ความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อกับผู้พบพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง ความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อกับผู้พบพระเจ้า

 

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก มธ.18-20 “พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้วเหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อกับผู้พบพระเจ้า”

                พี่น้องที่รักครับ ช่วงเดือนธันวาคม 2015 ที่ผ่านมา มีหลายคริสตจักรฯนะครับ ที่จัดคริสตมาสขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม และก็มีหลายคริสตจักรฯที่จัดคริสตมาสขึ้นในวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม ในขณะเดียวกันก็มีบางคริสตจักรฯที่จัดคริสตมาสขึ้นในวันที่ 26 , 27 ธันวาคม

                แต่ไม่ว่าคริสตจักรฯไหนจะจัดคริสตมาสตรงกับวันอะไรก็ตาม เป้าหมายของการจัดงานคริสตมาสคืออะไรครับ ? เพื่อประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้า เพื่อให้คนที่มาร่วมงานนั้นได้รับความรอด ซึ่งก็มีหลายคริสตจักรฯนะครับที่โพสต์ลงใน Social Media ไม่ว่าจะเป็นบน Face Book หรือ Post ลงใน Line Group ว่ามีคนรับเชื่อเท่านั้นเท่านี้คน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

                แต่ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องอย่างนี้ครับว่า มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

1 ที่คนจะต้อนรับพระเจ้าบนพื้นฐานของความรู้สึก

2 ที่คนจะต้อนรับพระเจ้าบนพื้นฐานความคิดทางศาสนา

                พี่น้องที่รักครับ คนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์บนพื้นฐานของความรู้สึกหรือต้อนรับพระเยซูคริสต์บนพื้นฐานความคิดทางศาสนานั้น เขาจะดำเนินชีวิตในการติดตามพระเจ้าแบบธรรมเนียมปฏิบัติหรือติดตามพระเจ้าแบบเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งเท่านั้น

คำถามที่ผมอยากชวนให้พี่น้องได้คิดร่วมกันในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ผู้เชื่อในลักษณะดังที่ผมได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้นั้น เขาได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงหรือยังครับพี่น้อง ?

มธ.26:47-56 “พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้นได้เข้ามา และมีประชาชนเป็นอันมากถือดาบ ถือไม้ตะบอง มาจากพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่แห่งประชาชนผู้ที่จะอายัดพระองค์นั้นได้ให้อาณัติสัญญาณแก่เขาว่า "เราจะจุบคำนับผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้"ขณะนั้นยูดาสตรงมาหาพระเยซูทูลว่า "สวัสดีพระอาจารย์" แล้วจุบคำนับพระองค์พระเยซูได้ตรัสกับเขาว่า "สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม" คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมไปขณะนั้น มีคนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูยื่นมือชักดาบออกฟันหูทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการขาดพระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกองแต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร"ขณะนั้นพระเยซูได้ตรัสกับหมู่ชนว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือ จึงถือดาบถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่งสั่งสอนในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่แต่เหตุการณ์ที่ได้บังเกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อจะสำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้" แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ละทิ้งพระองค์ไว้ และพากันหนีไป

                พระคำของพระเจ้าใน มธ.26:47-56 ที่เราได้อ่านร่วมกันทำให้เราทราบว่า ยูดาสอิสคาริโอท เป็นคนหนึ่งที่เขาดำเนินชีวิตในการติดตามพระเจ้า เขาติดตามพระเยซูคริสต์นานไหมครับ ?

เขาติดตามนานถึง 3-3.5 ปีแต่ในท้ายที่สุดพระคำบันทึกเอาไว้ว่า ยูดาสอิสคาริโอท เขาทำไมครับ ? ขายพระเยซูให้กับคายาฟาส

ซึ่งหมายความว่า ชีวิตในการติดตามองค์พระเยซูคริสต์ของ ยูดาสอิสคาริโอท นั้นเป็นอย่างไรครับ ? เป็นเพียงกิจวัตรหนึ่งของชีวิตของเขาเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาได้พบกับพระเจ้าจริงๆไหมครับ ?

