คำศักดิ์สิทธิ์

คำเทศนาเรื่อง “คำศักดิ์สิทธิ์”

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ .21:18-22 “ครั้นเวลาเช้า ขณะเสด็จกลับไปยังกรุงอีก ก็ทรงหิวพระกระยาหาร และเมื่อทอดพระเนตรไป ทรงเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ก็ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ เห็นต้นมะเดื่อนั้นไม่มีผลมีแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า "เจ้าจงอย่าผลิผลอีกต่อไป" ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป ครั้นเหล่าสาวกได้เห็นก็ประหลาดใจ แล้วว่า "เป็นอย่างไรหนอต้นมะเดื่อจึงเหี่ยวแห้งไปในทันใด" ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เพียงท่านจะมีความเชื่อและมิได้สงสัย ท่านจะกระทำได้เช่นที่เราได้กระทำแก่ต้นมะเดื่อนี้ ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงลอยไปลงทะเล" ก็จะสำเร็จได้ สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “คำศักดิ์สิทธิ์” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ ในการอ่านพระคำของพระเจ้านั้น ถ้าพี่น้องอ่านอย่างกลั่นกรองใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ พี่น้องก็จะพบว่า ในการสั่งสอนสาวก , รวมถึงประชาชนที่ติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอยู่ในเวลานั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอน 1) สาวก 2)สานุศิษย์ รวมถึงทรงสอนประชาชนที่ติดตามพระองค์ด้วยถ้อยคำแห่งสติปัญญาเป็นหลัก

แต่ก็มีในบางครั้ง ที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงสอนสาวกของพระองค์ไปพลาง แล้วพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ไปพลางด้วย แต่เราจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า โดยแท้จริงแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนโดยเน้นถ้อยคำแห่งสติปัญญาเป็นหลัก

ซึ่งในขณะที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนสาวกไปด้วยและทรงกระทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ไปด้วยนั้น เมื่อพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะพูดคำหนึ่งอยู่เสมอนั่นก็คือคำว่า

มธ.9:27-29 “ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น ก็มีคนตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่า "บุตรดาวิด {หมายถึง พระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ ตามคำของผู้เผยพระวจนะ} เจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด"และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในเรือน คนตาบอดทั้งสองก็เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสถามเขาว่า "เจ้าเชื่อหรือว่า เรามีอิทธิฤทธิ์จะกระทำการนี้ได้" เขาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์เชื่อ พระเจ้าข้า"แล้วพระองค์ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขา ตรัสว่า "ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด แล้วนัยน์ตาของเขาก็กลับเห็นดี พระเยซูได้ทรงกำชับเขาแข็งแรงว่า "จงระวังอย่าบอกผู้ใดให้รู้เลย"

ในขณะที่พระองค์ทรงสอนไปพลางและทรงกระทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะพูดคำหนึ่งอยู่เสมอนั่นก็คือคำว่า "จงระวังอย่าบอกผู้ใดให้รู้เลย" “อย่าไปบอกใคร”

ซึ่งตรงกันข้ามกับในเวลานี้อย่างสิ้นเชิง ที่มีศาสนาบางศาสนาที่ทำไมครับ ? ไม่เพียงแต่จะสอนแก่นแท้ของพระศาสนาให้กับคนในความเชื่อของตนเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เขากับมุ่งเน้นในการสอนเรื่องอะไรให้กับคนในความเชื่อของตนเองเป็นหลักครับ ? เรื่องอิทธิฤทธิ์ เรื่องปฏิหารย์ และเขาก็เอาสิ่งที่เป็นอิทธิฤทธิ์ เอาสิ่งที่เป็นปฏิหารย์นั้น เร่งแพร่กระจายออกไป ซึ่งนั่นเท่ากับว่า คนในความเชื่อนั้นเขากำลังติดตามอะไรครับ ? ระหว่างแก่นแท้หรือเปลือกนอกของพระศาสนาครับ

ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนอย่างสิ้นเชิงและในขณะที่พระองค์ทรงสอนไปพลางและทรงกระทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะพูดคำหนึ่งอยู่เสมอนั่นก็คือคำว่า "จงระวังอย่าบอกผู้ใดให้รู้เลย" “อย่าไปบอกใคร” ซึ่งคำนี้แสดงถึงอะไรครับ ? แสดงถึงความถ่อมตัว ถ่อมใจ การไม่อวดตัวหรือไม่อวดความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั่นเอง ในขณะเดียวกันถ้ามีสาวกหรือสานุศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนใด ขอให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะทำไมครับ ?

ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าใน ยน.2:1-4 “วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นพระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น3เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า "เขาไม่มีเหล้าองุ่น"พระเยซูตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง"

ถ้ามีสาวกหรือสานุศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนใด ขอให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์หรือสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะทำไมครับ ? ถ้ามันไม่ใช่ในเวลาของพระองค์ พระองค์ทรงไม่เห็นด้วยที่จะทำอย่างนั้น

จากพระคำของพระเจ้าใน มธ.21:18-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบว่าพระวจนะนั้นศักดิ์สิทธิ์

            พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรทรงเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ก็ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ เห็นต้นมะเดื่อนั้นไม่มีผลมีแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า "เจ้าจงอย่าผลิผลอีกต่อไป" ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งลงไปในทันที ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ไหมครับ ?

ในหนังสือ ปฐก. 1:1-31 พระคัมภีร์ได้พูดถึงการทรงเนรมิตสร้างของพระเจ้า พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า เมื่อพระเจ้าทรงตรัสถึงสิ่งใด สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็บังเกิดขึ้นในทันทีไหมครับ ? ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ไหมครับ ?

พระคำของพระเจ้าใน ยน.1:3 ตรัสดังนี้ว่า “พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ”

และพระคำของพระเจ้าใน ยน.1:1 ตรัสดังนี้ว่า“ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” เพราะฉะนั้นการที่พระวจนะของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะอะไรครับ ? เพราะว่าพระวจนะนั้น คือ พระเจ้า

ซึ่งนั่นหมายความว่า 1) สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสนั้นมันจะต้องเกิดขึ้นจริง 2) พระเจ้าตรัสสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นจริงเสมอ เพียงแต่ทุกอย่างมันมีระยะเวลาของมัน ซึ่งบางครั้งเราต้องรอจนกว่าพระวจนะในตอนนั้นจะสำเร็จ

ซึ่งถ้าพี่น้องกลับไปสำรวจถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงขณะที่เป็นอยู่ในขณะนี้   รวมถึงเหตุการณ์ถึงจะเกิดขึ้นอนาคต พี่น้องก็จะพบว่าเหตุการณ์ต่างๆที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้นั้นมันปรากฏเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

พระคำของพระเจ้าใน มธ.5:18 ตรัสดังนี้ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสและได้มีการขีดเขียนบันทึกเอาไว้ทุกตัวอักษรนั้นจะต้องปรากฏขึ้นจริง

ผมอยากจะเรียนกับพี่น้องอย่างนี้ครับว่า “ยิ่งวิทยาการของโลกยิ่งก้าวหน้า วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวไกล เทคโนโลยียิ่งล้ำลึกเพียงใด เรายิ่งพบความจริงในพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่พวกเราใช้อ่านกันอยู่ในปัจจุบัน ขอพี่น้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า มันไม่ใช่เพียงแค่หนังสือประวัติศาสตร์เก่าๆเล่มหนึ่งเท่านั้น หรือเป็นเพียงแค่หนังสือที่อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจขึ้นเท่านั้น แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์คืออะไรครับ ? คือ พระคำของพระเจ้าที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ว่าพี่น้องผู้เชื่อใหม่หลายคนจะอ่านพระคัมภีร์แล้วและอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้ ไม่เป็นไรครับ แต่สิ่งหนึ่งที่พระคัมภีร์เล่มนี้พูดกับเรานั่นก็คือ ความเชื่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่ขอพี่น้องมีความเชื่อ มีความวางใจ อีกทั้งประพฤติตามพระคำของพระเจ้า เพียงเท่านี้พี่น้องก็จะได้รับพระพรตามพระสัญญาของพระเจ้าแล้ว ส่วนที่เหลือพี่น้องค่อยๆจัดเวลามาศึกษาพระคำของพระเจ้าเป็นการส่วนตัวกับผู้นำในคริสตจักรฯต่อไป

แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมพบนั่นก็คือว่า คริสเตียนเราส่วนมากไม่ค่อยที่จะศึกษาพระคำของพระเจ้า ส่วนมากเราทำไมครับ ? อาทิตย์หนึ่งเราจะมาคริสตจักรกันเพียงครั้งเดียว และครั้งเดียวที่มา ก็ฟังพระคำของพระเจ้ากันเพียง 40-50 นาทีเท่านั้น แล้วพี่น้องหวังว่าความเชื่อของพี่น้องจะเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้าซึ่งมันเป็นไปได้ไหมครับ ?

2 ทมธ.3:16-17 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ {หรือ ทุกตอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็} เป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

ฮบ.4:12 “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย”

พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าพระคำของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อำนาจที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าอาทิตย์หนึ่งเรามาคริสตจักรเพียงครั้งเดียว ( อันนี้ผมพูดถึงเฉพาะคนที่มานะครับ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วคริสเตียนที่ไม่มาโบสถ์นั้นก็มีมาก) ส่วนคนที่มาอาทิตย์ละหนึ่งครั้งและทุกครั้งที่มา ก็ฟังพระคำของพระเจ้าเพียง 40-50 นาทีเท่านั้น

คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า แล้วพระคำของพระเจ้าจะศักดิ์สิทธิ์หรือสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ตรงไหน

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้ชีวิตของต้นมะเดื่อนั้นสอนเรา ซึ่งโดยแท้จริงแล้วมะเดื่อมันต้องออกผล แต่เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเสด็จผ่านมาและเห็นต้นมะเดื่อต้นนี้ ที่มีลำต้นที่สวยงาม บ้าใบ แต่ไม่มีผล พระองค์ก็ทรงไม่พอพระทัย ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตคริสเตียนของเราหลายๆคนที่เป็นแบบต้นมะเดื่อต้นนี้ ที่ลำต้นสวย บ้าใบ แต่ไม่เกิดผล ชีวิตคริสเตียนแบบนี้พระเจ้าก็ทรงไม่พอพระทัยด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ถ้าพี่น้องมาคริสตจักรแล้ว พี่น้องนำเอาข้อแนะแนวคิดจากการที่ได้ฟังพระคำของพระเจ้าไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของพี่น้องโดยส่วนตัว อีกทั้งนำข้อแนะแนวคิดนั้นไปปรนนิบัติรับใช้โดยการแบ่งปันเพื่อให้เป็นพระพรให้แก่ผู้อื่น อีกทั้งทำให้ชีวิตของพี่น้องและผู้อื่นนั้นเติบโตในทางของพระเจ้ามากขึ้น สิ่งนี้พี่น้องคิดว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยไหมครับ ?

การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสาปต้นมะเดื่อต้นและในทันใดนั้นต้นมะเดื่อนี้ก็เหี่ยวแห้งลงไปในทันที คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า พระคำของพระเจ้าตรงนี้ต้องการสอนอะไรแก่เรา ?

การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสาปต้นมะเดื่อต้นและในทันใดนั้นต้นมะเดื่อนี้ก็เหี่ยวแห้งลงไปในทันที พระเจ้าต้องการที่จะสอนเราว่า 1) ถ้อยคำของพระองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์จริงๆ 2)พระองค์นั้นทรงอยู่เหนือทุกสิ่งจริงๆ 3) ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวจริงๆ

            คนที่มาคริสตจักรและนำถ้อยคำของพระองค์ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต แปลความว่า คนๆนั้นก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้าจริงๆ และถ้าผู้นั้นนำพระพรของพระเจ้าไปปรนนิบัติรับใช้โดยการแบ่งปันกับผู้อื่นต่อไป พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยคนนั้นจริงๆ และเขาก็จะเป็นคนที่เกิดผลในแผ่นดินพระเจ้ามากขึ้นจริงๆ

