คำเทศนาเรื่อง ความจริงเกี่ยวกับการอธิษฐาน 3
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากยากอบ 5 และข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในค่ำคืนนี้ จะอยู่ในข้อที่13 - 20 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า
มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือจงให้ผู้นั้นอธิษฐาน มีผู้ใดร่าเริงยินดีหรือจงให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือจงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมาและให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และการอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตและองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค และถ้าเขาได้กระทำบาปพระองค์ก็จะทรงโปรดอภัยให้เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกันและจงอธิษฐานเพื่อกันและกันเพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย
คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลายและท่านได้อธิษฐานด้วยความเชื่ออันแรงกล้าขอไม่ให้ฝนตกและฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินถึงสามปีกับหกเดือน และท่านได้อธิษฐานขออีกครั้งหนึ่งและฟ้าสวรรค์ก็ได้ประทานฝนให้และแผ่นดินจึงได้ผลิตพืชผลต่างๆ พี่น้องของข้าพเจ้าถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริงและผู้ใดชักจูงเขาให้เขากลับใจเสียใหม่ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากความตาย และได้กำจัดบาปเสียมากมาย
และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ความจริงเกี่ยวกับการอธิษฐาน 3 ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบคำว่า อธิษฐาน กี่ครั้งครับ พี่ - น้อง? 7 ครั้ง ดังนั้น ถ้าผมจะถามพี่ - น้องด้วยคำถามที่คุ้นเคยว่า จากพระวจะของ พระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 1 เราพบนักอธิษฐาน
เราพบว่าผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้เป็นนักอธิษฐาน ผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้คือใครครับ คือ ยากอบน้องชายของพระเยซูผู้ซึ่งมีความเข้าใจในหลัก ของการดำเนินชีวิตเป็นอย่างดีว่ามิใช่เพียงแค่คนหลงหายหรือคนที่หลงไปจากทางของพระเจ้าเท่านั้นที่จะต้องเผชิญหรือว่าประสบกับปัญหาการของดำเนินชีวิต ยากอบสอนว่าผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ติดตามพระเจ้าเองก็จะต้องพบ ต้องเจอะ ต้องเจอหรือต้องประสบกับปัญหาต่างๆเช่นกัน เช่น
ประสบกับความทุกข์ , ประสบกับปัญหาความยากลำบาก , ประสบปัญหาเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วยและประสบกับปัญหาต่างๆอีกมากมายหลายอย่าง เป็นต้น
มีพี่ - น้องคนไหนบ้างมั้ยครับ ที่ก่อนจะมาเชื่อพระเจ้าหรือก่อนมาเป็นคริสเตียนแล้วไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อนเลยมีไหมครับ ? และเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วหรือว่ามาเป็นคริสเตียนแล้วมีพี่ - น้องคนไหนบ้างไหมครับ ที่ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย มีไหมครับ ? มี ( และอาจจะมีมากขึ้นด้วย )
ยากอบน้องชายของพระเยซูจึงบอกกับเราว่า มิใช่เพียงแค่คนที่หลงหายเท่านั้น ที่จะประสบหากับการดำเนินชีวิต แม้กระทั่งผู้เชื่อหรือคริสเตียนเองก็จะต้องประสบกับปัญหาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แต่ยากอบน้องชายของพระเยซู ก็ยังได้บอกกับเราลึกลงไปอีกว่า เมื่อผู้เชื่อหรือคริสเตียนต้องประสบกับปัญหาต่างๆเหล่านี้แล้ว ผู้เชื่อทุกคนควรที่จะทำอย่างไรครับพี่ - น้อง ?
ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ควรที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้า แม้ว่าในสถานการณ์บางอย่าง เราเองอาจจะไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย เราก็ควรที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้า
ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมนักประวัติศาสตร์จึงให้ สมญานาม แก่ยากอบว่า เจ้าเข่าอูฐ พี่ - น้องเข้าใจสมญานามนี้ไหมครับ คือ เข่าของอูฐนั้นมันจะมีความหนามาก
แปลความว่ายากอบน้องชายของพระเยซูนั้นเป็นคนที่อธิษฐานมากหรืออธิษฐานน้อยครับพี่ - น้อง ? ท่านเป็นคนที่อธิษฐานมาก เข่าของท่านจึงมีความหนามากเป็นพิเศษ ลองสำรวจเข่าของพี่ - น้องดูหน่อยซิครับว่ามีความหนามากน้อยแค่ไหน
แต่การที่ยากอบน้องชายของพระเยซู มีเข่าที่มีความหนามากเป็นพิเศษอย่างนี้
พี่ - น้องอย่าได้เข้าใจผิดหรือคิดว่ายากอบนั้น พอมีปัญหาอะไรนิด มีปัญหาอะไรหน่อย ก็อธิษฐานหรือมีเรื่องอะไรเล็ก อะไรน้อยก็อธิษฐาน
คำที่ยากอบใช้ ไม่ได้หมายความว่า ให้เราคุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้า เฉพาะในเวลาที่เราเจอปัญหาเท่านั้น แต่ท่านยากอบใช้คำที่เล็งถึง ทัศนคติ หรือเล็งถึงอุปนิสัย ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนควรมีนั่นก็คือ เราควรที่จะให้การอธิษฐานนั้นเป็นนิสัยของเรา
นอกเหนือจากนี้แล้ว เราควรที่จะพัฒนานิสัยการอธิษฐานนี้ให้จนได้ที่ พี่ - น้องเข้าใจคำว่า จนได้ที่ ไหมครับ ? น้ำที่เราต้ม ในตอนแรก มันจะเดือนในทันทีทันใดไหมครับพี่ - น้อง ? มันจะค่อยๆร้อนทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งถึงจุดเดือดของมันที่ 100 c มันถึงจะเดือด
แต่เมื่อน้ำร้อนมันเดือดแล้วต่อให้เราเพิ่มความร้อนโดยการเพิ่มแก๊ส เติมฟืน เพิ่มถ่านเข้าไปอีกน้ำที่เดือดอยู่ มันจะเดือดของมันเพิ่มขึ้นหรือมันจะเดือนของมัน อยู่แค่นั้นแหละครับพี่ - น้อง ? ต่อให้เราเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก มันก็จะไม่รู้สึกอะไรเกินไปกว่านั้นอีกเลย เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องอธิษฐานจนเป็นนิสัยและพัฒนานิสัยการอธิษฐานของพี่ - น้องนี้จนได้ที่ ยากอบได้สอนเอาไว้ว่าพี่ - น้องก็จะไม่รู้สึกอะไรเกินไปกว่านั้นอีกเลย
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 13 ให้เราได้อ่านร่วมกัน
ประการที่ 2 คือ ทัศนคติหรืออุปนิสัยของการอธิษฐาน
ผมพบว่า ทัศนคติหรืออุปนิสัยในการอธิษฐานของผู้เชื่อโดยส่วนมากนั้น มักจะอธิษฐานกับพระเจ้า เมื่อมีความต้องการอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า หรือมักจะอธิษฐานกับพระเจ้าเมื่อเผชิญกับปัญหาและอยากให้พระเจ้าช่วย
แต่เมื่อพระเจ้าได้ประทานสิ่งนั้นให้แล้ว ช่วยแล้ว ผมก็พบว่าทัศนคติหรืออุปนิสัยในการอธิษฐานของผู้เชื่อนั้นเริ่มเปลี่ยนไป นั่นคือ ไม่ค่อยที่จะอธิษฐาน บางคนก็ว่าทุกวันทำงานก็เหนื่อยแล้ว บางคนก็ว่า Over Time เยอะกลับบ้านก็ดึกแล้วอาจารย์ไม่ค่อยมีเวลา ที่แย่ที่สุดก็คือ บางคนไม่อธิษฐานเลยก็มี ซึ่งนั่นไม่ใช่ทัศนคติหรืออุปนิสัยของการอธิษฐานที่ดี ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า เราต้องไม่เป็นคนนั้น
ยากอบจึงสอนเราว่า ทัศนคติหรืออุปนิสัยในการอธิษฐานที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร
ควรเป็นอย่างไรครับพี่ - น้อง ? เวลาที่เรามีความสุขในชีวิต เวลาที่เราได้รับพระพร เวลาที่ชีวิตของเราไปได้ดี เวลาที่เรามีเงินมีทองเพราะผู้ประทานเงินและทองคือ พระเจ้า ยากอบสอนให้เราเข้ามาหาพระเจ้า ยากอบสอนให้เราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
ยากอบจึงสอนเราว่า ทัศนคติหรืออุปนิสัยในการอธิษฐานที่ดีนั้น คือ
1) ให้เราระลึกถึงพระเจ้าทั้งในยามที่เราดีใจ และ
2) ให้เราระลึกถึงพระเจ้าทั้งในยามที่เราเศร้าใจ นี่คือทัศนคติหรืออุปนิสัยในการอธิษฐานที่ดี ในยามที่เราเศร้าใจก็ให้เราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ในยามที่เราดีใจเราก็ให้เข้ามาหาพระเจ้าด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
พี่ - น้องทราบมั้ยครับว่า ทำไมพระคัมภีร์ถึงบอกกับเราว่า ในยามที่เราเศร้าใจก็ให้เราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ทราบมั้ยครับ ? เพราะการอธิษฐาน
1) ช่วยให้เราไม่ทำบาป 2) ทำให้เกิดความสบายใจ
3) ทำให้เกิดความอบอุ่นใจ 4) ช่วยให้เราไม่ข่มขื่นแก่คนอื่น
5) ช่วยให้เราไม่รู้สึกไม่สงสารตัวเอง 6)ทำให้เราไม่บ่น พระเจ้าชอบไหมครับ
7)ช่วยให้เราไม่เสียใจ ถ้าเราทุกข์พระเจ้าทรงทุกข์ด้วยขอให้เรารู้เถิดว่าพระองค์ทรงทุกข์ด้วย เป็นต้น
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 3อยู่ในข้อที่ 14-15 มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าและการอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค และถ้าเขาได้กระทำบาปพระองค์ก็จะทรงโปรดอภัยให้
ประการที่ 3 คือ ความเข้าใจในการอธิษฐานด้วยความเชื่อ
คริสเตียนคณะเพ็นเทคอสทั่วโลกนั้น มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการอธิษฐาน เพื่อการรักษาโรค ส่วนตัวผมเองนั้นผมเชื่อในการอธิษฐานเพื่อการรักษาโรคตามพระคำของพระเจ้า และจากประสบการณ์ในการรับใช้ของผม ผมเชื่อว่าการรักษาโรคโดยฤทธิ์อำนาจของพระเยโฮวาห์ราฟาห์ ซึ่งแปลว่า แพทย์ผู้ประเสริฐองค์นี้นั้น ยังมีความล้ำลึกและยังมีแง่มุมต่างๆที่มนุษย์ยังไม่รู้และยากต่อการที่จะเข้าใจนั้นยังมีอยู่อีกมากมาย
แต่อย่างไรก็ตามผมก็พบว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมาคริสตจักรต่างๆในประเทศไทยได้ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับการอธิษฐานเพื่อการหายโรคด้วยความเชื่อ ในลักษณะที่ขาดความเข้าใจ
และนั่นเองเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้บางคริสตจักรในประเทศไทยได้แยกตัวเองออกไปจัดงาน ฤทธิ์เดช เป็นของตัวเองโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ดังนั้นผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีความรู้และมีความเข้าใจ ในการอธิษฐานด้วยความเชื่อนี้อย่างถูกต้อง
เพราะมีผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคน ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการอธิษฐานเพื่อการหายโรคว่าใครก็ตามที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ขอให้มีความเชื่อในพระเจ้ามากๆ และพระเจ้าจะทรงโปรดรักษาให้ท่านหายเองหรือท่านไม่ต้องไปรักษาตัวที่คลินิกหรือตามโรงพยาบาลอะไรทั้งนั้น พี่ - น้องคิดว่า ความเข้าใจในการอธิษฐานเพื่อการหายโรคในลักษณะนี้ถูกต้องมั้ยครับ ?
