คำตอบจากพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง คำตอบจากพระเจ้า

29 มีนาคม 2015

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน. 9:31-33 31พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดยำเกรงพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “คำตอบจากพระเจ้า”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

ก่อนที่ผมจะนำพี่น้องไปที่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องก่อนว่า โดยแท้จริงแล้วพระเจ้านั้นทรงมีพระสัญญาที่มีมาเหนือสำหรับชีวิตของพวกเราทุกคนอย่างมากมาย แต่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ทำให้เราต้องยอมรับสภาพอย่างหนึ่ง นั่นก็คือว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่ขอแล้วจะได้”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 1 เราพบถึงการที่พระเจ้านั้นทรงไม่ตอบคำอธิษฐานของมนุษย์เหตุเพราะว่าคนนั้นเป็นคนบาป

คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า คนบาปคนนั้นคือใคร ?

คนบาปคนนั้นคือ คนที่ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อหรือเปล่าหรือเป็นผู้เชื่อ ?

ในทัศนะของพระคัมภีร์นั้น

1.1 คนบาป คือ คนที่ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจะทรงไม่ตอบคำอธิษฐานของผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้า แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าในหลายๆคนนั้น เขาอาจจะดูว่าเป็นคนที่มีความเคร่งครัดในศีล ในธรรมหรือเขาอาจจะดูว่าเป็นผู้ที่ทำความดีมากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนก็ตาม

แต่ถ้าเขายังไม่ได้รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระเจ้าหรือเป็นพระผู้ไถ่ บาปนั้นก็ยังไม่ได้ถูกยกออกไปจากชีวิต

ดังนั้นคำอธิษฐานของผู้ไม่เชื่อจึงไม่เป็นผล เหตุเพราะเขาใช้รหัสผิด รหัสที่ถูกต้องที่จะทำให้พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน นั่นก็คือเชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

ในทัศนะของพระคัมภีร์นั้น

1.2 คนบาป คือ คนที่เชื่อในพระเจ้าแล้วแต่ยังทำบาปเป็นปกติ Ex.เช่น ก่อนที่ยังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้านั้นเคยไม่สัตย์ซื่ออย่างไร ปัจจุบันนี้ เวลานี้ ขณะนี้ แม้ว่าจะได้มาเชื่อในพระเจ้าแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังคงไม่สัตย์ซื่ออยู่อย่างนั้น

พี่น้องที่รักครับ คนที่เชื่อถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการยกโทษและให้อภัย อีกทั้งถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการประกาศจากองค์พระเยซูคริสต์ว่าเขานั้นเป็นคนที่ชอบธรรมแล้วก็ตาม แต่ถ้าเขายังทำบาปเป็นเรื่อง 1)ปกติ 2) ธรรมดา 3) ธรรมชาติ คำอธิษฐานของผู้เชื่อแต่เขายังทำบาปอยู่นั้นจะไม่เป็นผล

มีบางคนถามผมว่า : ไหนอาจารย์เคยบอกผมว่าคนที่ไม่ได้เชื่อนั้นไม่ใช่บุตรของพระเจ้าไง และคนที่เชื่อในพระเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าไง แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ฟังคำอธิษฐานของเรา

ผมตอบว่า : คุณพูดถูกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าถือว่าไม่ใช่บุตรของพระเจ้าและคนที่เชื่อในพระเจ้าถือว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่คุณเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างไร ? คุณถึงคิดที่จะทำบาป ?

ยน.3:6 “ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์”

ดังนั้นผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยังทำบาปเป็นเรื่อง 1)ปกติ 2) ธรรมดา 3) ธรรมชาติ นั้นอาจจะกล่าวได้ว่า เขายังเป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง เพราะผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงนั้น เขาจะต้องได้รับการยกเครื่องในการเปลี่ยนแปลงทั้งความคิด จิตใจและจิตวิญญาณใหม่

แน่นอนพี่น้องที่รักครับ เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาปและเราเองก็ห้ามความคิดบาปนั้นไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะห้ามกระทำบาปตามที่คิดได้ เช่นเดียวกับการที่เราห้ามนกบินข้ามหัวเรานั้นไม่ได้ แต่เราห้ามไม่ให้นกมาทำบนหัวเราได้

(EX.Robert)

ดังนั้นผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยังทำบาปเป็นเรื่อง 1)ปกติ 2)ธรรมดา 3)ธรรมชาติ เหล่านี้เป็นบาปโดยเจตนา , เป็นบาปโดยความตั้งใจหรือเป็นบาปที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุครับพี่น้อง ?