จากพระคำของพระเจ้าใน มธ.21:18-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบกุญแจแห่งการอธิษฐานที่เกิดผล

            องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า “เพียงท่านจะมีความเชื่อและมิได้สงสัย ท่านจะกระทำได้เช่นที่เราได้กระทำแก่ต้นมะเดื่อนี้ ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงลอยไปลงทะเล" ก็จะสำเร็จได้ สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้"

            องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนเราว่า ถ้าเรามีความเชื่อโดยปราศจากความสงสัยในพระองค์ เราไม่เพียงแต่จะกระทำในสิ่งที่พระองค์กระทำเท่านั้น แต่เราสามารถที่จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ด้วย

แต่เงื่อนไขที่พระองค์ทรงบอกกับเราว่า เราสามารถที่จะกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้นั่นก็คือ เราจะต้องพัฒนาความเชื่อของเรานั้นไปถึงขั้นการปราศจากความสงสัยให้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราใช่ไหมครับพี่น้องที่รัก เพราะในมิติของฝ่ายวิญญาณแล้วนั้น วิญญาณแห่งความสงสัยมันได้ถูกถ่ายทอดลงมาในชีวิตของเราตั้งแต่สมัยของอาดำ-เอวาเรียบร้อยแล้ว

ในส่วนของฝ่ายกายภาพนั้น เมื่อเราโตขึ้นเราก็ถูกสอนให้มีเหตุมีผล ดังนั้นถ้าจะให้เราต้องเชื่ออะไรสักอย่างโดยปราศจากความสงสัยนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเราแต่ในทางของพระเจ้าแล้ว พระคำของพระเจ้าใน ยก.6-7 ตรัสดังนี้ว่า “แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมาผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย”

            คำถามก็คือว่า แล้วเราจะเชื่ออย่างไม่สงสัยได้อย่างไร ? หลายครั้งที่ผมเรียกปลื้มครับ มาหาป๊าป๊า หน่อยลูก ปลื้มเขาก็เข้ามาหาผมในทันที โดยที่ปลื้มก็ไม่เคยถามผมกลับเลยว่า ป๊าป๊ามีเหตุผลอะไรเหรอถึงเรียกปลื้มครับ ?

ดังนั้นความเชื่อของเราต้องเป็นอย่างเด็ก คือ เชื่อโดยไม่ต้องสงสัย ผู้ใหญ่เรียกใช้ให้ทำอะไรก็ทำโดยไม่ขอเหตุผล นี่คือภาพของความเชื่อโดยไม่สงสัย แต่ “ความเชื่อโดยไม่สงสัยนั้น” จะต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า เช่น เราต้องเชื่อว่า พระเจ้าอยู่ในเราและเราอยู่ในพระเจ้า และเราเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้แหละสามารถที่จะตอบคำอธิษฐานตามขนาดความเชื่อของเราได้

            ดังนั้นความเชื่อของเรานั้น จะต้องเชื่อแบบเด็กเล็กๆคนหนึ่ง ที่ปราศจากความสงสัยแต่ความเข้าใจในการขอกับพระเจ้านั้นต้องคิดแบบผู้ใหญ่ ขอแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่อธิษฐานขออะไรแบบเด็กๆจากพระเจ้า

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอุปมา “อุปสรรค ปัญหา” “ความทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ” เปรียบเหมือนดั่ง “ภูเขา” ซึ่งเกินกำลังกว่าที่มนุษย์จะเคลื่อนมันออกไปได้และดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ด้วย แต่เราเชื่อว่าพระเจ้าที่อยู่ภายในเราองค์เนี่ยแหละ ที่จะทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ค้ำจุนเรา เป็นผู้ที่สนับสนุนเรา และจะนำเราออกจากอุปสรรคปัญหานั้นไปได้ ด้วยความเชื่อที่มิได้สงสัยเช่นนี้แหละพี่น้องที่รักครับจะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระองค์

