คริสตจักรแห่งการทำดี

คำเทศนาเรื่อง คริสตจักรแห่งการทำดี

1 มีนาคม 2015

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้บอกกับพี่น้องว่า ผมจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของคริสตจักรฟิลิปปีซึ่งเป็นคริสตจักรที่มีส่วนต่อกับรับใช้พระเจ้าของ อ.เปาโลเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของการถวายให้กับ อ.เปาโล เพื่อข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและถวายให้กับ อ.เปาโล เพื่อการเลี้ยงดูแกะของพระเจ้า ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะมาเรียนรู้จักกับคริสตจักรแห่งนี้กันให้มากขึ้น โดยในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก ฟลป.1:3-6 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ฟลป. 1:3-6 “ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้งและทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่านทุกคน ข้าพเจ้าก็ทูลขอด้วยความยินดีเพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในข่าวประเสริฐด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกมาจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าแน่ใจในสิ่งนี้ว่า พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “คริสตจักรแห่งการทำความดี” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบผู้เชื่อและคริสตจักรที่มีภาพลักษณ์ในการทำดี

                สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือบุคลิกลักษณะโดยภาพรวมของพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรแห่งนี้ก่อนว่า บุคลิกลักษณะโดยภาพรวมหรือภาพลักษณ์ของพี่น้องสมาชิกและในคริสตจักรแห่งนี้นั้นเป็นอย่างไร ?

บุคลิกลักษณะโดยภาพรวมหรือภาพลักษณ์ของพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรแห่งนี้คือเขาเป็นคนที่ดี นอกจากเขาจะเป็นคนที่ดีแล้ว เขายังเป็นผู้ที่มีความถ่อมใจ เขายังเป็นผู้ที่หนุนใจผู้อื่น อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่ให้เกียรติกับอัครฑูตหรือให้เกียรติแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างมากอีกด้วย

ซึ่งฐานแห่งการทำความดีเหล่านี้นี่เอง ส่งผลให้ชุมชนหรือสังคมที่เขาอาศัยอยู่ร่วมกัน นั่นก็คือคริสตจักรของพระเจ้าเป็นอย่างไรครับ ? ส่งผลให้ชุมชน สังคมและคริสตจักรของพระเจ้าที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นเกิดผลอย่างมากมาย

พี่น้องที่รักครับ คนที่คิดดี คนที่ทำดี ไปที่ไหนๆใครๆเขาก็ต้องการ

คนที่คิดดี คนที่ทำดี ไปทำงานกับใครที่ไหนๆที่นั่นจะเสื่อมหรือว่าที่นั่นจะจำเริญขึ้นครับพี่น้อง ?

จากไปที่แห่งหนไหน ใครๆเขาก็สาปส่งหรือถามถึงครับ? นึกถึงพร้อมกับบ่นเสียดาย

ดังนั้นพี่น้องทุกคนควรที่จะลอกหรือว่าเลียนแบบ ผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีแห่งนี้

คำถามคือว่า ทำไมเราถึงต้องลอกหรือทำไมถึงเราต้องเลียนแบบผู้เชื่อในเมืองนี้ ?

คำตอบอยู่ในพระคำของพระเจ้าที่ อ.เปาโล ได้พูดเอาไว้ในข้อที่ 3 ว่า เมื่อท่านได้คิดถึงพี่น้องเหล่านี้ขึ้นมาทีไร ท่านก็ชื่นใจทุกที ผมเชื่อว่าพวกเราคงมีประสบการณ์นี้ไม่มากก็น้อย คือ พอเราคิดถึงใครบางคนขึ้นมาแล้ว เราชื่นใจ เรามีความสุขใจขึ้นมาเพราะชื่อของเขากลายเป็นเหมือนน้ำหอมราคาแพงขึ้นมา

นี่คือบุคลิกลักษณะโดยรวมหรือภาพลักษณ์ของพี่น้องสมาชิกและในคริสตจักรแห่งนี้ และนี่คือเหตุและผลที่เราควรที่จะลอกหรือว่าเลียนแบบผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีแห่งนี้

คำถามคือว่า แล้วบุคคลิกลักษณะโดยภาพรวมหรือภาพลกษณ์ของพี่น้องสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้นั้นเป็นอย่างไร ?

