ความจริงเรื่องกาลเวลา

คำเทศนาเรื่อง Time Line แห่งกาลเวลา

 

ยน.8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท"

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ? เราพบคำว่า “สัจจะ” คำถามก็คือว่า “สัจจะ” แปลว่า อะไร ? คำตอบก็คือว่า “สัจจะ” แปลว่า “ความจริง”

พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สัจจะ ทำให้เรา 1.ออกจากความไม่รู้ 2.ออกจากความมืดบอด ออกจากการหลงทาง 3.เป็นผู้มีอิสระ มีเสรีภาพ มีความเป็นไท 4.ดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้ อย่างผู้ที่เข้าใจตนเองและผู้อื่น

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วการดำเนินชีวิตในฐานะมนุษย์เรานั้นมีเรื่องราวที่เราจะต้องจะต้องรู้ ต้องทราบกี่เรื่องครับ ? มากมายหลายเรื่อง ซึ่งเราไม่สามารถที่จะอธิบายมันได้หมดและเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจมันเสียทุกเรื่องด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ในเช้าวันนี้ผมจะนำสักเรื่องหนึ่งที่มนุษย์อย่างเราจะต้องรู้และจะต้องเข้าใจ ประการที่สำคัญยิ่งนั่นก็คือว่าเรื่องที่ว่านี้มันมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของเราทุกคนด้วย

และสิ่งที่เราต้องรู้นั่นก็คือว่า สำหรับมนุษย์ทุกคนแล้วทุกคนต่างมีกาลเวลาของตน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Time Line หมายถึง มนุษย์ทุกคนต่างมีเรื่องราวของตนทั้ง อดีต ปัจจุบันและอนาคต และนี่คือสัจจะซึ่งสัจจะแปลว่าอะไรนะครับ ? ความจริง

ซึ่งผมจะขอพูดถึงอดีตก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ พี่น้องที่รักครับ ถ้ามนุษย์เราติดอยู่แต่กับอดีต เราไม่อยู่กับปัจจุบันและถ้าเราไม่อยู่กับอนาคตข้างหน้า อดีตมันก็จะคอย 1. ผูกมัด 2.เหนี่ยวรั้ง ชีวิตของพี่น้องเอาไว้ ซึ่งเบื้องหลังก็คือมาร

หน้าที่ของมาร ซาตาน คือ อะไรครับ ? ลัก ฆ่าและทำลาย แต่พระเยซูมาเพื่อให้ชีวิตและเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์2. กล่าวโทษ ฟ้องผิด แต่พระเยซูมาเพื่อยกโทษและให้อภัย 3. นำมนุษย์ออกจากทางของพระเจ้าแต่พระเยซูมาเพื่อให้เราเดินในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้มีความเข้าใจที่ตรงนั่นก็คือว่า ถ้ามนุษย์เราติดอยู่แต่กับอดีต เราไม่อยู่กับปัจจุบันและถ้าเราไม่อยู่กับอนาคตข้างหน้า อดีตมันก็จะคอย 1. ผูกมัด 2.เหนี่ยวรั้ง ชีวิตของพี่น้องเอาไว้ ซึ่งมารมันปรารถนาที่จะให้มนุษย์อยู่ในสภาพแบบนี้

อดีต เปรียบเสมือนกับการเดินจงกลม จะเดินอยู่ในวงกลมหรือเดินอยู่ในสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ตาม ถามว่าเดินอยู่แบบนี้ทุกๆวัน ชีวิตเราไปไหนไหมครับ ?

มาร ซาตาน วิญญาณ มันต้องการใช้เรื่องราวในอดีตของเรานั้นแหละที่ทำให้ชีวิตของเรานั้นไม่ไปไหน และถ้าหากเรายังเดินวนเวียนอยู่ที่เดิมตลอดชีวิตอย่างนี้เรื่อยไป ชีวิตของเราคืออะไรครับ ? การย่ำอยู่กับที่ อดีตทำให้ชีวิตของเราเดินไปได้ไม่ไกล เหนื่อยเปล่า

ดังนั้น อดีต ไม่ว่ามันจะ 1.หวานหรือขมขื่น 2.ดีหรือไม่ดี มันก็คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่าไปอยู่ติดกับมันเพราะมันจะทำให้ชีวิตของพี่น้องหลงทาง

คำถามก็คือว่า ถ้าเราไปอยู่ติดกับอดีต เราได้อะไรบ้างไหมกับชีวิตแบบนี้ ? ซุนวู กล่าวเอาไว้แบบนี้ครับว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง” เราจะมีชีวิตข้างหน้าต่อไปอย่างมีความสุขได้ถ้าเรารู้ว่าอดีตมันไม่ได้ให้อะไรกับเราเลย