คนที่ติดตามพระเจ้าแบบ 1)ธรรมเนียมปฏิบัติ 2)เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของชีวิตนั้น เขาคือผู้ที่ยังไม่ได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริง เพราะการที่ผู้เชื่อได้พบกับพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น มันจะส่งผลกระทบกับชีวิตของคนๆนั้นแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

และสิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะบอกกับพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า มีผู้เชื่อมากมายหลายคนในประเทศไทย ที่มีคุณลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก ยูดาสอิสคาริโอท คนนี้สักเท่าไหร่ ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังดำเนินชีวิตในการติดตามพระเจ้าอยู่

พอถึงวันอาทิตย์มานมัสการพระเจ้า ถวายทรัพย์ กินข้าว บ่ายอยู่ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง เสร็จสามัคคีธรรมแล้วกลับบ้าน

พอถึงบ้านเสร็จก็กับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เฮฮาพาโวยกับคนไม่เชื่อ เคาะถังกะลามังกับคนไม่เชื่อ

11 ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พบกับผู้เชื่อคนหนึ่ง ที่เชื่อพระเจ้ามาจากที่อื่น ผมก็เลยชวนพี่น้องท่านนี้มาร่วมนมัสการพระเจ้าด้วยที่สถานประกาศซึ่งตอนนั้นเรายังไม่เป็นคริสตจักรฯพี่น้องท่านนี้เขาพูดภาษาแปลกๆได้ เขาเต้นโลดนมัสการสรรเสริญพระเจ้าในที่ประชุม ตกค่ำไม่รู้พี่น้องท่านนี้ไปกินอะไรเข้า เขากับร้องเพลงในทำนองที่ว่า “ในโลกนี้ไม่มีหัวใจใครแน่นอน”

ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาไม่ได้เป็นผู้เชื่อที่ได้พบกับพระเจ้าอย่างแท้จริง เพราะผู้เชื่อที่ได้พบกับพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น มันจะต้องส่งผลกระทบกับชีวิตของคนๆนั้นแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ กล่าวคือ ชีวิตของเขานั้นจะต้องไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกคนหนึ่งนั่นก็คือ เปโตร ซึ่งเขาดำเนินชีวิตในการติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาไม่น้อยกว่า ยูดาสอิสคาริโอท

ซึ่งในช่วงเวลา 3-3.5 ปี ที่เปโตรดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น พี่น้องคิดว่าเปโตรได้ยินได้ฟังคำเทศนาสั่งสอน อีกทั้งเปโตรได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระเจ้ามากไหมครับ ?

เปโตร ได้ยินคำเทศน์คำสอนมามาก อีกทั้งเขาได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์ได้กระทำมาก็ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเปโตรเขาก็ยังไม่ได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริง ทั้งๆที่พระเจ้าก็ดำเนินชีวิตไปเคียงคู่กับเขาตลอดเวลา ?

แต่เปโตรเขาได้มาพบกับพระเจ้าแห่งความจริงเมื่อไหร่ครับ ?

ยน.21:5-7 พระเยซูตรัสถามเขาว่า "ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า" เขาตอบว่า "ไม่มี"พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง" เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า "เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า" เมื่อเปโตรได้ยินว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล

พระคำของพระเจ้าใน ยน.21:5-7ทำให้เราทราบว่า เปโตรเขาเพิ่งจะรู้ว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้ในวันที่เขานั้นจับปลาตลอดทั้งคืนแล้วไม่ได้ปลานั่นเอง

เช่นเดียวกับเซาโล ที่เขานั้นเข้าใจตนเองมาโดยตลอดว่า เขาเองนั้น 1)เป็นผู้ติดตามพระเจ้า 2)เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และการที่เซาโล เข้าใจอย่างนี้มาโดยตลอด เซาโลจึงเป็นปฏิปักษ์กับสาวกของพระคริสต์มาโดยตลอด

กจ.8:1 “การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้น เซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย”

กจ.8:3 “ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก”

ดังนั้นการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าของเซาโล ณ.ตอนนี้จึงไร้ความหมาย เพราะเขาดำเนินชีวิตในการติดตามพระเจ้าแบบธรรมเนียมปฏิบัติ แบบกิจวัตรทางศาสนาอย่างหนึ่งเท่านั้น

แต่เซาโลเขาได้มาพบกับพระเจ้าแห่งความจริงเมื่อไหร่ครับ ?

