คำเทศนาเรื่อง คนขโมย
คำนำ สวัสดีครับพี่ - น้องในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่เคารพรักทุกท่าน ผมขอบคุณพระเจ้าที่ในเช้าวันนี้ ได้มีโอกาสมาพบกับพี่ – น้องที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้นะครับ ผมยังนำความรักและความปรารถนาดีของพี่ - น้อง คจ.ใจสมานสมุทรสงคราม มาฝากพี่ - น้องที่นี่ด้วย และในเช้าวันนี้ขอให้ผู้ที่มีความเชื่อว่า ท่านจะเป็นผู้ได้รับพระพรของพระเจ้า ให้กล่าวคำว่า อาเมน ด้วยเสียงที่ดัง และก่อนที่ผมจะเทศนาในเช้าวันนี้
ผมมีเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้กับพี่ - น้องฟัง เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อประมาณ 2 ปีกว่าๆที่ผ่านมา มีพี่ - น้องสมาชิกของในคริสตจักรฯ ของผมคนหนึ่ง จะมาขอลาออกจากการเป็นผู้นับเงินถวายสิบลด ผมถามพี่ - น้องท่านนั้นว่าเพราะอะไร ?
คำตอบอย่างง่ายๆ เลยนั่นก็คือว่า เขามองเห็นถึงความไม่สัตย์ซื่อของพี่ - น้องในคริสตจักรฯ ผ่านถุงถวายในแต่ละสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชมยินดีเลย ในการที่จะนับสิบลดในถุงถวายอีกต่อไป
ผมจึงขออนุญาตที่จะหนุนใจพี่ - น้องท่านนี้กลับไปว่า การรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และเป็นสิ่งที่เราทุกๆคนควรที่จะทำกันต่อไป
ดังนั้นอย่าให้เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกท้อใจในการที่เราจะรับใช้พระเจ้า ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเรื่องแบบนี้ มันก็มีอยู่ด้วยกันทุกโบสถ์หรือทุกคริสตจักรนั่นแหละ
สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่า เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราได้แลเห็น หรือได้รับรู้ และหรือได้รับทราบ พระองค์ก็ทรงปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้น ได้มีโอกาส ที่จะอธิษฐานเผื่อถึงความสัตย์ซื่อของพี่-น้องสมาชิกในคริสตจักรฯที่จะมีมากขึ้น มากกว่าที่จะให้เรานั้นเมื่อได้แลเห็นถึงปัญหาแล้วลาออก
ดังนั้นให้เราได้ทำในส่วนของเราต่อไป ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่าให้ทำอย่างสัตย์ซื่อ และขอให้รู้ว่าในความไม่สัตย์ซื่อของพี่ - น้องนั้น แม้ว่าเราจะมองไม่เห็น แต่พระเจ้านั้นทรงมองเห็นอย่างแน่นอน
เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์ สัพพัญญูญาณ ซึ่งคำว่า สัพพัญญูญาณ คำนี้แปลว่า พระองค์ทรงไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน หรือทรงตื่นอยู่เสมอและสามารถที่จะดำรงอยู่ด้วยตนเอง
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จะเป็นผู้ตอบแทนหรืออวยพระพรแต่ละบุคคล ก็จากผลแห่งการกระทำจากน้ำมือของเขานั่นเอง และนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่ผมอยากที่จะแบ่งปันให้กับพี่น้องได้ฟังในเช้าวันนี้
ดังนั้นคำเทศนาของผมในเช้าวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องของเงินๆทองๆ โดยผมจะอัญเชิญพระวจนะคำของพระเจ้า จากพระธรรม อฟซ. 4 : 28 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ “คนที่ขโมยก็อย่าขโมยอีกแต่จงใช้มือทำงานที่ดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “คนขโมย” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับมีผู้เชื่อคนหนึ่งเขากำลังยืนพูดคุยกับศิษยาภิบาลของตน
ผู้เชื่อคนดังกล่าวพูดว่า : ท่านศิษยาภิบาลทราบไหมครับว่า เศรษฐกิจของประเทศเป็นแบบนี้ ทำให้คนในสังคมไม่มีงานทำ หลายคนจึงคิดที่จะเป็น ขโมย ขะโจร กันมากขึ้น แต่คริสเตียนเราคงไม่มีใครคิดที่จะเป็นขโมยใช่มั้ยครับ
ศบ.ตอบสมาชิกคนนั้นอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังว่า: มี และมีเป็นจำนวนมากด้วย แตกต่างกันตรงที่ขโมยนั้น มันขโมยของคนอื่น แต่คริสเตียนนั้นมันขโมยของที่เป็นของพระเจ้า ซึ่งนั่นก็คืออะไรครับ ? ทศางค์หรือสิบลดนั่นเอง
และศิษยาภิบาลท่านนี้ก็ถามสมาชิกคนนั้นต่อไปว่า คุณเป็นคนหนึ่งด้วยหรือเปล่า ที่ขโมยสิบลดของพระเจ้า ? (ให้เราถามคนข้างซ้ายข้างขวาว่า คุณเป็นคนหนึ่งด้วยหรือเปล่าที่ขโมยสิบลดของพระเจ้า )
พี่ - น้องที่รักครับ พระวจะคำของพระเจ้าในหนังสือ สดด.24 : 1 ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่า แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นเป็นของพระเจ้า ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น
ซึ่งหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกสิ่งและทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้มันจะอยู่ใต้ล่างหรืออยู่บนโลกและหรืออยู่บนโน้นก็ตามแต่ ล้วนแต่เป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น
คำถามก็คือว่า แล้วชีวิตของเราหรือลมหายใจของเราที่มีอยู่ในเวลานี้นั้นละ เป็นของพระเจ้าด้วยหรือไม่ ?
พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก.2:7 ตรัสว่า พระองค์ทรงปั้นมนุษย์ขึ้นมาด้วยผงคลีดินและระบายลมปราณของพระองค์เข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
ซึ่งหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตและลมหายใจของพี่ - น้องและผม ที่มีอยู่ในเวลานี้นั้นต่างก็เป็นของพระเจ้าด้วยเช่นกัน
อาจจะกล่าวได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น พระองค์มีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะริบลมหายใจของพี่น้องและผมไปเมื่อไหร่ก็ได้
คำถามที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือว่า เงินและทองคำที่เรามีอยู่นั้น เป็นของพระเจ้าด้วยหรือไม่
พระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือฮก. 2:8 ได้พูดไว้อย่างชัดเจนและหนักแน่นมั่นคงว่า เงินและทองคำเป็นของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ดังนั้นผมไม่ต้องถามพี่ - น้องอีกนะครับว่าเงินและทองคำที่เรามีนั้นเป็นของใคร เพราะพระคำของพระเจ้าพูดชัดถึงขนาดนี้แล้ว
ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจว่าเถิดว่า โดยแท้จริงแล้วนั้น เรานั้นไม่ได้มีอะไรเลยพี่ - น้องที่รักที่เป็นของๆเรา
ผมมีเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้พี่ - น้องฟัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผมชอบมากๆเรื่องหนึ่งด้วย เรื่องมีดังนี้ครับว่า
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ภายหลังจากที่ได้เข้าครอบครองอาณาจักรน้อยใหญ่มามากมาย ก็ได้เดินทางกลับบ้าน ระหว่างการเดินทางก็เกิดล้มป่วยลง ซึ่งเขาจะต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานหลายเดือน และเมื่อความตายกำลังจะใกล้เข้ามา เขาจึงรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
ไม่ว่าชัยชนะที่ได้มานั้นจะมากมายเท่าไหร่ไม่ว่ากองทัพจะเกรียงไกรสักปานใด แต่เมื่อถึงเวลานี้แม้แต่ดาบที่คมกริบสักเล่มหนึ่งหรือสมบัติมากมายที่มีอยู่ก็หามีประโยชน์ไม่
ด้วยเหตุนี้พระองค์จะเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาเพื่อรับสั่ง อเล็กซานเดอร์พูดกับแม่ทัพของเขาว่า
ข้าจะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้า แต่ข้ามีความประสงค์อยู่ 3 ประการที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จและอย่าขาดแม้แต่สิ่งเดียว และเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของพระองค์ก็ไหลอาบแก้ม ซึ่งแม่ทัพทุกคนต่างก็เห็นตรงกันที่จะทำให้สำเร็จ
ความประสงค์ข้อแรกของข้าก็คือ ให้แพทย์ที่รักษาข้าเป็นผู้แบกศพข้า
ความประสงค์ที่ 2 ของข้าก็คือ ระหว่างทางที่นำหีบศพของข้าไปฝังให้โปรยเงินและเพชรนิลจินดาที่ข้าสะสมไว้ในท้องพระคลัง
ความประสงค์ประการที่ 3 ของข้าก็คือ ปล่อยมือทั้ง 2 ข้างของข้าให้ยื่นออกมาจากหีบศพ
บรรดาข้าราชบริพาลที่ได้ยิน ต่างกันพาสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถาม แม่ทัพคนโปรดของพระองค์จุมพิตที่มือและเอามือไปไว้ที่หน้าอกและกล่าวว่า
มหาราชของข้า พระประสงค์ของพระองค์จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอนแต่บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงทรงมีพระประสงค์เช่นนี้
ถึงตอนนี้….อเล็กซานเดอร์ถอนหายใจลึกๆแล้วกล่าวว่า ข้าอยากให้โลกได้เรียนรู้บทเรียนจากข้า 3 ประการ
“ข้าให้แพทย์ผู้รักษา เป็นผู้แบกหีบศพของข้าก็เพื่อให้ผู้คนได้รู้ว่า ไม่มีแพทย์คนไหนที่จะรักษาโรคให้หายขาดได้”
“ข้าให้โปรยเงิน อีกทั้งเพชรนิลจินดาในระหว่างทางที่ไปสุสานของข้า เพื่อบอกผู้คนทั้งหลายให้รู้ว่า แม้นเพียงเสี้ยวของสิ่งที่มีค่าเหล่านั้น ข้าก็ยังนำไปด้วยไม่ได้เลย ประชาชนจะได้ตระหนักว่า มันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะสะสมความมั่งคั่ง