บุคคลิกลักษณะโดยภาพรวมหรือภาพลักษณ์ของพี่น้องสมาชิกของคริสตจักรแห่งนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? คือ พอใครคิดถึงพี่น้องหรือพอใครคิดถึงคริสตจักรแห่งนี้ขึ้นมา ทำให้เขารู้สึก 1)หนักอกหนักใจ 2) ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาในทันที

เหตุเพราะชื่อนี้ นามสกุลนี้หรือชื่อของคริสตจักรแห่งนี้ กลายเป็นกลิ่นอับชื้นและเหม็นเปรี้ยวไปแล้ว ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะเป็นเหมือนกับผู้เชื่อในเมืองฟิลิปปีที่สะท้อนลักษณะแห่งการทำดีให้กับผู้คนในชุมชนหรือในสังคมที่เราอาศัยอยู่ได้แลเห็น

คำถามคือว่า ทำไมเราถึงต้องลอกหรือทำไมถึงเราต้องเลียนแบบผู้เชื่อในเมืองนี้ ?

คำตอบอยู่ในพระคำของพระเจ้าที่ อ.เปาโล ได้พูดเอาไว้ในข้อที่ 4 ว่า เมื่อท่านได้คิดถึงพี่น้องเหล่านี้ขึ้นมาทีไร ท่านก็มีความยินดี

คำถามก็คือว่า อ.เปาโล ท่านยินดีในอะไร ?

คำตอบก็คือว่า ท่าน อ.เปาโล นั้นยินดีในสิ่งที่พี่น้องได้ทำอีกทั้งท่านยินดีในพระเจ้าที่อยู่ในพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า “ความยินดี” ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานั้น เป็นผลพวงมาจากการที่พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีนั้นเขาได้แสวงหาพระเจ้า

พี่น้องที่รักครับ เมื่อพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรแห่งนี้ได้แสวงหาพระเจ้า พวกเขาจึงมี 1)ธรรมชาติของพระเจ้า 2)ภาพลักษณ์ของพระเจ้า

สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจ นั่นก็คือคำว่า ภาพลักษณ์กับภาพโฆษณา ว่าทั้ง 2 ภาพนี้มันแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร

ภาพโฆษณา คือ ภาพที่ไม่แท้ ภาพที่ไม่จริง เป็นภาพที่ต้องสร้างขึ้นมา เพื่อให้ของนั้นขายได้ เพื่อให้เขารัก เพื่อให้เขาเลื่อมใสศรัทธา

ส่วนภาพลักษณ์นั้น คือ ภาพแท้ ภาพจริง ตัวตนที่แท้จริงไม่ต้องสร้างภาพนั้นขึ้นมา

เมื่อพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีนั้นเขาได้แสวงหาพระเจ้า และเมื่อเขาได้พบกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นอย่างไร พระเจ้ามีภาพลักษณ์อย่างไร

1)พวกเขาก็เป็นอย่างนั้น 2)พวกเขาได้พิสูจน์ชีวิตโดยทำให้ผู้อื่นเห็นว่าเขานั้นดีจริงโดยที่พวกเขาไม่ต้องไปตีฆ้องร้องป่าวหรือทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด อาจจะกล่าวได้ว่าภาพลักษณ์หรือตัวตนที่แท้จริงจึงสำคัญกว่าภาพโฆษณา

                ขอพระเจ้าเมตตา ที่พวกเรานั้นจะเป็นเหมือนกับพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีในตอนนี้ ที่เราจะทำความดีโดยธรรมชาติของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา โดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้น โดยที่ไม่ต้องมีใครมาจูงใจอะไรทั้งสิ้น เมื่อเราทำความดีนี้แล้ว ผู้คนในชุมชนหรือในสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้น จะรู้สึกมีความชื่นชมยินดีไปด้วยกับเรา

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบว่าการทำความดีนั้นจะต้องสะท้อนไปถึงพระลักษณะของพระเจ้าด้วย

อ.เปาโลได้พูดเอาไว้ว่า เมื่อเขาคิดถึงความดีที่พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรฟิลิปปีได้กระทำ

อ.เปาโล ก็ชื่นใจและท่านก็ได้ก็ขอบคุณพระเจ้า

อ.เปาโล ก็รู้สึกยินดีและได้อธิษฐานเผื่อพวกเขา

ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกการกระทำความดีของผู้เชื่อนั้นจะต้องสะท้อนไปถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยซึ่งพระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนใน มธ. 5:16 “จงให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อว่าเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ และจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์ ครบถ้วนทุกกระบวนความเลย พี่น้องจะต้องอ่านตั้งแต่ มธ.5:13 เรื่อยมาจนถึงข้อที่ 16 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ไม่มีผู้ใดจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกัน สามารถที่จะสรุปได้ดังนี้ว่า ความดีที่เราทำนั้นจะต้องสะท้อนถึงพระลักษณะของพระเจ้า

มีคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อเขาได้ตั้งคำถาม ถามผมอย่างนี้ครับว่า อาจารย์ครับ ถ้าผมทำอย่างนี้แล้วอาจารย์คิดว่าผมเป็นคนดีไหมครับ ? แล้วเธอทำอย่างไร ?