ในขณะเดียวกันก็มีผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคน ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการอธิษฐานด้วยความเชื่อในลักษณะที่ว่า ถ้าเราเป็นโรคอะไรก็ตามแล้วถ้าเราเชื่อในพระเจ้ามากๆว่าพระเจ้าจะทำให้เราหายโรคได้และถ้าเราคิดว่าคนที่ยังเป็นโรคอยู่นั้นแสดงว่าเขาขาดความเชื่อ พี่ - น้องคิดว่าความเข้าใจในการอธิษฐานด้วยความเชื่อในลักษณะอย่างนี้ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องครับ ? ไม่ถูกต้อง เป็นความเชื่อที่ตกขอบ
ดังนั้นจึงมีคำพยานของผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่หายโรคจำนวนไม่น้อย ที่ไปพูดในลักษณะที่ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ไปพูดในลักษณะที่ดูแคลน คนที่ยังไม่หายโรคหรือยังเป็นโรคอยู่ เหมือนกับเขาจะพูดว่า คนที่ป่วยหรือคนที่เป็นโรคอยู่นั้น คือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างจริงจังอะไรทำนองนั้น
อัครทูตเปาโลนั้นมีความเชื่อมากมั้ยครับ ? มีความเชื่อมาก
แต่พระคำของพระเจ้าใน 2 คร.12:7-8พระคำของพระเจ้าตรัสว่า และเพื่อมิให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้าหนามนั้นเป็นทูตของซาตาน คอยทุกตีข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า
ซึ่งทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงปฏิเสธที่จะรักษาเปาโลเหตุ เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ลึกล้ำกว่า ซึ่งถ้าพี่ - น้อง ได้ศึกษาลึกลงไปพี่ - น้องก็จะพบว่า ทำไมพระเจ้าถึงปฏิเสธการรักษาเปาโล
อัครทูตเปาโลนั้นมีความเชื่อมากมั้ยครับ ? มีความเชื่อมาก
พระคำของพระเจ้าใน2ทมธ.4:20 ตรัสว่า เอรัสทัสยังค้างอยู่ที่เมืองโครินทร์ แต่เมื่อข้าพเจ้าจากโตรฟีมัสที่เมืองมิเลทัสมานั้นเขายังป่วยอยู่ ซึ่งทำให้เราทราบว่า เปาโลพักอยู่กับโตรฟีมัส ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าเปาโลก็คงจะอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อคนนี้ แต่พระคำของพระเจ้า ก็บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อเปาโลจะจากไป โตรฟีมัส นั้นหายดีหรือยังครับ
พระคำของพระเจ้าใน มธ.4:24 ตรัสว่า กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยโรคต่างๆคนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย
มธ.4:24 ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักษาคนที่ไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้าด้วย ด้วยเหตุนี้เองพี่- น้องที่รัก ผมจึงได้ปฏิเสธความเชื่อของคริสเตียนบางคน บางกลุ่มหรือบางคณะ ที่มีความเชื่อในลักษณะที่กล่าวมาในตอนต้น
เพราะอะไร ? เพราะมันขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจน
คำถามคือว่า แล้วอะไรคือความรู้ความและความเข้าใจในการอธิษฐาน ด้วยความเชื่อนี้อย่างถูกต้อง
ความเชื่อที่เรามี
มิใช่มีไว้ให้หายโรคเฉยๆแต่มีไว้เพื่อจิตวิญญาณที่จะรอด
ความเชื่อที่เรามี
อาจมีไว้เพื่อหายโรคก็ได้หรือเพื่อทนต่อโรคที่ไม่หายก็ได้
ความเชื่อที่เรามีต่อโรคที่ไม่หายนั้น
ดูจะยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อที่ใช้ในการหายโรคมาก
ความเชื่อที่เรามี