และความประสงค์ประการสุดท้าย ที่ข้าขอให้นำมือทั้ง 2 ข้างของข้ายื่นออกมาจากหีบศพก็เพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้ว่า “ บุคคลผู้ซึ่งเอาชนะมาแล้วเกือบทั่วโลกสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรติดมือไปแม้แต่น้อย ”
และคำกล่าวสุดท้ายของอเล็กซานเดอร์ เขากล่าวว่า“ แม้บัญชาสวรรค์จะให้ข้ามีอายุอยู่เพียงแค่ 33 ปี แต่ข้าก็ไม่ได้เสียใจเลยแม่แต่น้อย สิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุด คือ ข้าได้พบสัจจธรรมของโลกเพียงไม่กี่นาทีสุดท้ายก่อนสิ้นลม ”
ดังนั้นผมจึงขอย้ำกับพี่ - น้องอีกครั้งหนึ่งว่า มนุษย์เราเกิดมา โดยที่เรานั้นไม่ได้มีอะไรเลยจริงๆพี่ - น้องที่รักที่เป็นของๆเรา แต่พระเจ้าของเรานั้นพระองค์ทรงเป็นองค์อธิปไตย พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าแห่งการเผด็จการ
ดังนั้นพระองค์ทรงมีเหตุและมีผล ซึ่งเราจะเห็นถึงเหตุและผลของพระองค์ได้ตลอดจากพระวจนะคำของพระเจ้า ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่
เนื่องจากคำเทศนาในเช้าวันนี้ กำลังพูดถึงเรื่องเงิน และสิ่งที่จะทำให้เราทั้งหลายนั้นมีเงินนั่นก็คืองาน
ด้วยเหตุนี้เราจึงพบถ้อยคำของพระเจ้า ที่มีการพูดถึงเรื่องของค่าแรงงานหรือพบถ้อยคำของพระเจ้าที่มีการพูดถึงเรื่องของค่าจ้างเอาไว้ถึง 34 ครั้งด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้เราพอที่จะเข้าใจได้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้น ได้รับค่าจ้างหรือมีรายได้และหรือมีผลกำไรจากงานที่เราทำนั่นเอง
พระคำของพระเจ้าใน มก. 12 : 17 ตรัสดังนี้ว่า พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่าของๆซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของๆพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า
ซึ่งนั่นหมายความว่า รายได้ในฝ่ายโลกหรือเราจะเรียกว่ารายได้ในฝ่ายเนื้อหนังก็ตาม ในสมัยของอาณาจักรโรมันนั้น เราจะต้องนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการที่เราหาได้นั้น ไปจ่ายเป็นภาษีให้กับซีซาร์หรือรัฐบาลโรม
ปัจจุบันนี้เราอยู่ภายใต้อาณาจักรไทย ดังนั้นปัจจุบันนี้ เราจะต้องนำรายได้ส่วนหนึ่งที่เราหาได้ไปจ่ายเป็นภาษีให้กับใครครับ ? รัฐบาล เพื่ออะไรครับ
เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ - กฎหมายที่ได้วางไว้ เพื่ออะไรอีกครับ ? เพื่อเป็นการสำแดงการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศนั้นๆ
พี่ - น้องที่รักครับ การเสียภาษีให้กับรัฐในปัจจุบันนี้ส่วนมากเป็นการหัก ณ.ที่จ่าย มีรายได้น้อยจ่ายน้อย ต่ำสุดคือ 5 % มีรายได้มากจ่ายมาก สูงสุดคือ 35 % และถ้ามีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานก็ไม่ต้องจ่ายอันนี้เป็นการจ่ายภาษีในฝ่ายโลก
อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพี่ - น้องและผมได้มาพบกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้วหรือพูดอีกนัยยะหนึ่งก็คือ เมื่อเราได้เข้ามาเป็นพลเมืองของพระเจ้า หรือได้เข้ามาเป็นประชากรในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว ในส่วนของของพระเจ้าเราก็จะต้องถวายให้กับใครครับ ? แด่พระเจ้า อาจจะกล่าวได้ว่าอันนี้เป็นการจ่ายภาษีในโลกฝ่ายวิญญาณ
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า ถวายแด่พระเจ้านั้นถวายเท่าไหร่ ? ถวายแด่พระเจ้านั้นเป็นการถวาย
1. ตามที่ใจอยากจะถวายใช่หรือไม่
2. ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกของเราใช่หรือไม่
3. แบบมีมากให้มาก มีน้อยให้น้อยอย่างนั้นรึเปล่า ?
