คำเทศนาเรื่อง กุญแจสู่ความสำเร็จ/ฉวยโอกาส
อฟ.3:12-16 (12) มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า14ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ15เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย16แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกัน เราพบอะไร ? เราพบคำที่สำคัญยิ่งอยู่ 3 คำ เป็นคำที่เป็นกุญแจนำเราไปสู่คำสู่ความเร็จหรือนำเราไปสู่ความดีเลิศของชีวิต
3 คำที่ว่านี้ได้แก่คำว่า 1.บากบั่นมุ่งไป 2 ฉวยโอกาส 3.ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งในครั้งที่แล้วผมได้แบ่งปันกับพี่น้องไปแล้วกับคำว่า “บากบั่นมุ่งไป” และผมก็ได้สัญญากับพี่น้องว่า ในครั้งต่อไปผมจะแบ่งปันกับพี่น้องใน Wording ต่อไปนั่นก็คือคำว่า ฉวยโอกาส และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า กุญแจสู่ความสำเร็จ/ฉวยโอกาส
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
เราพบคำว่า ฉวยโอกาส ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว คำว่า “ฉวยโอกาส”คำนี้เป็นคำบวกหรือคำลบครับพี่น้อง ? ฉวยโอกาสเอาเปรียบ , ฉวยโอกาสขึ้นราคา , ฉวยโอกาสกักตุนสินค้า , ฉวยโอกาสกดราคาฉวยโอกาสเอาคืน ฉวยโอกาสขโมยผู้เชื่อจากคริสตจักรอื่น เป็นต้น
ดังนั้นคำว่า “ฉวยโอกาส”คำนี้ มีความหมายที่เป็นคำบวกหรือคำลบครับพี่น้อง ? พี่น้องที่รักครับ คำว่า “ฉวย ชิง ฉก” 3 คำนี้มีความหมายที่ใกล้เคียงกันมากและเป็น 3 คำที่ฟังดูแล้วเหมือนจะออกไปในทางลบมากกว่าบวก
แต่ถ้าเราได้พระคำของพระเจ้าใน กจ.9:1-8 ก็จะทำให้เรามีความเข้าใจในคำว่า ฉวยโอกาส ฉวย ชิง ฉก ได้อย่างมีความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น ให้เราอ่าน กจ.9:1-8 ด้วยกัน (1)ฝ่ายเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิตประจำการ2ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม3เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ4เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม"5เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง6แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำ ประการใดจะมีคนบอกให้รู้"7คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร8ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ? เราพบการฉวยโอกาสในทางบวกหรือลบครับ ?
กจ.9:1-2 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เปาโลก่อนจะมาพบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขาเป็นคนที่ข่มเหงและฆ่าคริสเตียนมาก่อน และการที่เปาโลทำอย่างนั้นเพราะเปาโลเข้าใจผิดว่าคริสเตียนนั้นเป็นพวกที่ดูหมิ่นพระเจ้า
และสิ่งที่เปาโลกำลังทำอยู่นี้เขากำลังถลำลึกลงไป ลึกลงไประดับไหนครับ ? ทำผิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าใน ฉลธ.5:17 “อย่าฆ่าคน” แต่ถ้าคนยิวคนไหนก็ตามที่เชื่อว่าองค์พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า เพราะธรรมบัญญัติข้อแรกที่พระเจ้าให้ไว้กับคนยิวในสมัยของโมเสสบัญญัติเอาไว้ว่าอย่างไรครับ ? อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
ดังนั้นถ้าคนยิวคนไหนก็ตามที่มีความเชื่อว่าองค์พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าซึ่งสามารถฆ่าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่จะหยุดเปาโลในเวลานั้นได้มีเพียงผู้เดียวนั่นคือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น
กจ.9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
กจ.9:8ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาหาเปาโลเองในรูปแสงส่องสว่างทำให้เขาต้องตาบอดถึงจะหยุดเปาโลได้
จากเหตุการณ์ตอนนี้พระคำของพระเจ้าบอกอะไรกับเราอีก การฉวยของพระเจ้าที่มีมาเหนือเปาโลแรงไหมครับ ? ถ้าคุณไม่หยุดเปาโลอาจถึงตายได้
กจ.9:5เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง
สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า ในเวลานั้นเปาโลถือได้ว่าเป็นคนที่ได้รับอำนาจสูงสุดในการข่มเหงคริสเตียนจากรัฐบาลโรมแต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับเปาโลในตอนนี้ทำให้เปาโลรู้ว่าโดยแท้จริงแล้วมันยังมีอำนาจที่สูงกว่าและมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกนั่นก็คืออำนาจของพระเจ้าที่ทำให้เขาตาบอดหรือหายบอดก็ได้