แต่ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราเชื่อเสมอไป แต่มันเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่างหาก
ดังนั้นถ้าผู้เชื่อมีความรู้และมีความเข้าใจในการอธิษฐานอย่างนี้แล้ว
1) ความเชื่อที่เขามีก็จะไม่สั่นคลอน
2) หายหรือไม่หายเขาก็ยังเชื่อพระเจ้าอยู่
น่าเสียดายตรงที่มีผู้เชื่อหรือคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไปร่วมงานฤทธิ์เดชและออกไปเพื่อรับการอธิษฐานเพื่อการรักษาโรค แต่กลับมาแล้วไม่หายจึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังจึงทำให้ความเชื่อของเขานั้นเสียไปเพราะอะไรครับ เพราะเรามักจะกระตุ้นคนที่ไปรับการอธิษฐานเผื่อด้วย คำว่า มีความเชื่อนะ แต่เราไม่ได้บอกเขาว่า ความเชื่อที่เขามี อาจมีไว้หายโรคก็ได้หรือเพื่อทนต่อโรคก็ได้
ดังนั้นเมื่อเขาออกไปรับการอธิษฐานเผื่อแต่กลับมาแล้วไม่หาย จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังปัญหาที่ตามมาก็คือ ผู้รับใช้ของพระเจ้าจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่จะต้องรับผลกระทบกับพี่ - น้องสมาชิก ที่ไปรับการรักษาและไปรับฟังคำสอนที่ไม่ครอบคลุม ทำให้กับมาแล้วจิตใจห่อเหี่ยวเป็นต้น
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 4 อยู่ในข้อที่ 14 - 15
ประการที่ 4 คือ การอธิษฐานหายโรค ด้วยการเจิมโดยน้ำมัน
พระคำของพระเจ้าใน อสย. 1:6ตรัสว่า ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะ ไม่มีความปกติในนั้นเลย มีแต่ฟกช้ำและดำเขียวและเป็นแผลเลือดไหล ไม่เห็นบีบออกหรือพันไว้หรือทำให้อ่อนลงด้วยน้ำมัน
อสย.1:6 ทำให้เราทราบว่าคนฮีบรูในสมัยโบราณนั้นเขาจะใช้ น้ำมัน เพื่อการรักษาโรค และใช้ใบจากต้นมะเดื่อมาทำเป็นยา
ในพันธสัญญาใหม่ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า 1 ) พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์โดยการอธิษฐานและใช้น้ำลายกับโคลนเป็นยารักษาคนตาบอดให้หาย
2) เปาโลเองก็แนะนำให้ ทิโมธี ใช้เหล้าองุ่นเล็กน้อยผสมน้ำดื่มแก้โรคภายใน
3) ยากอบก็ใช้น้ำมันเจิมเพื่อรักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยภายนอก
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะสื่อถึงอะไร ? ทั้งหมดที่กล่าวมาจะสื่อความว่าโดยแท้จริงแล้วพระเจ้าสามารถรักษาคนเจ็บ คนป่วยให้หาย ผ่านการมีน้ำมันหรือไม่มีน้ำมันก็ได้หรือผ่านการใช้ยาหรือไม่ใช้ยาอะไรก็ได้
ถ้าจะเปรียบกับการรักษาในปัจจุบัน เราก็จะพบว่าแพทย์ในปัจจุบันสามารถที่จะรักษาคนเจ็บ คนป่วย ให้หายได้โดยการใช้ยาและไม่ใช้ยา หรือแพทย์บางคนอาจจะใช้ทั้ง 2 อย่างร่วมกันก็ได้
แต่การอธิษฐานประเภทนี้นั้นไม่ธรรมดา มันต้องเริ่มต้นจากการที่ผู้ป่วยนั้นมีความ ต้องการหรือปรารถนาที่อยากจะหายโรคก่อน เมื่อเขาเริ่มต้นที่อยากจะหายโรคแล้ว
ให้พี่ - น้องสังเกตดูพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าใช้คำว่า จงให้ผู้นั้นเชิญ ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ใช่คนที่จะอธิษฐานไปพูดเพื่อให้ผู้ป่วยอยากหายโรคและคริสตจักรเองก็ไม่ควรที่จะถือขวดน้ำมัน ออกไปอธิษฐานตามที่ต่างๆ