พระคำของพระเจ้าในหนังสือ มลค.3:10 ตรัสไว้เอาดังนี้ว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง
คำว่า ทศางค์ คำนี้แปลว่าสิบชักหนึ่ง ดังนั้นรายได้ส่วนหนึ่งที่เราทำมาหาได้นั้น เราจะต้องสิบชักหนึ่งออกมา แล้วนำส่วนที่ชักออกมาอย่างเต็มขนาดนั้นถวายให้กับพระเจ้าเพื่อเก็บเอาไว้ในคลังซึ่งในปัจจุบันนี้นั่นก็คือคริสตจักรนั่นเอง
คำถามที่น่าสนใจอีกคำถามหนึ่งนั่นก็คือว่า เหตุและผลที่เราจะต้องนำ ทศางค์หรือสิบลด มาถวายให้กับพระเจ้านั้นเพราะอะไร ?
พระวจนะของพระเจ้าในหนังสือ มลค. 3 : 10 พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า จง ซึ่งคำว่าจง คำนี้เป็นเสมือนกับคำสั่งที่จะต้องปฏิบัติไม่ปฏิบัติไม่ได้
ดังนั้นเหตุและผล ที่คริสเตียนหรือผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ทุกๆคนจะต้องนำสิบชักหนึ่งหรือสิบลด ของตนมาถวายกับพระเจ้าอย่างเต็มขนาด เพราะว่านี่เป็นคำสั่งที่มาจาก เบื้องบน
อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ คำว่า รายได้ คำนี้นั้น ขอให้พี่ - น้องได้เข้าใจให้ตรงกันด้วยว่า มันมิได้มีความหมายแต่เพียงเฉพาะเงินเดือนอย่างเดียวเท่านั้น
พระคำของพระเจ้าในหนังสือลนต.27:30 ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่า สิบชักหนึ่งทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดิน เป็นพืชที่ได้จากแผ่นดินก็ดีหรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้าเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า
ซึ่งนั่นหมายความว่า คำว่า รายได้ คำนี้นั้นมีความหมายรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ พืชผล ไร่นาทางการเกษตรนาๆชนิด นั่นก็ถือว่าเป็นรายได้ด้วยเช่นกัน
ซึ่งพี่ - น้องคริสเตียนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ส่วนมากมักจะประกอบอาชีพทำไร่ทำนา ทำเกษตรกรรม ซึ่งพี่ - น้องเหล่านี้ก็มักจะถวายทศางค์สิบลดให้กับพระเจ้า ด้วยผลผลิตของตน เช่น เกี่ยวข้าวได้ 10 ไร่ 1 ไร่ที่เกี่ยวเก็บได้นั้นเป็น ทศางค์หรือสิบลด ของพระเจ้า
น่าเสียดายตรงที่ว่า มีคริสเตียนไทยอยู่เป็นจำนวนมากที่บางคนคิดและบางคนพูดในทำนองที่ว่า อุตสาห์ทำงานหลังคด หลังแข็ง แทบตาย แต่ต้องเอาสิบลดไปถวายให้กับพระเจ้า ซึ่งนั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่ครับพี่ - น้อง ?