ดังนั้นเมื่อพี่น้องตอบว่า อดีตมันไม่ได้ให้อะไรกับพี่น้องเลย แสดงว่าพี่น้องได้พบกับ “สัจจะ” หรือพี่น้องได้พบกับ “ความจริง” ของพระเจ้าแล้ว ขอให้ความจริงในข้อนี้ปลดปล่อยให้พี่น้องได้มีอิสระมีเสรีภาพมีความเป็นไทจากอดีตของพี่น้องในทุกๆเรื่อง

ด้วยเหตุนี้ อ.เปาโล จึงได้กล่าวเอาไว้ใน ฟป.3:13 “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

พระคำของพระเจ้าตรัสผ่านทางท่าน อ.เปาโล อย่างชัดเจนถึง 2 ประการด้วยกัน นั่นก็คือคำว่า ให้เราก้าวผ่านอดีตหรือให้เรานั้นได้ลืมอดีตนั้นเสีย

อีกคำหนึ่งนั่นก็คือคำว่า “ให้เราโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้เราบากบั่นไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเสมอ ซึ่งคนที่จะไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเขาจะอยู่กับอดีตได้ไหมครับ ? ต้องเป็นชีวิตที่ไม่ 1.ติดอยู่ที่เดิมหรืออดีต 2.ไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นขอให้ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าในข้อนี้ได้ปลดปล่อยพี่น้องออกจากอดีตทั้งสิ้น

อดีตผ่านไปแล้วต่อไปเป็นอะไรครับ ? ปัจจุบัน ซึ่งเป็นกาลเวลาหรือเป็น Time Line ของชีวิตมนุษย์ทุกคนด้วยไหมครับ ? มนุษย์ทุกคนต้องมีปัจจุบัน

การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของพี่น้องเป็นอย่างไรครับ ? ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของผมเป็นอย่างนี้ครับ ผมตระหนักว่า ผมเป็นพระฉายของพระเจ้า ทราบได้อย่างไร ? ปฐมกาลบอกไว้อย่างนั้นว่า มนุษย์มาจากพระเจ้า

เมื่อมนุษย์รับการสร้างจากพระเจ้าเสร็จแล้ว มนุษย์ก็อยู่เพื่อที่จะปกครองดูแลโลกนี้และปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า หมายความว่าให้มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นและเพื่อพระเจ้า นี่คือสัจจะหรือความจริงของชีวิต

1ปต.5:10 “และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น”

ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์คือการอยู่ไม่ใช่เพื่อตนเองฝ่ายเดียวแต่เพื่อผู้อื่นและเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วย และการที่เรามีชีวิตเพื่อผู้อื่นและเพื่อพระเจ้านั่นเองทำให้ชีวิตของเรานั้นสูงขึ้นและมีคุณค่ามากขึ้น

พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่ออะไรครับ ? 1.เพื่อรับใช้พระบิดาของพระองค์ 2. นำมวลมนุษย์ชาติกลับไปคืนดีกับพระบิดาของพระองค์

คำถามก็คือว่า แท้จริงแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่เพื่อตัวของพระองค์เองจริงๆกี่ % ?

แล้วการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันโดยเฉพาะการที่เราเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยนั้นเราตระหนักแบบนี้ไหม ?

พี่น้องไม่ต้องตอบ เพราะคำตอบมันมีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะข่าวประเสริฐคณะนิกายโปรแตสแตนท์เข้ามาในประเทศไทยของเราเกือบ 180 ปี จังหวัดเพชรบุรีของพี่น้องข่าวประเสริฐเข้ามาเกือบ 130 ปี แล้ว ถามว่ามีคริสตจักรครบทุกอำเภอหรือยัง ? ถามว่าทั้ง จ.เพชรบุรี มีคริสเตียนถึง 1000 หรือยัง ? ถามว่าศิษยาภิบาลมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือยัง ?

เพราะฉะนั้นคำตอบมันมีอยู่ในตัวของมันเองคือโดยส่วนมากเราอยู่เพื่อตัวของเราเองและอยู่เพื่อผู้อื่นเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้เราจึงมีคริสเตียนอยู่เพียงแค่ 1% เท่านั้นเอง แต่คริสตจักรฯที่นี่จะไม่เป็นอย่างนั้น อาเมน ไหมครับพี่น้อง ?