แต่ถ้าผู้ป่วยต้องการ บรรดาผู้นำคริสตจักรทั้งหลายต้องไปอธิษฐานเผื่อเขาและเจิมเขาด้วยน้ำมัน ผู้ป่วยจะหายหรือไม่หายนั้นไม่ใช่หน้าที่ของผู้นำคริสตจักร หน้าที่ของผู้นำคริสตจักรคือ อธิษฐาน แต่ในคำอธิษฐานโดยการเจิมด้วยน้ำมันของผู้นำบางคนนั้นเขาจะได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เกิดความมั่นใจว่าเขาจะหายโรคอย่างแน่นอน
ในการรับใช้ของผม ผมมีประสบการณ์การอธิษฐานคล้ายๆ แบบนี้บ้างในบางครั้ง ตัวอย่างเช่น ในกรณีของน้องผึ้งที่บ้านแม่แจ๋ว ตอนที่ผมกับพี่ - น้องในคริสตจักรไปเยี่ยมที่สมุทรสาคร
ประการที่ 5อยู่ในข้อที่ 16
ประการที่ 5 คือ การหายโรคเกิดจากการอธิษฐานสารภาพบาป
มีบางคนคิดและบางคนก็พูดในทำนองที่ว่า การป่วยไข้ของบางคนนั้นเกิดจากความบาป พี่ - น้องว่าความคิดนี้หรือคำพูดนี้ถูกต้องมั้ยหรือจริงมั้ย? จริง
แต่เราก็ต้องระมัดระวังทั้งคำถามและคำตอบนี้ให้ดี ? เหมือนกับที่สาวกทรงถามพระเยซูและพระเยซูทรงตอบสาวกของพระองค์ใน ยอห์น 9:1-3
สาวกของพระเยซูถามแบบระมัดระวังคำถามมั้ยครับ ? ถ้าญาติเจ้าบอดอยู่ใกล้ๆ และได้ยินคำถามนี้ สาวกที่ถามอาจจะถูกญาติเจ้าบอดจัดการก็ได้ แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงตอบสาวกของพระองค์ได้อย่างเฉียบคมและสวยงามมาก
พี่ - น้องที่รักครับ วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์บอกกับเราว่าร่างกายและจิตใจนั้นมันมีความเกี่ยวข้องกัน
คนที่ป่วยทางกาย เช่น ปวดหัว ตัวร้อน มีไข้สูงพวกนี้ก็ต้องไปนอนที่โรงพยาบาล
คนที่ป่วยทางจิตใจ เช่น มีอารมณ์โกรธมาก เลยทำให้น้ำตาลขึ้นก็ต้องไปนอนที่โรงพยาบาล บางคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนอื่น อาจจะเป็นคนในที่ทำงานหรือกับเพื่อนบ้านก็ตาม กลับบ้านนอนไม่หลับ เครียด ความดันขึ้นก็ต้องไปนอนที่ โรงพยาบาล
คนที่ป่วยทางจิตใจบางคนกลัว ถามว่ากลัวอะไร กลัวคนจะมาทำร้ายตนเองก็เลยทำให้ร่างกายต้องผิดปกติไปเนื่องจากวิตกจริตก็ต้องไปนอนที่โรงพยายบาล
ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ร่างกาย ระบายลมปราณเข้าทางจมูก จิตวิญญาณ พระคัมภีร์จึงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ร่างกายกับจิตใจหรือจิตวิญญาณนั้น มันมีความเกี่ยวข้องกัน
ดังนั้นจึงเป็นความจริง ที่การป่วยไข้ของบางคนและหลายๆคนนั้น เกิดจากความบาป เช่น ถ้าผู้ชายหรือหญิงคนใด ที่ขาดความรักจากพ่อ - แม่หรือขาดความรักจากคนที่รัก ขอให้รู้เถิดว่า ชายหรือหญิงคนนั้นมีวิญญาณแห่งการขาดความรัก และวิญญาณที่ขาดความรักนี้ก็จะคอยกล่าวโทษเธอ พอมีใครที่จะเข้ามารัก เขาจึงทำไมครับ ?
เขาจึงให้ความบริสุทธิ์ในเพศหญิงของเธอหรือในเพศชายของเธอ แล้วสักพักหนึ่ง ชายที่คิดว่ารักหรือหญิงที่ตนเองคิดว่ารัก ก็ทำไมครับ ? หนีไปโดยละม่อมหรือไม่ก็จากไปตามระเบียบ วิญญาณแห่งการขาดความรักก็จะคอยกล่าวโทษเธอแล้วเธอทำไมครับ ? แล้วเธอก็ให้ความเป็นเพศหญิงของเธอ หรือให้ความเป็นเพศชายของเธอกับคนอื่นต่อไป
ซึ่งทางการแพทย์ตรวจพบว่า
ผู้หญิงจะเป็นมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งมดลูก
ส่วนผู้ชายก็จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก และเบื้องหลังของการเป็นโรคนี้ คือ ความส่ำส่อนหรือความไม่บริสุทธิ์ทางเพศนั่นเอง