โมเสส ได้พูดกับประชากรในสมัยของเขาเอาไว้ในหนังสือ ฉลธ. 8:17 - 18 ว่า
จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่านี้มาให้ ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่าน ที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้
พี่ - น้องที่รักครับ โมเสสได้พูดกับประชาชนของเขาที่คิดและพูดในลักษณะอย่างนี้เอาไว้ว่าอย่างชัดเจน จงระวังความคิดของท่านเอาไว้ให้ดีหรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ท่านไม่ควรที่จะคิดอย่างนั้น
และโมเสสก็ได้พูดกับประชากรของเขาต่อไปอีกด้วยว่า การที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ผู้เชื่อทุกๆ คนได้ถวาย ทศางค์หรือสิบชักหนึ่งให้กับพระองค์นั้นเพราะ
Aพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ท่านมีสุขภาพที่ดี
Bพระเจ้าเป็นผู้ประทานพละกำลังเรี่ยวแรงให้กับท่านCพระเจ้าเป็นผู้ประทานความสามารถในการประกอบสัมมาชีพอาชีพหรือกิจการประจำวันให้กับท่าน
นี่จึงเป็นเหตุและเป็นผล ที่พระเจ้าได้ทรงสั่งให้พวกเราทั้งหลายนั้นถวาย ทศางค์หรือสิบชักหนึ่งให้กับพระเจ้าซึ่งเราจะต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ
ในขณะเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ การถวาย ทศางค์หรือสิบชักหนึ่ง ให้กับพระเจ้านั้นก็เป็นหลักที่สำคัญประการหนึ่งที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้กับคนของพระเจ้ามาตลอดทุกยุคทุกสมัย
ปฐก.14:20 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน อับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้น ถวายแก่กษัตริย์เมลคีเซเดค
ปฐก.28:22 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า และก้อนหินซึ่งข้าพระองค์ตั้งไว้เป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้าและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบให้แก่พระองค์
นหม.13:12พระคำของพระเจ้าตรัสว่าและยูดาห์ทั้งปวงได้นำทศางค์ที่เป็นข้าว เหล้าองุ่นใหม่และน้ำมันเข้ามายังเรือนพัสดุ
จากประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ และจากพระวจนะของพระเจ้าทั้ง 3 ข้อที่เราได้อ่านร่วมกัน ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า การถวายทศางค์หรือสิบชักหนึ่ง นี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยบรรพชนของเราแล้ว นั่นก็คือตั้งแต่สมัยของอับราม และได้มีการสืบทอดต่อๆกันมาอย่างเคร่งครัดจากชนรุ่นหนึ่งมาสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง
ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในสภษ. 3 :9 - 10 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินของตน และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทั้งสิ้นของเจ้าแล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มไปด้วยความอุดม และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่น
สภษ.3:9 ทำให้เราทราบว่า ในยุคของกษัตริย์ดาวิดและกษัตริย์โซโลมอนนั้น เขาก็ได้บอกกับชนชาติของเขาอย่างชัดเจนว่า ให้ชนชาติของเขานั้นได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าในเรื่อง สิบชักหนึ่ง นี้อย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน
พี่ - น้องที่รักครับ นี่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของโลกที่ พระเจ้าทรงกระทำกับประชากรของพระองค์
อย่างไรก็ตามผมก็พบว่า มีคริสเตียนไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยที่เดียว ที่ไม่ได้ตระหนักถึงถ้อยคำหรือพระดำรัสสั่งของพระเจ้า เกี่ยวกับในเรื่องของ ทศางค์หรือสิบชักหนึ่ง นี้อย่างจริงจัง จนทำให้ผู้เชื่อหลายต่อหลายคน ได้ถลำตัวลึกลงไปในการไม่เชื่อฟังนั้น จนในที่สุดจึงกลายเป็นความผิด ความบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายและน่ากลัวมาก
ในฝ่ายโลกหรือในฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าพี่ - น้องมีรายได้จากการทำงานทุกเดือน ทุกปีและถ้าพี่ - น้องหลบลี้ หนีเลี่ยงการเสียภาษีและถ้าพี่ - น้องถูกจับได้แอบแซวหน่อย เหมือนกับดาราบางคนผลเป็นไงครับ
ถ้าเป็นสมัยการปกครองในระบบสมบูรณ์ญาสิทธิราช ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นใหญ่ที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดิน โทษที่หนักที่สุดของผู้ที่คิดหลบลี้หนีเลี่ยง การชำระเบี้ยอัฐหรือการจ่ายภาษีนั่นคือประหารชีวิตนะครับ
เช่นเดียวกับชนชาติอิสราเอล ซึ่งเป็นพลเมืองหรือประชากรของพระเจ้า ซึ่งอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติหรืออยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ หรือกฏหมายของพระเจ้าในเวลานั้น
ถ้าชนชาติอิสราเอลในเวลานั้น ทำการหลบลี้หนีเลี่ยงการถวาย สิบชักหนึ่งให้กับพระเจ้า โทษของพวกเขาคืออะไรครับ ?