พี่น้องที่รักครับอำนาจของพระเจ้าเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ เปาโล เขาได้พบอำนาจนี้ ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงยอมจำนนกับ 1.สิทธิอำนาจนี้ 2.พระสุรเสียงนี้ 3.การสำแดงนี้
เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ถ้าพี่น้องได้พบกับอำนาจนี้ผ่านการหายโรค ผ่านการช่วยเหลือช่วยกู้จากพระองค์ พี่น้องก็จะต้องยอมจำนนกับ 1.สิทธิอำนาจนี้ 2.พระสุรเสียงนี้ 3.การสำแดงนี้
มากไปกว่านั้นคือ เปาโลได้ตอบสนองต่อการฉวยโอกาสของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องเพราะเวลานี้เขามีประสบการณ์ในเรื่องพลังฤทธิ์เดชของพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองแล้ว ท่าน อ.เปาโล จึงเปลี่ยนจากการเป็น “ศัตรูต่อไม้กางเขนเปลี่ยนมาเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ไม้กางเขน”
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา พี่น้องจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าท่าน อ.เปาโล จะรู้ซึ้งกับคำว่า “ฉวย” เป็นอย่างดีมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้นการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงฉวยชีวิตของท่าน อ.เปาโล เอาไว้เพื่อที่ไม่ให้ อ.เปาโล จะต้องเดินทางไปฆ่าใครต่อใครในระหว่างการเดินทางไปดามัสกัสไว้ให้เป็นของพระองค์แบบนี้ดีไหมครับ
และการที่ท่าน อ.เปาโล พยายามจะฉวยโอกาสให้ตัวของท่านเองเป็นเหมือนอย่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้าพี่น้องว่าการฉวยโอกาสแบบนี้ดีไหมครับ ?
การฉวยโอกาสแบบนี้เป็นผลบวกหรือลบครับ ? ถ้าเราเข้าใจที่มาที่ไปอย่างแท้จริง อย่างพระวจนะคำของพระเจ้าที่ผมได้ยกมาใน กจ.9:1-8 ตอนนี้ คำว่า “ฉวย ชิง ฉกหรือฉวยโอกาส” จึงไม่ใช่เป็นคำลบเสมอไป
เมื่อท่าน อ.เปาโล มีประสบการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงฉวยชีวิตของท่านเอาไว้แล้ว ท่านจึงทำไมครับ
กจ.26:9-18 (9)"ข้าพระบาทเคยได้คิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่ง ซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น10สิ่งเหล่านั้นข้าพระบาทได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระบาทรับอำนาจจากพวกมหาปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทได้ขังวิสุทธชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย11ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนัก ข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงหัวเมืองในต่างประเทศ12"ดังนั้นเมื่อข้าพระบาทกำลังไปยังเมืองดามัสกัส ได้ถืออำนาจจากพวกมหาปุโรหิต13ข้าแต่กษัตริย์ ในเวลาเที่ยงวันเมื่อกำลังเดินทางไป ข้าพระบาทได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ส่องลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบข้าพระบาทกับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระบาท
14ครั้นข้าพระบาทกับคนทั้งหลายล้มคะมำลงที่ดิน ข้าพระบาทได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพระบาทเป็นภาษาฮีบรูว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม ซึ่งเจ้าถีบประตักก็เจ็บตัวเจ้าเอง"15ข้าพระบาททูลถามว่า "พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์จึงตรัสว่า "เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหงนั่นแหละ16แต่ว่าจงลุกขึ้นยืนเถิด ด้วยว่าเราได้ปรากฏแก่เจ้าเพื่อจะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงเหตุการณ์ซึ่งเจ้าเห็น และถึงเหตุการณ์ที่เราจะสำแดงตัวเราเอง แก่เจ้าในเวลาภายหน้า17เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาตินี้ และจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปหานั้น18เพื่อจะให้เจ้าเบิกตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความบาปผิดของเขา และให้ได้รับที่ซึ่งจะได้ด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยความเชื่อในเรา"