คำถามคือว่าผมทราบได้อย่างไร ? ผมทราบได้เพราะหนังสือเล่มนี้ได้บอกเอาไว้ถึงรากฝ่ายวิญญาณของการเจ็บป่วย
ดังนั้นจึงเป็นความจริง ที่การป่วยไข้ของบางคนนั้น เกิดจากความบาป แต่ถ้าคนๆ นั้นเข้ามาหาพระเจ้าและสารภาพบาปนั้นต่อพระองค์บาปนั้นไม่เพียงแต่จะหายไปเท่านั้น แต่การเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นกลับหายไปด้วย
จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 6 อยู่ในข้อที่ 17
ประการที่ 6 ตัวอย่างของคำอธิษฐานอันมีพลังของผู้ชอบธรรม
ผมอยากให้ทัศนคติที่ถูกต้องกับพี่ - น้องอย่างนี้ว่า การที่พี่ - น้องเชิญศิษยาภิบาลมาอธิษฐานเรื่องนั้น เรื่องนี้หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามนั้น นั่นเป็นการให้เกียรติแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้า มากกว่าการที่พี่ - น้องจะมีทัศนคติที่ว่า ศิษยาภิบาลนั้นชอบธรรมกว่าสมาชิกหรือผู้รับใช้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์กว่าพี่ - น้อง
และการที่ผมพูดแบบนี้ เหตุเพราะพี่ - น้องบางคน มาจากความเชื่อเดิมที่ถูกปลูกฝังมาแบบนี้ พอมาเป็นคริสเตียนก็มีความคิดที่จะเชิญศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงมาอธิษฐาน เพราะเข้าใจว่า ขลัง
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เอลียาห์นั้นก็เป็นคนที่ธรรมดาๆ เหมือนกับผมหรือเหมือนกับพี่ - น้องที่อยู่ใน ณ. ที่นี้ อารมณ์มีขึ้น - มีลงหรือมีจุดอ่อน จุดแข็ง เป็นต้น
แต่ประการที่สำคัญคือ การที่เอลียาห์อธิษฐานเป็น ถ้าพี่ - น้องสังเกตดูที่พระคำของพระเจ้า พี่ - น้องก็จะพบว่า เอลียาห์เขาขออย่างเฉพาะเจาะจง และนี่เองจึงเป็นเหตุที่ทำให้เบื้องบนขยับตัวจึงเกิดฝนไม่ตกและตก และนี่คือคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมที่มีพลังและเกิดผล
ถ้าพี่ - น้องชอบธรรมและเมื่อพี่ - น้องอธิษฐานอย่างเฉพาะเจาะจงพระเจ้า ผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยมหิฤทธิ์ธานุภาพทั้งมวลก็จะปล่อยฤทธิ์อำนาจนั้นออกมา
ผมเคยบอกกับพี่ - น้องไปบ้างแล้วใช่มั้ยครับว่า มีคริสเตียนที่อธิษฐานได้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีคริสเตียนที่อธิษฐานเป็นอยู่ไม่มากนั้น แต่วันนี้ผมจะบอกกับพี่ - น้องเพิ่มเติมว่า เวลานี้มีคริสเตียนที่อธิษฐานในหัวข้อทั่วๆไปนั้นมีเป็นจำนวนมาก
แต่มีคริสเตียนที่อธิษฐานแบบโฟกัสหรือแบบเฉพาะเจาะจงเหมือนกับเอลียาห์นี้ไม่มากเท่าไหร่นัก เวลานี้ผมมีหัวข้ออธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเฉพาะเจาะจงอยู่ 10 หัวข้อ และถ้าพระเจ้ายังไม่ตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผมก็ยังไม่ขยับหัวข้อที่ 11 ขึ้นมา
คำถามคือว่าวันนี้ พี่ - น้องมีหัวข้อที่อธิษฐานต่อพระเจ้าโดยส่วนตัวกี่หัวข้อครับ
ดังนั้นเราจึงพบว่า คริสเตียนเป็นนักอธิษฐานในหัวข้อทั่วไปและไปทั่ว ตั้งแต่ขั้วโลกเหนือยันขั้วโลกใต้เยอะมาก
มีเรื่องเล่าว่า มีคริสเตียนคนหนึ่ง เขาอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่นานมากๆจนไม่มีหัวข้ออะไรที่จะให้เขาอธิษฐาน เขาจึงอธิษฐานว่า
พระองค์เจ้าข้ายังมีหัวข้ออะไรอีกบ้างที่ข้าพระองค์ควรจะอธิษฐาน
คริสเตียนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆจึงพูดว่า คุณก็ขออะไรที่เจาะจงสักอย่างซิ แล้วก็นั่งลงได้แล้ว
พี่ - น้องที่รักครับ บางที่เราอธิษฐานแบบทั่วไปหรือไปทั่วเยอะมากเกินไปเราจึงไม่ได้ขออะไรอย่างเฉพาะเจาะจงสักอย่างเดียวกับพระเจ้า ยากอบจึงสอนว่าเราไม่ขอเลยไม่ได้เลย ในค่ำคืนนี้ผมขอกับพระเจ้าน๊ะครับ ? ผมขอว่าอะไร พี่ - น้องอยากทราบมั้ยครับ ? ผมขออย่าให้พี่ - น้องเป็นเหมือนผู้ชายคนนั้น
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 7 อยู่ในข้อที่ 19
ประการที่ 7 การหายโรคด้วยการกลับใจใหม่
พี่ - น้องที่รักครับ มีหลายคนที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการที่จะหายโรคพอหายจากโรคแล้ว เขาก็พลอยหายตัวไปด้วย ผู้เชื่อประเภทนี้มีมั้ยครับ ? เยอะแยะมากมาย
ท่านยากอบจึงได้หันจากเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือหันจากเรื่องของสุขภาพร่างกายมาสู่ในเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณ คนที่หายโรคเพราะมาเชื่อพระเจ้าแล้วจะหลงหายนั้นมีสิทธิเกิดขึ้นได้
ดังนั้นผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ทั้งคนที่พาเขามาและคริสตจักร ก็จะต้องให้ความสนใจกับปัญหาหรือให้ความสนใจกับคนเหล่านี้ด้วย
ดังนั้นความรับผิดชอบนี้ จึงไม่ใช่อยู่ที่ศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรเท่านั้น แต่อยู่ที่ผู้เชื่อทุกๆคน ให้เราสำรวจว่ามีใครที่เคยเข้ามารับเชื่อในคริสตจักรและหายโรคกลับไป และในเวลานี้เขาได้หลงไปจากทางของพระเจ้า ให้เราเป็นเครื่องมือหรือเป็นภาชนะของพระเจ้าที่จะไปติดตามผู้เชื่อที่หลงหายเหล่านี้กลับมา
ซึ่งในค่ำคืนนี้เราจะอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย อย่าให้เราเพียงแค่พูดว่าเขาหลงเจิ่นไปแล้ว หรือพูดว่าเขาไม่มาโบสถ์แล้วเท่านั้น แต่ถ้าเขาไม่เอาพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือบางคนบอกว่ายังเอาพระเจ้าอยู่ แต่ไม่ยอมที่จะบังเกิดใหม่ ก็ให้เราอธิษฐานเผื่อคนเหล่านี้เป็นอย่างน้อย อย่าทิ้งแล้วทิ้งเลย เพราะอะไรครับ ?
เพราะเมื่อพระเยซูคริสต์ยังไม่หมดหวังหรือไม่สิ้นหวังกับคนอย่างเรา เราก็อย่าได้หมดหวังหรือสิ้นหวังกับคนเหล่านี้ ถ้าพี่ - น้องรู้สึกคิดถึงคนเหล่านี้ก็ไปตาม ตามแล้วไม่มาจะด้วยเหตุผลใดก็ตามให้อธิษฐานเผื่อเขาต่อไป
ผมขอบคุณพระเจ้าที่พี่ - น้องในคริสตจักรของเราบางคน ที่มีหัวใจแบบพระเยซูคริสต์ คือ เสาะแสวงหาคนที่หลงหายอีกทั้งได้ใช้ความพยายามในการที่จะช่วยให้คนเหล่านี้กลับมาในทางของพระเจ้า
ในส่วนของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยและยังไม่ได้รับความรอดนั้น ท่านยากอบก็ได้สอนว่าให้เราประกาศกับพวกเขาด้วย เพราะบางคนไม่ใช่เพียงแค่จะได้รับการักษาโรคที่เขาเป็นเท่านั้น แต่เขายังจะได้รับการรักษาโรคบาปเป็นของแถม ที่สำคัญก็คือ จิตวิญญาณของเขาจะรอดจากความตายในครั้งที่ 2 ด้วย
สรุปพระวจนะของพระเจ้าในค่ำคืนนี้
1 ) เราพบนักอธิษฐาน
2 ) ทัศนคติหรืออุปนิสัยของการอธิษฐาน
3 ) ความเข้าใจในการอธิษฐานด้วยความเชื่อ
4 ) การอธิษฐานหายโรคโดยการเจิมด้วยน้ำมัน
5 ) การหายโรคเกิดจากการอธิษฐานสารภาพบาป
6 ) ตัวอย่างของคำอธิษฐานอันมีพลังของผู้ชอบธรรม
7 ) การหายโรคด้วยการกลับใจใหม่