พระคำของพระเจ้าในมลค.3:9 ตรัสเอาไว้ว่า เจ้าทั้งหลายต้องถูกสาปแช่ง ด้วยคำสาปแช่ง เพราะเจ้าทั้งหลายทั้งชาติฉ้อเรา
ถ้าชนชาติอิสราเอลทำการหลบลี้ หนีเลี่ยง การถวาย สิบชักหนึ่งให้กับพระเจ้าสิ่งที่พวกเขาจะได้รับนั่นก็คือ การสาปแช่ง
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้ามีคนมาสาปแช่งเรา พี่ - น้องกลัวไหมครับ ? เรากลัว กลัวเพราะอะไร ?
เรากลัวว่า ไอ้ที่เขามาสาปแช่งเรานั้นมันอาจจะเป็นจริง และถ้าพระเจ้าสาปแช่งเราล่ะจะเป็นอย่างไร ? มันก็วิบัติสิครับพี่ - น้องเพราะมันจะเป็นจริงอย่างแน่นอน
และนั่นคือวิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อชนชาติอิสราเอลที่ หลบลี้ หนีเลี่ยงในการถวายสิบชักหนึ่ง ให้แก่พระเจ้าในเวลานั้น ซึ่งถือว่าเป็นการขโมยของของพระเจ้าและหรือฉ้อโกงของของพระองค์นั่นเอง
พระคำของพระเจ้าในมลค.2:2-3ตรัสว่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่ฟังและถ้าเจ้าไม่จำใส่ไว้ในใจที่จะถวายศักดิ์ศรีแก่นามของเรา เราจะส่งคำสาปแช่งมาเหนือเจ้า และเราจะสาปแช่งผลพระผงซึ่งมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งคำอวยพรของเจ้าแล้วนะ
เพราะเจ้ามิได้จำใส่ใจไว้ ดูเถิดเราจะขนาบลูกหลานของเจ้า และจะละเลงมูลสัตว์ใส่หน้าเจ้า คือ มูลสัตว์ของเครื่องบูชาของเจ้า และเราจะไล่เจ้าออกไปเสียจากหน้าเราอย่างนั้นแหละ
พระคำของพระเจ้าใน ฮก.1:5-11 ตรัสว่า เพราะฉะนั้นท้องฟ้าที่อยู่เหนือเจ้า จึงยังคงน้ำค้างไว้เสีย และโลกก็ยึดพืชผลของมันไว้เสีย และเราก็เรียกความแห้งแล้งมาสู่แผ่นดินและเนินเขามาสู่ข้าว เหล้าองุ่นและน้ำมันมาสู่สิ่งต่างๆซึ่งดินอำนวยผล สู่มนุษย์และสัตว์และนำมาสู่ผลงานซึ่งมือกระทำไว้
พี่ - น้องที่รักครับ จากพระวจนะของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อที่ได้อ่านร่วมกัน ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเสียพระทัยและทรงกริ้วเป็นอย่างมากพราะอะไร
เพราะผู้คนในเวลานั้น ต่างนำรายได้ที่ตนมีไปสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ได้มาใช้ไป ได้มาใช้ไป โดยที่ชนชาติของพระเจ้าในเวลานั้น ต่างไม่ได้สนใจเลยว่า พระวิหารของพระเจ้านั้นจะเป็นเช่นไร
หรือโดยที่พี่ - น้องไม่ได้สนใจเลยว่า พระเจ้าทรงมีพระดำรัสสั่งเอาไว้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเสียพระทัยและทรงกริ้วเป็นอย่างมาก
เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้พี่ - น้องที่รัก ที่ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนในประเทศไทย ที่คิดถึงแต่ตัวเอง สนใจแต่ตัวเอง คิดถึงความสวยงาม คิดถึงค่าใช้จ่ายของตนเอง และหรือคิดถึงบ้านของตัวเอง โดยที่เขาไม่ได้สนใจเลยว่า พระวิหารหรือคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะเป็นอย่างไรหรือปุโรหิตย์และหรือผู้รับใช้ของพระเจ้านั้นอยู่กินอย่างไรหรือเขานั้นได้รับค่ายังชีพประจำเดือนครบแล้วหรือยัง ?