บาปที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ เช่น เราได้กินข้าวไปแล้วๆลืมอธิษฐานอย่างนี้ตั้งใจไหมครับ ? ไม่ได้ตั้งใจ เป็นบาปที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ บาปอย่างนี้พระเจ้ายกโทษให้ง่ายไหมครับ ? ง่ายมาก

ดังนั้นผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยังทำบาปเป็นเรื่อง 1)ปกติ 2)ธรรมดา 3)ธรรมชาติ เหล่านี้เป็นบาปโดย 1)เจตนา 2 )ความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุบาปครับพี่น้อง ?

เมื่อเป็นความบาปที่คนๆนั้นตั้งใจที่จะทำ พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นแปลความว่า ไม่ใช่พระเจ้าไม่อวยพรเขานะครับ แต่คำอธิษฐานของเขาพระเจ้านั้นตอบไม่ได้ เขาจึงไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 2 เราพบกุญแจที่จะทำให้พระเจ้านั้นตอบคำอธิษฐานของเรา พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “แต่ถ้าผู้ใดยำเกรงพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์” ซึ่งนั่นหมายความว่า 2 สิ่งนี้คือความยำเกรงกับการกระทำตามนั้นจะต้องไปด้วยกัน

ยำเกรงพระเจ้าแต่กระทำตามใจของข้าพเจ้าอย่างนี้ถือว่ายำเกรงพระเจ้าไหมครับพี่น้อง ?

คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า แล้วความยำเกรงพระเจ้านั้นอยู่ที่ไหน ?

มลค.1:6 "บุตรก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา คนใช้ก็ย่อมให้เกียรตินายของเขา แล้วถ้าเราเป็นพระบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นนายความยำเกรงเรามีอยู่ที่ไหน นี่แหละพระเจ้าจอมโยธาตรัสแก่ท่านนะ โอ บรรดาปุโรหิตผู้ดูหมิ่นนามของเรา ท่านก็ว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายดูหมิ่นพระนามของพระองค์สถานใด'

พระเจ้าถามเรา ซึ่งถ้าเราดูแบบผิวเผินก็จะดูว่าเป็นคำถามที่ง่ายๆ แต่สำหรับผมแล้วนี่เป็นคำถามที่หนัก ดังนั้นก่อนที่จะตอบต้องคิดให้ดีๆเพราะสิ่งที่เราจะตอบนี้มันจะเป็นสิ่งที่กำหนดความเป็นไปในชีวิตของเรา

พระเจ้าถามว่า

ถ้าเจ้าบอกว่าเราเป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเจ้า แต่เจ้าให้เราเพียงแค่เศษของเวลา เศษเสี้ยวของเงิน เศษเสี้ยวของความสามารถ เราไม่ใช่จอมเจ้านายในชีวิตของเจ้าแต่เราเป็นเพียงขอทานในชีวิตของเจ้า

มีผู้ใหญ่คนหนึ่งถามเด็กคนหนึ่งว่า

Q : “ไอ้หนูคนที่เองตะคอก ชักสีหน้าสีตาใส่นั้นเขาเป็นใคร” ?

A : เป็นพ่อ

Q : ผู้ใหญ่คนนี้ตอบว่า ไม่ใช่ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ให้กำเนิดหนูมา ถ้าเขาเป็นพ่อของหนูจริงๆ หนูต้องให้เกียรติแก่ผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบิดามารดาของตน การกระทำเมื่อสักครู่นี้เป็นการไม่ให้เกียรติ และเมื่อหนูโตขึ้นหนูถือเป็นภัยของสังคมเพราะหนูมีแนวโน้มที่จะเป็นคนไม่รู้คุณคน

ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้านั้นเป็นบุตรของเรา แต่ถ้าเจ้าไม่ได้ให้เกียรติเรา เราก็เป็นเพียง........ในชีวิตของเจ้า

ถ้าเจ้าบอกว่าเราเป็นพระบิดา แต่ถ้าเจ้าไม่ได้ให้ความยำเกรงแก่เราอย่างสมควร ณ.จุดที่เราควรจะได้รับ เราก็เป็นพระเจ้าเพียงแค่ลมปากของเจ้า

พอใครถามว่านับถือศาสนาอะไร ? ผมนับถือพระเยซู ผมนับถือศาสนาคริสต์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะตอบนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่กำหนดความเป็นไปในชีวิตของเรา

ถ้าเจ้าบอกว่าเราเป็นพระบิดา แต่ถ้าเจ้าไม่ได้ให้ความยำเกรงแก่เราอย่างสมควร ณ.จุดที่เราควรจะได้รับ คำถามที่น่าสนใจก็คือว่าแล้ว ณ.จุดที่พระองค์สมควรที่จะได้รับนั้นอยู่ตรงไหน ?