ผมเป็นคนดีโดยที่ผม 1)ไม่ทำชั่วไง 2)ไม่สาปแช่งใครแต่ผมก็ไม่อวยพรใคร 3)ไม่ทำร้ายใครแต่ผมก็ไม่ช่วยเหลือใคร

อาจารย์คิดว่าผมทำอย่างนี้แล้วผมเป็นคนดีไหมครับ ? ดี

แต่เป็นความดีซึ่งคนที่มีคุณธรรม มีจิตใจและจิตวิญญาณที่สูงนั้นเขาไม่ทำกัน

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า การทำความดีของพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีนั้นเป็นการทำความดีที่แตะน้ำพระทัยของพระเจ้ามาก

การทำความดีที่แตะน้ำพระทัยของพระเจ้ามากเขาทำกันอย่างไร? เขาให้ด้วยใจกว้างขวาง เขาไม่ได้ให้ตามกระแส เขาไม่ได้ให้เพื่อหวังผลตอบแทน นี่คือการทำความดีที่ชนะพระทัยของพระเจ้า

มีศาสนาหนึ่งพี่น้องคิดเองนะครับว่าศาสนาไหน ที่พอถึงฤดูกาลของเขา เขาก็จะมีการส่งคนไปเดินแจกซองเรี่ยไรตามที่ต่างๆ คนในศาสนิกนั้นก็ใส่ซองกันไป 20- 50- 100- บ้าง

คำถามคือว่า ใส่เพื่ออะไร? บางคนตอบผมว่า เพื่อตัดความรำคาญ

บางศาสนาจัดกิจกรรมทางฝ่ายวิญญาณขึ้นมา บอกกับผู้ที่ศรัทธาว่า ถ้าท่านทำบุญเท่านี้ ท่านจะได้รับสิ่งนั้น จะได้สิ่งนี้ แล้วก็ให้กันไป อันนี้เป็นการให้เพื่อหวังที่จะได้รับผลตอบแทน

ที่สำคัญก็คือว่า ท่าทีในการให้แบบนี้มีอยู่ท่ามกลางผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดังนั้นผู้เชื่อคนไหนก็ตามที่ทำดีแล้วแต่เขาไม่ได้รับพระกรุณาจากพระเจ้าตอบ ขอให้พี่น้องได้เข้าใจในเบื้องต้นก่อนนะครับว่า เขานั้นได้รับในส่วนของเขาแล้ว

ดังนั้นพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรแห่งนี้ ควรที่จะตั้งเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่า พวกเรานั้นจะร่วมมือกันทำความดีเพื่อสะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความงดงามของพระเจ้าให้กับคนใน จ.สมุทรสงครามและคนในโลกนี้ได้แลเห็น

ซึ่งก่อนที่เราจะเป็นผู้สะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความงดงามของพระเจ้าได้นั้น เราจะต้องถูกสร้างให้เป็นคนที่เข้าใจในเรื่องการทำความดีนี้ก่อน เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะพรักพร้อมในการทำความดีเพื่อสะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความงดงามของพระเจ้า

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็อยากที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับมูลนิธิคริสเตียนแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อมูลนิธิว่า “กล้าทำดี” ซึ่ง ในปีหนึ่งนั้นเขาจะเปิดให้สัมนาเพียง 1 ครั้ง เท่านั้น เพื่อนำคนมาสร้างและส่งคนออกไปในโรงเรียนต่างๆ

หัวข้อที่ใช้ในการอบรมนั่นก็คือ การรักษาชีวิตที่บริสุทธิ์ โดยคุณสมบัติของผู้อบรมที่จะต้องมีนั่นก็คือ เขาจะต้องมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการที่จะรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์

ผมถามอาจารย์ผู้ให้สัมมนาว่า ทำไมคุณสมบัติของผู้เข้าสัมนาจะต้องมีเจตนารมณ์แน่วแน่ในการที่จะรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วยครับ

เขาตอบผมว่า เราจะทำดีไม่ได้ ถ้าเราไม่เป็นคนดี

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความดีนั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมาก

พระคำของพระเจ้าพูดผ่าน อ.เปโตร ไว้อย่างดีมากๆ ใน 1ปต.3:2-4 “คือเมื่อเขาเห็นการประพฤติอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นภรรยาประกอบกับความยำเกรงการประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก คือการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำ และนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงามแต่จงให้เป็นอย่างคนที่ซ่อนไว้ในจิตใจ ด้วยสิ่งที่ไม่รู้เสื่อมสลาย คือเครื่องประดับแห่งจิตใจที่อ่อนสุภาพและสงบเสงี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสายพระเนตรพระเจ้า”

เปโตร บอกว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว การทำความดีด้วยความถ่อมสุภาพเพื่อสะท้อนถึงพระลักษณะความงดงามของพระเจ้านั้นก็ดีกว่าการประดับกายด้วยอาภรณ์ใดๆทั้งสิ้น

คำถามที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะถามท่านในเช้าวันนี้ก็คือว่า ? พี่น้องผู้ซึ่งมีอาภรณ์ประดับกายที่สวยงาม พี่น้องได้สะท้อนถึงพระลักษณะความงดงามของพระเจ้ามากน้อยเพียงใด

ผู้นำทางศาสนาหลายคน ถ้าศาสนาพุทธเขาก็อยากได้รับพัดยศเป็นพระครูนั่น พระครูนี่ ถ้าศาสนาคริสต์เขาก็อยากได้รับการสถาปนาเป็น คศ. , อศจ. , ศจ , ศจ.ดร. , ศ.ศจ.ดร., และอื่นๆ

คำถามก็คือว่า ท่านผู้มีอาภรณ์แห่งศาสนศักดิ์ห่มกายทั้งหลาย ท่านได้ปลดปล่อยคนให้มาอยู่ในศีล อยู่ในธรรม ให้มารับความรอดแล้วกี่คน

พี่น้องรู้จักคนนี้ไหมครับ ? มหาตมะ คานธี เขาไม่มีอาภรณ์ที่จะห่มกาย แต่เขาได้ปลดปล่อยคนทั้งประเทศอินเดียออกจากการตกเป็นทาสของประเทศอังกฤษ ความดีที่เขาทำนั้นมีอิทธิพลมากไหมครับพี่น้อง?

มหาตมะ คานธี เขาไม่ได้ทิ้งมรดกเอาให้ไว้กับเพียงลูกหลานของเขาเท่านั้นนะครับ แต่เขายังทิ้งมรดกเอาไว้ให้กับสังคมและประเทศของเขาด้วย

แต่นั่นก็ยังเปรียบกับมรดกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้ามอบเอาไว้ให้กับเราไม่ได้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า

ความดีที่พวกเราทำเพื่อที่จะสะท้อนถึงพระลักษณะความงดงามของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงนั้น นั่นก็คือ การทำความดีกับศัตรู

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.5:38-48 แล้วให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า

ถ้าใครด่าเรา เราจะไม่ด่าตอบ แต่เราจะอวยพรเขา

ถ้าใครเอาอะไรมาขว้างใส่เรา เราจะยื่นดอกไม้ให้กับเขา

ถ้าใครจะมายึดอะไรจากเราไป เราก็จะให้เขาไปด้วยความเต็มใจเพราะเขาอาจจะกำลังขาดแคลน

พระคำของพระเจ้ายังบอกเราต่อไปอีกด้วยว่า ถ้าเราทำดีกับคนที่ทำดีด้วยนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร เพราะพวกโจร ขโมย คนโกหก คนเย่อหยิ่ง คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาก็ทำอย่างนี้

แต่ถ้าท่านทำอย่างที่เราได้บอกกับเจ้าได้ นี่แหละคือสุดยอดแห่งการทำความดีเพื่อที่จะสะท้อนถึงพระลักษณะความงดงามของพระเจ้า อีกทั้งเป็นการสำแดงชีวิตแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย

ผมได้ Close คำพูดของคนๆหนึ่งมา เขาเขียนเอาไว้ดังนี้ว่า

คนดีคือ1)คนที่ทำประโยชน์ 2)คนที่ชีวิตมีคุณค่า 3)คนที่ทำในสิ่งที่มีสาระ ผมคิดว่าเราต้องถามตัวของเราเองอยู่เสมอๆนะครับว่า

1)เราได้ทำความดีตามมาตรฐานของพระเจ้าแล้วหรือยัง

2)เวลาผ่านไปในทุกวัน ชีวิตของเรานั้นเป็นประโยชน์ มีคุณค่า มีสาระกับผู้อื่นมากขึ้นไหม

3)เวลาผ่านไปในทุกวัน เรากำลังอยู่เพื่อตัวเอง เรากำลังอยู่เพื่อผู้อื่น เรากำลังอยู่เพื่อพระเจ้ามากน้อยเพียงไร

คนอื่นเขาเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมแต่ผมเชื่อว่าสิ่งดีที่เราทำจะย้อนกลับมาเป็นพระพรให้กับตัวเราเอง

Green City