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกริ้วและไม่พอพระทัย พี่ - น้องสมาชิกที่มีอยู่ในคริสตจักรต่างๆ เหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยของเรา ถูกปกครองโดยระบบประชาธิปไตย ซึ่งถ้าพี่ - น้องถูกจับได้ว่าเป็นคนที่หลบลี้หนีเลี่ยง การจ่ายภาษีอากรของบ้านเมือง บทลงโทษของผู้กระทำความผิด
แม้ว่าจะไม่ใช่การประหารชีวิต แต่ต้องถูกปรับย้อนหลัง หรือถูกจำคุก และหรืออาจถูกทั้งจำทั้งปรับ เพราะถือว่าเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้ ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกๆคนอยู่ในยุคของไม้กางเขน หรืออยู่ในยุคของพระคุณของพระเจ้า
ถ้าเราผู้ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นประชากรของพระเจ้าได้ทำการหลบลี้หนีเลี่ยง การถวาย สิบชักหนึ่ง ให้กับพระเจ้า โดยที่เราไม่ได้สนใจพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ว่าจงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลังหรือในคริสตจักร เรามัวแต่สนใจแต่ตัวเองหรือให้ตามที่ใจอยากให้ พี่ - น้องคิดว่าเขาจะได้รับผลจากสิ่งที่เขาทำมั้ยครับ ?
พี่ - น้องที่รักครับ เป็นความจริงและเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่ว่าในยุคของพระคุณนี้ พระเจ้าจะไม่สาปแช่งเราหรือทำโทษพวกเราอย่างรุนแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า 1. เราจะพ้นผิดหรือพ้นโทษต่อสิ่งที่เราได้ฉ้อโกงพระเจ้า 2. เราจะพ้นผิดหรือจะพ้นโทษต่อสิ่งที่เราได้ขโมยของของพระเจ้า
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า บทลงโทษของผู้กระทำความผิดในการหลบลี้ หนีเลี่ยง ในการถวาย สิบชักหนึ่ง ให้กับพระเจ้าในยุคของพระคุณนี้คืออะไร
คำตอบง่ายๆนั่นก็คือ การที่คริสเตียนคนนั้นหรือผู้เชื่อคนนั้นเขาจะขาดจากพระพรของพระเจ้าหรือไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างเต็มขนาดนั่นเอง ขาดอย่างไร
1.หลายคนดื่มแต่ก็ไม่เคยหายอยาก
2.หลายคนได้รับค่าจ้างแต่มักเก็บไม่เคยอยู่เพราะมันมีเรื่องอยู่ตลอดเวลา
3.หลายคนนุ่งห่ม แต่ก็ไม่เคยอบอุ่น แม้ว่าจะใช้ผ้าห่มยี่ห้อโลตัสก็ตาม
4.หลายคนรับประทานแต่ไม่เคยอิ่ม
5. หลายคนหว่านมากแต่กับเก็บเกี่ยวได้น้อย
6.หลายคนมีความหวังกับเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่ก็มักจะผิดหวังหรือความหวังมักจะต้องพังทลายไปเสียทุกที
คำถามก็คือว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเล่า ?
คำตอบอย่างง่ายๆนั่นก็คือว่า เพราะความไม่สัตย์ซื่อของเขานั่นเอง เป็นเหตุที่ทำให้พระเจ้านั้นได้เป่ามันทิ้งเสีย ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ทศางค์หรือสิบชักหนึ่ง นั้นมันเป็นของพระเจ้าอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องไม่อยากที่จะขาดพระพรของพระเจ้าหรือพี่ - น้องไม่อยากที่จะเป็นคริสเตียนที่น่าสงสารแล้วละก็ ผมขอหนุนใจพี่ - น้องอย่างตรงไปตรงมาว่า
อย่าฉ้อโกงของซึ่งเป็นของพระเจ้า
อย่าทำลายหรือฉีกหลักฐานสำคัญชิ้นนี้
อย่าได้หลบลี้หรือหนีเลี่ยง การถวาย สิบชักหนึ่ง แด่พระเจ้า
อย่าแหกกฎของพระเจ้าพระเยโฮวาห์ ที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพชนของเรา
ให้พี่ - น้องสัตย์ซื่อกับของที่เป็นของพระเจ้าโดยอย่าได้ขโมยของซึ่งเป็นของพระเจ้า
ส่วนผู้ที่เคยหลบลี้หนีเลี่ยงในการถวาย สิบชักหนึ่ง ให้กับพระเจ้าผมก็ขอหนุนใจท่านด้วยพระวจนะคำของพระเจ้าว่า จงกลับใจเสียใหม่
