกระทำ
คำถามคือว่า เราจะแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาดีนี้อย่างไร ?
ประการที่ 3.1 อยู่ใน 1 คร.13:4-7 (4) ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว (5) ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด (6) ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ (7) ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าเราจะต้องแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาดีกับพี่น้องของเราด้วยความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความรักและความปรารถนาดีของมนุษย์
เพราะอะไรพระคำของพระเจ้าถึงได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ? เพราะความรักและความปรารถนาดีของมนุษย์นั้น 1.มันมีเส้นใต้ 2.มันมีแม้ มันมีแต่ มันมีเงื่อนไข มันมีข้อต่อรองทั้งนั้น เช่น เรารักและปรารถนาดีต่อเขาเพราะเขาดีกับเรา เพราะเขาเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงของเรา แต่ถ้าเป็นคนนอกเราไม่รัก นี่คือความรักแบบมนุษย์
แต่ความรักและความปรารถนาดีแบบพระเจ้านั้นมันไม่มีขีดเส้นใต้ มันไม่มีแม้ มันไม่มีแต่ มันไม่มีเงื่อนไข มันไม่มีข้อต่อรองใดๆทั้งสิ้น พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ความรักของพระเจ้านั้นสามารถที่จะรักได้แม้กระทั่งคนที่ไม่น่ารัก ซึ่งโดยแท้จริงแล้วความรักแบบนี้มันสามารถที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราซึ่งเป็นคนบาปได้ไหมครับพี่น้อง ?
แต่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถ้าเรารับเอาความรักและความปรารถนาดีของพระเจ้านั้นเข้ามาในชีวิตของเราก่อนความรักใน 1คร.13:4-7 ซึ่งเป็นความรักที่งดงาม เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน ถึงจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้
เราจะแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาดีนี้อย่างไร ?
ประการที่ 3.2 อยู่ใน กลท.6:2 “จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะทำให้พระราชบัญญัติของพระคริสต์สำเร็จ” พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้เราแสดงความรักและความปรารถนาดีด้วยการแบกรับภาระซึ่งกันและกัน
ผมเองขอเรียนกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อและอย่างตรงไปตรงมาว่า โดยส่วนตัวผมเองได้รับพระคุณของพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างมากจริงๆ Ex.
เราจะแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาดีนี้อย่างไร ?
ประการที่ 3.3 อยู่ใน มธ.18:21-22 (21) ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ"(22) พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อคุณระลึกนึกถึงการให้อภัยที่คุณไม่สามารถให้อภัยได้ ให้คุณคิดถึงการอภัยที่ไม่สิ้นสุดของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อนั้นคุณก็จะให้อภัยพี่น้องได้เสมอ
เราจะแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาดีนี้อย่างไร ?
ประการที่ 3.4 อยู่ใน 1 ปต.4:8 “ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็จงรักซึ่งกันและกันให้มาก ด้วยว่าความรักก็ปกปิดความผิดไว้มากหลาย”
การผูกพันตัวที่เรามีให้กับพี่น้องในพระเยซูคริสต์เจ้านั้น จะต้องเป็นความรัก ความปรารถนาดีที่เป็นการก่อร่าง เป็นการเสริมสร้างกันขึ้นมา ไม่ใช่เป็นการทำลายกันและกัน สังคมที่มีการกล่าวร้าย สังคมที่มีการทำลายเวลานี้มีอยู่เยอะแยะมากมาย
แต่สังคมที่อบอุ่น สังคมที่ก่อร่างสร้างกันขึ้นด้วยความรักของพระเป็นเจ้านั้นไม่มีที่ไหนเลยพี่น้องที่รักครับ นอกจากคริสตจักรของพระองค์ ซึ่งถ้าเราทำสิ่งนี้ได้อย่างเข้มแข็ง มันจะเป็นแรงดึงดูดทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นสนใจที่อยากรู้จักพระเจ้าและอยากที่จะเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้ามากขึ้น ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่าพระเจ้าทรงได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเรา และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติผ่านคริสตจักรของพระองค์
สรุป คำเทศนาเรื่อง การผูกพันตัวกับพี่น้อง
ประการที่ 1 ผูกพันตัวโดยการเห็นคุณค่าของพี่น้อง
ประการที่ 2 ผูกพันตัวกับพี่น้องของเราผ่านการสงเคราะห์ช่วยเหลือ
ประการที่ 2.1 ผูกพันตัวด้วยการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ทรัพย์และสิ่งของ
ประการที่ 2.2 ผูกพันตัวด้วยการหนุน ฟื้นใจ
ประการที่ 2.3 ผูกพันตัวด้วยการอธิษฐานเผื่อเขาอยู่เสมอ
ประการที่ 3 ผูกพันตัวผ่านการที่เรานั้นมีความรักและมีความปรารถนาดีต่อกันและกัน
ประการที่ 3.1 ผูกพันตัวผ่านการแสดงออก
ประการที่ 3.2 ผูกพันตัวผ่านการแบกรับภาระซึ่งกันและกัน
ประการที่ 3.3 ผูกพันตัวผ่านการให้อภัยเสมอ
ประการที่ 3.4 ผูกพันตัวผ่านการเสริมสร้างไม่ใช่ทำลาย