Ex. คริสตจักรฯแม่ที่กรุงเทพ

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 ถ้อยคำของผู้รับใช้นั้นศักดิ์สิทธิ์

พระคำของพระเจ้าใน มธ.10:40 ตรัสดังนี้ว่า "ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา”

พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะนำเราทั้งหลายให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ในคำตรัสของพระเจ้าและกุญแจแห่งการอธิษฐานที่เกิดผลเท่านั้น ส่วนหนึ่งยังนำให้เราทั้งหลายได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ในถ้อยคำของผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วย

คำถามก็คือว่าผู้รับใช้คือใคร ?

คำตอบก็คือ ผู้รับใช้คือ คนที่พระเจ้าทรงเลือกเขาเอาไว้ ให้ทำงานแทนพระเจ้า

ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่รับ“ผู้รับใช้” ก็เท่ากับ “รับพระเจ้า” ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้ใดไม่รับ “ผู้รับใช้” ก็เท่ากับผู้นั้นไม่รับ “พระเจ้า”

ดังนั้นถ้อยคำที่ผู้รับใช้ของพระเจ้ากล่าวนั้น จึงเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ถ้อยคำของผู้รับใช้จึงศักดิ์สิทธิ์

ให้เรามาศึกษาพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.9 :18-27 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “บุตรของโนอาห์ซึ่งออกมาจากนาวา ชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอันสามคนนี้เป็นบุตรชายของโนอาห์ มนุษย์จึงกระจายออกไปทั่วโลกจากคนเหล่านี้ โนอาห์เริ่มเป็นชาวไร่และทำสวนองุ่นท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นเมา แล้วก็นอนเปลือยกายอยู่ที่เต็นท์ของท่านฮามผู้เป็นบิดาคานาอันเห็นบิดาของตนเปลือยกายอยู่ จึงบอกพี่น้องทั้งสองที่อยู่ภายนอกเชมกับยาเฟทก็เอาผ้าพาดบ่าแล้วทั้งสองคนก็เดินหันหลังเข้าไปปกปิดกายของบิดาที่เปลือยอยู่ โดยมิได้หันหน้าดูกายของบิดาที่เปลือยอยู่นั้นเมื่อโนอาห์สร่างเมาแล้ว รู้ว่าบุตรสุดท้องทำกับท่านอย่างไรจึงพูดว่า "คานาอันจงถูกแช่ง ให้เป็นทาสแสนเลวของพี่น้อง"ท่านกล่าวด้วยว่า "ขอพระเจ้าของข้าพระองค์ ทรงอวยพระพรแก่เชม และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิดขอพระเจ้าทรงเพิ่มพูนยาเฟทให้ทวียิ่งขึ้น ให้เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเชม และให้คานาอันเป็นทาสของเขาเถิด"

            ในสมัยก่อนที่พระเจ้าจะทำให้น้ำนั้นท่วมโลก พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครมีความชอบธรรมไปกว่าโนอาห์ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงเรียกให้โนอาห์เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เมื่อน้ำลดลงโนอาห์ออกจากเรือแล้วโนอาห์เริ่มอาชีพเป็นชาวไร่และทำสวนองุ่น วันหนึ่งโนอาห์ท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นเมา แล้วก็นอนเปลือยกายอยู่ที่เต็นท์ของท่าน

ฮามบุตรชายคนที่สอง เห็นพ่อตัวเองนอนเปลือยกายอยู่แทนที่เขาจะเอาผ้าคลุมกายให้พ่อ ฮามเขาทำไหมครับ ? นอกจากไม่ทำแล้ว ฮามยังเอาเรื่องของพ่อนั้นไปบอกพี่ ไปบอกกับน้องของตัวเองอีก แล้วเรื่องพรรค์อย่างนี้เอาไปบอกต่อมันเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีครับ ?