พระคำของพระเจ้าใน กจ.26:9-18 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นคำให้การของ อ.เปาโลต่อหน้ากษัตริย์อากริปปา อ.เปาโล บอกกับกษัตรย์ อากริปปาว่า ท่านเป็นคนที่รักพระเจ้ามากและใครก็ตามที่พูดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเขาก็เกลียดคนพวกนี้มากด้วยเช่นเดียวกัน
อีกทั้งพยายามจะกระทำทุกวิถีทางกับคนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการจับ ขัง ทุบตี ฆ่าคริสเตียนเป็นจำนวนมากเขาก็ทำด้วยเช่นเดียวกัน แต่สุดท้าย ท้ายสุด ท่าน อ.เปาโล ก็บอกกับกษัตรย์อากริปปาว่า เขาไม่สามารถที่จะขัดขืนนิมิตจากสวรรค์ได้
พี่น้องเห็นอะไรไหมครับ ? ก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์จะไปถึงที่กางเขนแห่งความมรณา องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าใคร ? ปีลาต และสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำต่อหน้าปีลาตคืออะไรครับ ? ประกาศเป็นพยานในเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าในเรื่องอาณาจักรของพระองค์
เหตุการณ์ในตอนนี้ท่าน อ.เปาโล ยืนอยู่ต่อหน้าใครครับ ? กษัตรย์อากริปปา สิ่งที่ท่าน อ.เปาโล ทำคืออะไรครับ ? เขาได้ฉวยโอกาสในการที่จะประกาศเป็นพยานในเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าในเรื่องอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางแบบเดียวกันกับที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำเอาไว้ นั่นคือฉวยโอกาสที่จะนำคนให้ 1.พ้นจากน้ำมือของมาร 2.ได้รับความรอด 3.มีความสุข
ดังนั้นคนของพระเจ้าก็จะต้องเห็นคุณค่าในเรื่องของการฉวยโอกาสในลักษณะแบบนี้ด้วยเพราะการฉวยโอกาสอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งหรือนำเราไปสู่หลักชัยของพระเจ้าได้
อฟ.5:15-16 เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญาแต่ให้เหมือนคนมีปัญญา
คส.4:5 จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส
พี่น้องทราบไหมครับว่า ที่ประเทศไทยไม่ไปถึงไหนเลยเพราะอะไรทราบไหมครับ ? เพราะเรามีคนไทยที่จบ ป.ตรี ด้วยการท่องจำมากกว่าความเข้าใจ
คนไทยชอบคนที่มีความรู้หลายคนจึงพยายามส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและเรียนเสริมนั่นนี่นู่นเยอะแยะมากมายไปหมดและคนไทยเป็นคนที่เคารพคนมีความรู้ แต่พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้บอกกับเราว่า คนมีปัญญาอยู่เหนือกว่าคนที่มีความรู้
เวลานี้คริสเตียนไทยรู้ไหมครับว่า ชีวิตมันอยู่ยากขึ้น ? รู้ นั่นคือความรู้ แต่ถ้าเรารู้ว่าชีวิตมันอยู่ยากขึ้นและถ้าเราคิดว่าสถานการณ์อย่างนี้เราน่าจะฉวยโอกาสในการประกาศเป็นพยาน ความคิดแบบนี้คืออะไรครับ ? คนที่มีปัญญา
พระคำของพระเจ้าจึงสนับสนุนให้เราดำเนินชีวิตอย่างคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจหรืออย่างคนที่มีปัญญา ไม่ใช่ฉวยโอกาสแต่เรื่องธุรกิจการค้าการขายหรือฉวยโอกาสแต่ในเรื่องผลประโยชน์ของตนเท่านั้น
โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่เป็นอยู่แบบนี้คนที่มีปัญญาต้องอธิษฐานกับพระเจ้าให้มาก และพระเจ้าจะทรงนำให้เราเรียนรู้ว่าอะไรบ้างที่เราควรจะทุ่ม อะไรบ้างที่เราควรจะทิ้ง อะไรบ้างที่เราควรจะรับไว้หรือวางเฉย
20 ปีที่แล้วพระเจ้าทรงฉวยผมเอาไว้ในสภาพที่ผมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวผ่านคริสเตียนที่รักพระเจ้าคนหนึ่ง ผลจากการที่พระเจ้าทรงฉวยผมผ่านคริสเตียนที่ดีคนนี้คือแผ่นดินของพระเจ้าอาณาจักรของพระองค์ได้คนงานของพระเจ้าเพิ่มขึ้น 1 คน
แต่ถ้าคริสเตียนที่ดีคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ หรือเดินใส่หูฟังโยไม่สนใจใครหรือดำเนินชีวิตในแต่ละวันโดยสนใจแต่ตัวเอง
เราจะมองเห็นโอกาสในการที่จะฉวยข่าวประเสริฐให้กับใครไหมครับ
เวลานี้มีวิกฤตการณ์เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน โอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐเป็นของคนที่มีปัญญา ผู้ที่ฉวยโอกาสจะไม่สูญเปล่า
ชีวิตในการเริ่มต้นรับเชื่อของเราทุกคนเหมือนกัน แต่ฉากจบแห่งชีวิต ซึ่งนั่นหมายถึง บำเหน็จของการเป็นผู้เชื่อนั้นไม่เหมือนกัน การที่ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนยอมทนทุกข์ในการรับใช้ก็เพื่อต้องการรับสิ่งนี้ และโอกาสแห่งการรับบำเหน็จ นั่นก็คือการฉวยโอกาสในการประกาศเป็นพยานได้ตั้งอยู่ตรงหน้าของเราในทุกๆวันเสมอ