กจ.9:3-8 “เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า "เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม เซาโลจึงทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด" พระองค์ตรัสว่า "เราคือเยซู” ซึ่งเจ้าข่มเหง

แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้ คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นใครฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส

พระคำของพระเจ้าในกจ.9:3-8ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เซาโลนั้นเขาได้มีโอกาสมาพบกับพระเจ้าแห่งความจริงเมื่อเขานั้นตาบอดมองไม่เห็นอะไรเพียงชั่วขณะเพียง 3 วัน

คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า ภายหลังจาก 3 วันที่เซาโลได้พบกับพระเจ้าแล้วแห่งความจริงแล้ว อะไรได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาครับพี่น้องที่รัก ?

ให้เราอ่าน กจ.9:17-20 “แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า "พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์"และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติสมาพอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวันท่านไม่ได้รีรอ ท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระเยซูว่า "พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า"

พระคำของพระเจ้าก็ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ภายหลังจากการที่เซาโลนั้นได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงแล้ว เซาโลนั้นเขาไม่ “รีรอ” ในการที่จะประกาศตามธรรมศาลากล่าวเรื่องอะไรครับ ? กล่าวเรื่องพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งเป็นเรื่องที่เซาโลเคยต่อต้านมาก่อน แต่ตอนนี้เซาโลกับมาเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และนี่คือความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อกับผู้ที่ได้พบกับพระเจ้า

คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า เรื่องของเปโตร เรื่องของเซาโล นั้นได้สอนหรือได้ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้างอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิด ?

ยน.21:15-17 “เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด

เรื่องของเปโตรสอนเราว่า เมื่อเราได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงแล้ว เราต้องปรนนิบัติและรับใช้พระองค์

เรื่องของเซาโลสอนเราว่า การรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณจะต้องเข้าใจการรับใช้ การที่เซาโลบอกกว่าเขารับใช้พระเจ้าโดยเข้าไปมีส่วนในการทำให้สเตเฟ่นต้องถูกฆ่าตายหรือการที่เซาโลกำลังเดินทางไปดามัสกัสเพื่อที่จะฆ่าผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น พี่น้องคิดว่าเซาโลเขากำลังรับใช้พระเจ้าหรือเขากำลังรับใช้ซาตานครับ ?

ดังนั้นการรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายควรที่จะกระทำ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจการรับใช้พระเจ้าให้ถูกต้องถูกวิธี การรับใช้นั้นแทนที่จะเป็นพระพรกับกลายเป็นพระเพลิงก็เป็นได้

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ลงด้วยเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขามีบุคคลิกลักษณะอย่างหนึ่งนั่นก็คือตัวเตี้ยที่สุด ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าอะไรครับ ? ศักเคียส

ซึ่งรัฐบาลโรมในเวลานั้นได้มอบหมายให้ศักเคียสเป็นคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการเป็นนายด่านในเก็บภาษีให้กับรัฐบาลโรม ซึ่งสิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่าคนยิวคนไหนก็ตามที่ยอมอยู่ภายใต้การรับใช้ของรัฐบาลโรมคนยิวคนนั้นจะกลายเป็นบุคคลที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคน

1)เลวและต่ำทรามที่สุด

2)ทรยศต่อชาติ ทรยศต่อพี่น้องชาวยิวด้วยกัน

ซึ่งศักเคียสเขาไม่ได้ทำหน้าที่ในการเก็บภาษีให้กับรัฐบาลโรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ แต่เขายังทำไมด้วยครับ ?