สภษ.3:7 “อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย”

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความยำเกรงพระเจ้านั้น มันจะต้องมากกว่าการที่เรานั้นเลิกคิดที่จะทำความผิดความบาป แต่มันจะต้องไปถึงการที่เรานั้นจะต้องรู้ต่อไปอีกด้วยว่า อะไรที่พระเจ้าทรงพอพระทัยและอะไรที่พระเจ้านั้นทรงไม่พอพระทัย

ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่พระบิดานั้นได้รับจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยให้ที่ประชุมเปิดไปที่

ยน.4:34“พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ”

ลก.22:42 ว่า "พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด"

พี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า พระบุตรนั้นทรงยำเกรงพระเจ้าโดยการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา

และด้วยการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดานี้เองจึงเป็นเหตุทำให้มนุษย์ได้รับการไถ่ ถ้าองค์พระเยซูคริสต์กระทำตามเนื้อหนังแผนการณ์นี้จะสำเร็จไหมครับ ?

ดังนั้นความยำเกรงพระเจ้านั้น มันจะต้องมากกว่าการที่เรานั้นเลิกคิดที่จะทำความผิดความบาป แต่มันจะต้องไปถึงการที่เรานั้นจะต้องรู้ต่อไปอีกด้วยว่า อะไรที่พระเจ้าทรงพอพระทัยและอะไรที่พระเจ้านั้นทรงไม่พอพระทัย

และเราจะรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าได้เป็นอย่างดีด้วยการอ่านพระคำของพระเจ้า

ยน.14:23 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา 24 “ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำซึ่งท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นพระวจนะของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา”

ดังนั้นการอ่านพระวจนะ การกลั่นกรอง ใคร่ครวญและการพิจารณาพระวจนะ การคิดตามอย่างพระวจนะ การประพฤติและการปฏิบัติตามพระวจนะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราได้เดินชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความยำเกรง และนั่นเป็นเหตุทำให้พระเจ้านั้นทรงตอบคำอธิษฐานของเรา อาจจะกล่าวได้ว่า ชีวิตของเราจะขาดอะไรก็ขาดได้ แต่อย่าขาดความยำเกรงและขาดการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยเด็ดขาด อาเมน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 3 เราพบคำว่า พระองค์ก็จะทรงฟังผู้นั้น

พี่น้องที่รักครับ ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง พระเจ้าจะไม่เพียงแค่ฟังคำร้องทูลของเขาเท่านั้นนะครับ แต่เมื่อเขาอธิษฐานขอสิ่งใดจากพระเจ้า 1ยน.14 “และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา 15และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆเราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พระเจ้าก็จะทรงโปรดตอบคำของเขาด้วย ดังนั้นพระคำของพระเจ้าในข้อนี้จึงเป็นเหมือนกับหนังสือรับรองการค้ำประกัน การอำนวยพระพรของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเราทั้งหลาย

สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้นั่นก็คือว่า พระคัมภีร์นั้นมีทั้งหมด 2 ภาค แบ่งออกเป็น ภาคพันธสัญญาเดิมกับภาคพันธสัญญาใหม่ และทั้ง 2 ภาคนี้ประกอบด้วย พระคัมภีร์ย่อยทั้งสิ้นจำนวน 66 เล่ม และใน 66 เล่มนั้นมีจำนวนบททั้งสิ้น 1,189 บท

และใน 1,189 บทนั้นก็มีจำนวนข้อพระคัมภีร์ทั้งสิ้น11,173 ข้อ ที่เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเรานั้นมีมากกว่า 1,000 ข้อมีใครที่สัญญากับเรามากขนาดนี้ไหมครับ ?
            ดังนั้นพี่น้องจะต้องมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่าถ้าเรายำเกรงพระเจ้า และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง พระเจ้าจะไม่เพียงแค่ฟังคำร้องทูลของเราเท่านั้นแต่เมื่อเราอธิษฐานขอสิ่งใดเราจะได้สิ่งนั้นจากพระเจ้าด้วย

            และบุคคลที่เป็นแบบอย่างในเรื่องของการยำเกรงพระเจ้านั้นก็มีด้วยกันมากมายหลายคน ดั่งเช่นพระคำของพระเจ้าใน โยบ.1:8-9 ให้เราอ่านด้วยกัน “และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า "เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ ว่าในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย"แล้วซาตานทูลตอบพระเจ้าว่า "โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆหรือ

พี่น้องที่รักครับ ชีวิตของโยบนั้นเป็นเหมือนกับสงครามตัวแทน ระหว่างพระเจ้ากับซาตาน การดำเนินชีวิตของโยบนั้น เขาดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้าตลอดมา