แต่เมื่อเชมกับยาเฟท ทราบเรื่องนี้แล้วเขาตอบสนองอย่างไรครับ ? เขาเอาผ้าที่เขาใช้พาดไหล่นั้นมาคลุมกายให้พ่อ โดยที่เขาไม่หันไปมองกายของโนอาห์ที่เปลือยอยู่นั้น พอฟ้าสางโนอาห์สร่างเมาแล้วและเมื่อโนอาห์ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว

โนอาห์ทำอย่างไรครับ : โนอาห์ได้ให้พรกับเชมและยาเฟท แต่ให้คำสาปแช่งกับใครครับ ? ฮาม

พี่น้องทราบไหมครับว่า สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่า สิ่งที่โนอาห์พูดวันนั้นมันเป็นการกำหนดวิถีชีวิตของมนุษยชาติจนถึงวันนี้

โนอาห์ให้พรกับเชม เชม คือ คนผิวขาว คนผิวขาวปัจจุบันได้รับการอวยพรให้เป็นชนชาติที่เจริญที่สุดในโลกและชนชาติอื่นๆต้องอาศัยเขา

โนอาห์ให้พรกับยาเฟท ยาเฟท คือ คนผิวเหลือง ปัจจุบันคนเอเซียมีประชากรมากที่สุดในโลกซึ่งก็เป็นไปตามคำอวยพรของโนอาห์

โนอาห์ให้คำสาปแช่งกับฮาม ฮาม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า คานาอัน หมายถึง ชนผิวดำ ตามคำสาปแช่งของโนอาห์นั้น คือ ให้ชนชาตินี้ตกเป็นทาสของชนชาติของพี่กับน้อง ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆโดยเฉพาะในสมัยก่อนคนผิวดำตกเป็นทาสอย่างเห็นได้ชัด

คำถามก็คือว่า เราได้ข้อคิดอะไรบ้างจากเรื่องนี้

1 ) บุตรชายทั้ง 3 คนของโนอาห์ คือ ภาพสะท้อนถึงสิ่งที่มนุษย์ทุกคนได้กระทำ ทุกสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำหรือสิ่งที่พี่น้องได้กระทำ ต่างเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้พี่น้องนั้นได้รับพระพรหรือไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าทั้งสิ้น

2) การเมาเหล้าองุ่นของโนอาห์ถึงขนาดเปลือยกายไม่รู้สตินั้น บอกกับเราว่า ผู้รับใช้นั้นก็ทำผิดได้ แต่การพิพากษาความผิดของโนอาห์นั้นไม่ใช่เรื่องของฮาม แต่เป็นเรื่องของพระเจ้าที่ทรงเป็นผู้เจิมตั้งเขาเอาไว้ให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และถึงแม้การเมาเหล้าองุ่นของโนอาห์ถึงขนาดเปลือยกายไม่รู้สตินั้นจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่ถ้อยคำที่โนอาห์ตรัสนั้นยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า พระเจ้ายังคงให้การสนับสนุนเขาอยู่

ให้เรามาศึกษาพระคำของพระเจ้าใน มธ.1011-14 ตรัสดังนี้ว่า “เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้น จนกว่าจะจากไปขณะเมื่อขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้นถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของท่านอยู่กับเรือนนั้น แต่ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่ท่านอีกถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย เพื่อแสดงว่าท่านไม่รับผิดชอบต่อไป”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้เราพบว่า ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจในการ “ให้พร” หรือ “ถอนพร” กับเหล่าสาวกของพระองค์ ? องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจเหล่านี้กับผู้รับใช้ของพระองค์

ดังนั้น ถ้าพี่น้องบอกว่าพี่น้องนั้นรักพระเจ้า พี่น้องก็จงปฎิบัติต่อคนของพระเจ้าให้อย่างถูกต้องด้วย หลายคริสตจักรฯนะครับที่พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรฯ ทำเหมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นเหมือนคนงานหรือเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งนะครับ ที่พี่น้องสมุทรสงครามทุกคนจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจด้วยเช่นกันเพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตของพี่น้องนั้นขัดต่อพระพรของพระเจ้า