รีดภาษีส่วนเกิน รีดภาษีส่วนต่างกับคนยิวด้วยกันเองอีกต่างหาก และส่วนที่เขารีดภาษีส่วนเกินหรือส่วนต่างเอากับคนยิวด้วยกัน พี่น้องคิดว่าศักเคียสเขาเอาภาษีส่วนเกินนี้ไปไหนครับ ? เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง

การเก็บภาษีตามใจชอบของศักเคียสเนี่ยแหละพี่น้องที่รัก คือ การขูดรีดพี่น้องชาวยิวด้วยกันเอง ศักเคียสยิ่งเก็บภาษีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีเงินเข้ากระเป๋ามาก พูดอย่างง่ายๆก็คือยิ่งทำก็ยิ่งรวย อาจจะกล่าวได้ว่า ศักเคียสสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ของเพื่อนร่วมชาติก็ว่าได้ และเหตุการณ์ที่ว่านี้ก็เป็นเช่นนี้อยู่ในทุกๆวัน

ดังนั้นชาวยิวโดยทั่วๆไป จึงมีทัศนคติต่อคนยิวที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษีต่อคนยิวด้วยกันในทำนองที่ว่า ชาตินี้คุณไม่สามารถที่จะกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีได้หรอก และนี่คือทัศนคติ มุมมอง นี่คือความรู้สึก ความนึกคิดที่คนยิวโดยทั่วๆไปต่างมีต่อคนยิวที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี

ดังนั้นชื่อเสียงของศักเคียส รวมถึงชื่อเสียงของมัทธิวก่อนที่พวกเขาจะมารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าพี่น้องคิดว่าชื่อเสียงเขาเป็นอย่างไรในหมู่ของคนยิวด้วยกันเอง ? จัดได้ว่าเน่ามากๆ

ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในลก.19:1-7 “ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไปดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมีศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่า พระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ยเขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อ เพื่อจะได้เห็นพระองค์เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้นเมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้"แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดีเมื่อคนทั้งหลายเห็นแล้วเขาก็พากันบ่นว่า "พระองค์เข้าไปพักอยู่กับคนบาป"ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ดูเถิดพระเจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถากึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใดข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า"

                ภายหลังจากที่ศักเคียสเขาได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงแล้วเขาเป็นอย่างไรครับ ? ชีวิตของศักเคียสนั้นเปลี่ยน

1)ในทันทีทันใด 2) แบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ 3)แบบอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งเป็นชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากด้วย

                และเนื่องด้วยสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แรก ของเดือนมกราคมปี 2016 ผมจึงอยากหนุนใจและท้าทายให้พี่น้องได้มีโอกาสตั้งเป้าหมายกับตนเองว่า ปีนี้จะเป็นปีที่พี่น้องจะไม่เป็นเพียงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น แต่จะเป็นปีที่พี่น้องจะได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงในชีวิตของพี่น้องด้วย

พี่น้องที่รักครับ ศักเคียสเขาได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงเขาเปลี่ยนเลยภายใน 1 วัน เซาโลเมื่อเขาได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริงเขาเปลี่ยนเลยภายใน 3 วัน เปโตรเขาใช้เวลา 3.6 ปีเขาถึงได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริง แต่เมื่อเปโตรได้พบแล้วเขาก็เปลี่ยนเลยในทันที

เปโตรเขาได้ยืนขึ้นเทศนาในวัน “เพ็นเทคอส” ทำให้คนที่มาฟังเขาเทศนา ซึ่งพระคำของพระเจ้าก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ามีจำนวนถึง 3,000 คนและ 5,000 คนได้กลับใจมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

เราเชื่อพระเจ้ากันมานานมากแล้ว บางคนเชื่อพระเจ้านานมากจนรากจะงอกออกมาจากก้นแล้วแต่ไม่เคยประกาศเป็นพยานหรือเลี้ยงดูแกะของพระเจ้าเลยอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ขอปี 2016 จะเป็นปีที่พี่น้องนั้นจะมีเป้าหมายในการที่พี่น้องนั้นจะได้พบกับพระเจ้าแห่งความจริง เพื่อที่พี่น้องจะได้มีชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา

Green City