จนกระทั่ง มาร ซาตาน นั้นรู้สึกอิจฉา มารซาตานจึงขออนุญาตพระเจ้าที่จะทดสอบทดลองโยบ เพื่อพิสูจน์ความรักที่เขามีต่อพระเจ้าพระคัมภีร์บันทึกว่า ไม่ว่าโยบนั้นจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ในชีวิตเช่นไร โยบเขาก็ไม่เคยตัดพ้อต่อว่าพระเจ้า ในทางที่ตรงกันข้ามโยบเขากับสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งแน่นอนพระคัมภีร์บันทึกว่าโยบนั้นสอบผ่าน ด้วยเหตุนี้โยบจึงได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างมากมาย

พระคำของพระเจ้าใน กจ.10:1-4 ได้มีการบันทึกถึงผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าอีกคนหนึ่งว่า มีชายคนหนึ่ง ชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่า กองอิตาเลียทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานพระเจ้าเสมอ เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าเข้ามาหาตนกล่าวว่า "โครเนลิอัสเอ๋ย" และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า "นี่เป็นประการใดพระเจ้าข้า" ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า "คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึงแล้ว

โครนิเลอัส เขาเป็นคนยิวที่ยำเกรงพระเจ้ามาก พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนที่ให้ทานมากและเป็นคนที่อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ผลของการดำเนินชีวิตของ โครนิเลอัส เป็นเหตุทำฑูสวรรค์ของพระเป็นเจ้าได้มาปรากฎแก่เขาและพูดกับเขาว่า “คำอธิษฐานของเขาและทานของเขานั้นองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นได้ระลึกถึงแล้ว”

เราจะมาดูตัวอย่างของบุคคลที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่าเขานั้น เป็นผู้ที่มีความยำเกรงพระเจ้าเป็นอย่างมาก อีกสักคนหนึ่งและเป็นตัวอย่างสุดท้าย อยู่ใน กท.1:14-24 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า

“และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีหัวรุนแรง ยิ่งกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าแต่เมื่อพระเจ้าผู้ทรงสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และได้ทรงโปรดบัญชาใช้ข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ ทรงพอพระทัยที่จะทรงสำแดงพระบุตรของพระองค์แก่ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรแก่ชนต่างชาตินั้น ข้าพเจ้าก็มิได้ปรึกษากับมนุษย์คนใดเลยและข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้ออกไปยังประเทศอาระเบียทันที แล้วก็กลับมายังกรุงดามัสกัสอีกสามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปหาเคฟาสที่กรุงเยรูซาเล็ม และพักอยู่กับท่านสิบห้าวันแต่ว่าข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นเลย นอกจากยากอบ น้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า(เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย)หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปในเขตแดนซีเรียและซีลีเซียข้าพเจ้าไม่ได้พบกับคริสตจักรทั้งหลายในแคว้นยูเดียเลยเขาเพียงแต่ได้ยินว่า "ผู้ที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย"พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าก็เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุ”

            พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้พูดถึงท่าน อ.เปาโล ซึ่งในอดีตท่าน อ.เปาโล นั้น ท่านเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ที่แรงกล้ามาก ท่านถึงกับขนาดข่มเหงคริสเตียนและคริสตจักร เพราะความเข้าใจผิด ท่านคิดว่าพวกคริสเตียนนั้นไปหมิ่นประมาทพระเจ้า แต่ภายหลังจากการที่ท่านได้พบกับพระเจ้าแล้ว ท่านก็เปลี่ยนจากผู้ข่มเหงคริสตจักรเป็นผู้ที่ยอมตายเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า

            และผลจากการที่ท่าน อ.เปาโล นั้นมีความเชื่อฟังยำเกรงพระเจ้า มาก ท่าน อ.เปาโล เพียงคนเดียวที่เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ในภาพพันธสัญญาใหม่มากกว่าครึ่ง ตั้งแต่โรมถึงฮีบรู ท่านเป็นผู้ที่ก่อตั้งคริสตจักรมากที่สุดในโลก แต่เบื้องหลังนั้นไม่ใช่ตัวของท่านนั้นนะครับ แต่เป็นเพราะการที่ท่านยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าจึงอวยพรท่านเป็นอย่างมาก

ดังนั้นในชีวิตของเรานั้นจะขาดอะไรก็ขาดได้ แต่อย่าขาดความยำเกรงพระเจ้า เพราะความยำเกรงนั้นเป็นเหตุให้พระเจ้านั้นฟังคำอธิษฐานและตอบคำอธิษฐานของเรา

Green City