พี่น้องทราบไหมครับว่า ? ทำไมพี่น้องคริสเตียนประเทศเกาหลีใต้เขาถึงได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างมากมาย

คำตอบก็คือว่า เหตุเพราะพี่น้องคริสเตียนในประเทศเกาหลีใต้นั้นเขาให้เกียรติแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้ามากจริงๆ เขาช่วยกันดูแลคนของพระเจ้าจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คริสเตียนไทยนั้นขาดพระพรของพระเจ้า เหตุเพราะคริสเตียนไทยโดยส่วนมากมีท่าทีในการปฎิบัติต่อผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่ถูกต้อง

ผมได้ยกตัวอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้าจากพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ไปแล้ว

คำถามของผมก็คือว่า ปัจจุบันนี้ใครคือผู้รับใช้ของพระเจ้าครับ ? ผมจะตอบคำถามนี้แบ่งออกเป็น 2 คำตอบ

คำตอบแรก คือ ปัจจุบันนี้พระเจ้าก็ยังทรงเรียกมนุษย์ให้เป็นผู้รับใช้ในพระราชกิจของพระองค์อยู่ ผ่านการอธิษฐานเจิมตั้งของบุคคล เช่น ศิษยาภิบาลอาวุโส เป็นต้น หรือผ่านการอธิษฐานเจิมตั้งของคณะบุคคล เช่น คณะผู้ปกครองในคริสตจักรฯ เป็นต้น แต่ในทัศนะส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าผู้รับใช้ที่มีที่มาที่ไปตามที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ เข้ามารับใช้พระเจ้าก็จริงอยู่ แต่ก็แสวงหาสวัสดิการและความมั่นคงให้กับชีวิตของเขาด้วย ในทัศนะส่วนตัวของผมนั้น เขาไม่อาจจะกล่าวได้ว่า “เขาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าแต่เขาเป็นเพียงผู้รับจ้างเท่านั้น”

คำถามของผมก็คือว่า ปัจจุบันนี้ใครคือผู้รับใช้ของพระเจ้าครับ ?

คำตอบที่ 2 ที่ผมจะตอบนั่นก็คือว่า มีพี่น้องที่นี่กี่คนครับ

1) ที่มีภาระใจในงานของพระเจ้า : ท่านนั้นล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า

2) ที่อยากเห็นพระมหาบัญชาของพระเจ้านั้นสำเร็จ : ท่านนั้นล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า

3) ที่อยากเห็นงานของพระเจ้าได้มีการขยายออกไป : ท่านนั้นล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า

4) ที่อยากจะช่วยคนให้ได้รับความรอดผ่านการมารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์ : ท่านนั้นล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า

5) ที่อยากเลี้ยงดูคนอื่นให้เติบโตขึ้นในความเชื่อโดยที่เขาไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆเลย : ท่านนั้นล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า และเมื่อท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า ถ้อยคำของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ด้วย

พระคำของพระเจ้าใน มธ.16:19 ตรัสดังนี้ว่า “เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย"

พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าได้มอบกุญแจแห่งสวรรค์นี้เอาไว้กับคริสตจักรของพระองค์แล้วและตัวแทนของคริสตจักรในการที่จะใช้กุญแจนี้นั่นก็คือผู้รับใช้ของพระเจ้า

ดังนั้นเมื่อท่านซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะกล่าวห้ามสิ่งใดในแผ่นดินโลกสิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในแผ่นดินสวรรค์ด้วย และเมื่อท่านสั่งห้ามสิ่งใดในสวรรค์ สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในแผ่นดินโลกด้วย

ดังนั้นเมื่อท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า ถ้อยคำของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ด้วย และนี่คือความจริงแห่งพระวจนะ ที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อสารกับพี่น้องในเช้าวันนี้ด้วย

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบว่าพระวจนะนั้นศักดิ์สิทธิ์

ประการที่ 2 เราพบกุญแจแห่งการอธิษฐานที่เกิดผล

ประการที่ 3 ถ้อยคำของผู้รับใช้นั้นศักดิ์สิทธิ์

Green City