โดยการเริ่มต้นคืนของ ที่เป็นของๆพระเจ้าให้กับพระเจ้า และฝึกที่จะถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้า ด้วยการถวาย ทศางค์หรือสิบชักหนึ่ง ของตนอย่างสัตย์ซื่อ และชีวิตของพี่ - น้องจะมีประสบการณ์อีกทั้งมีคำพยานที่สดใหม่ และน่าตื่นเต้นกับพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา
ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยการเล่าเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งให้กับพี่ - น้องฟัง
เรื่องก็มีอยู่ว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งเขาอาศัยอยู่ในมลรัฐนิวอิงแลนด์ประเทศสหรัฐฯ
ชายหนุ่มคนนี้ตกงานมานานมาก ในที่สุดเขามีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 20 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 บาท ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชายหนุ่มคนนี้ต้องเดินเท้ามาโบสถ์ในวันอาทิตย์ และเขาก็ได้ถวายสิบลดให้กับพระเจ้าเป็นจำนวนเงิน 10 เหรียญในจำนวนของเงินที่เขามีอยู่
ในเช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มคนนี้เขาจะต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปหางานทำซึ่งเขาจะต้องจ่ายค่าเดินทางเป็นจำนวนเงิน 20 เหรียญ แต่เขามีเงินไม่พอ เขาก็เลยขอซื้อตั๋วโดยสารเพียงแค่ครึ่งทาง เมื่อสิ้นสุดระยะทางเขาจึงเดินออกหางานอยู่แถวๆนั้นประมาณ 30 นาที ชายหนุ่มคนนี้จึงได้งานทำและได้รับค่าจ้างสูลถึง 100 เหรียญ / ชม.
พี่ - น้องที่รักครับ เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ที่ชายหนุ่มคนนี้ถวายให้กับพระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงประทานพระพรกลับ ให้กับชายหนุ่มคนนี้สูงถึง 10 เท่า ของจำนวนเงินที่เขาถวายให้กับพระเจ้า และชายหนุ่มคนที่ผมกล่าวถึงนี้ คือ W. L . ดักลาส
ผู้ซึ่งภายหลังกลายเป็นเศรษฐี และเป็นเจ้าของโรงงานผลิตรองเท้ายี่ห้อดัง ที่ใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานี้
และสิ่งที่ผมเล่าให้กับพี่ - น้องได้ฟังก็เพราะนี่เป็นคำพยานของเขา W. L. Douglas เขาบอกว่า เขาเพียงให้กับพระเจ้า ตามที่พระเจ้าบอกกับพวกเราทุกคนนั่นก็คือเพียง สิบชักหนึ่ง เท่านั้น แต่พระเจ้ากับทรงอวยพรให้กับเขา อย่างหรูหราเลยทีเดียวขอบคุณพระเจ้า
คำถามก็คือว่า พี่ - น้องสมาชิก คจ. สัมพันธ์รวมพระพร อยากจะให้พระเจ้าได้อวยพระพรชีวิตของท่านหรือครอบครัวของท่าน เหมือนกับคำพยานของ W.L. Douglas คนนี้ไหมครับ ?
ถ้าพี่ - น้องอยากได้รับพระพรของพระเจ้า ผมขอหนุนใจให้พี่ - น้อง ทำตามอย่างที่พระคำของพระเจ้านั้น ได้ทรงตรัสและสอนกับเราทั้งหลายเอาไว้อย่างเคร่งครัดและท่านจะเป็นผู้รับพระพรเพราะอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? เพราะพระเจ้าองค์นี้
เป็นพระเจ้าผู้เริ่มให้พันธสัญญา และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้รักษาพันธสัญญา และพระองค์จะทำพันธสัญญาของพระองค์ให้สำเร็จ ในทุกๆประการเสมอ
ผมมักจะพูดกับพี่ - น้องในคริสตจักรของผมอยู่เสมอๆว่ามี 3 สิ่งที่พระเจ้าทำไม่ได้ 1.พระเจ้าหยุดที่จะอวยพรเราไม่ได้ 2. พระเจ้าหยุดที่จะรักเราไม่ได้ 3. พระองค์ไม่มุสา
ดังนั้นถ้าพี่ - น้องและผมต่างๆที่จะเคร่งครัดกับพระเจ้าในทุกๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องการถวายทศางค์นี้ด้วย พี่ - น้องและผมจะได้เป็นผู้รับพระพรอย่างแน่นอน
สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้
1.อย่าขโมยหรืออย่าฉ้อโกงของซึ่งเป็นของพระเจ้า
2.อย่าหลบลี้หนีเลี่ยงการถวายสิบชักหนึ่งแด่พระเจ้า
3.อย่าแหกกฎหรืออย่าทำลายและหรืออย่าฉีกหลักฐานที่สำคัญที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการเอาไว้เป็นแบบอย่าง