สภษ.14:12 มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา

สภษ.14:15 คนเขลาเชื่อถือทุกอย่าง แต่คนหยั่งรู้มองดูว่าเขากำลังไปทางไหน

พระคำของพระเจ้าใน สภษ.14 ทั้ง 2 ข้อพูดถึงคำว่าทาง การเดินทางต้องมีแผนที่ไหมครับ ? การดำเนินชีวิตก็เช่นเดียวกันคือ ต้องมีแผนที่ ถ้าแผนๆที่อยู่ในมือของเรามันไม่สามารถที่จะบอกเราได้ว่า เรากำลังจะไปไหนหรือมันกับพาเราไปหลงทางแผนที่ๆเรามีอยู่นั้นก็ไม่แตกต่างอะไรจากขยะดีๆนั่นเอง

พระคำของพระเจ้าในสภษ.14 จึงได้บอกับเราเอาไว้ว่า คนในปัจจุบันนี้ส่วนมากหลงทาง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน ต้องทำอะไรและกำลังจะไปที่ไหน ส่งผลให้หลายคนหลงทางไปตลอดชีวิตจนถึงความมรณา

แต่เราในฐานะผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เรารู้ว่ามนุษย์มาจากพระเจ้า เมื่อมนุษย์รับการสร้างจากพระเจ้าเสร็จแล้ว มนุษย์ก็อยู่เพื่อที่จะปกครองดูแลโลกนี้และมีส่วนในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วยนี่คือ 1. สัจจะ 2.ความจริงในการดำเนินชีวิตชีวิต

ดังนั้นเมื่อมีคนถามเราว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ? เมื่อเราตอบตัวเองได้ เมื่อเรารู้มนุษย์มาจากพระเจ้า เราตอบเขาได้ไหมครับ เราตอบคนอื่นได้ มากกว่านั้นเราสามารถที่จะตอบทุกคนได้อย่างจุใจ

ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีความชื่นชมยินดี เพราะเรามีแผนที่ในการดำเนินชีวิตที่แท้จริงอยู่ในชีวิตของเรา และมากกว่านั้นเรารู้ว่า Time Lineในอนาคตของเรานั้นเป็นอย่างไร

มีปัจจุบันแล้วต้องมีอนาคต อนาคตของมนุษย์อยู่ที่ไหนครับ ? สำหรับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือในองค์พระเยซูคริสต์ นั้น พระคัมภีร์พูดชัดเจนมากครับว่า อนาคตของพวกเขาต้องถูพิพากษาในบึงไฟนรก

สำหรับผู้ที่รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ แต่กับจับคันไถและหันหลังกลับ ลก. 9:62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า" อนาคตของเขาเป็นเช่นไรครับ ?

สำหรับผู้ที่รับด้วยปากเชื่อด้วยใจแต่ขาดความประพฤติยก.2:14 พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ อนาคตของเขาเป็นเช่นไรครับ ?

ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในสัจจะ ซึ่งแปลว่า ความจริงหรืออยู่ในแผนที่ของการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องแล้ว เราต้องดำเนินชีวิตให้อยู่ในหนทางของพระเจ้าด้วย รักษาการประพฤติปฎิบัติตามคำสอนของพระเจ้าด้วย

ถ้าเราใช้พระคัมภีร์เป็นมาตราฐานการดำเนินชีวิตของเรา อนาคตของเราจะไม่หลงทาง เพราะพระคำของพระเจ้านั้นเป็นความจริง

แต่เมื่อใดก็ตามที่เราใช้ความคิดของเราเป็นมาตรฐาน ในการดำเนินชีวิต มันจะก่อให้เกิดความทุกข์ใจและนำพี่น้องไปสู่ความตายในที่สุด เป็นการตายทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเราอย่าหลงทางและอย่าหลงประเด็น

ถ้ากาลอนาคตของเราทุกคนนั้นไม่หลงทาง มานมัสการพระเจ้าไม่เคยขาด อีกทั้งเรายังรักษาชีวิตและความเชื่อในพระเยซูคริสต์เอาไว้ได้ดีๆ แน่นอนเมื่อเขาล่วงลับหลับไป เขาจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าไหมครับ ? อยู่กับพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่จะไปอยู่ตรงไหนล่ะ เพราะพระคำของพระเจ้าใน

ยน.14:2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย

คำถามคือว่า เราจะไปอยู่กันที่ตรงไหน ?

มธ. 25:1 "เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว 2 ในพวกเธอเป็นคนที่มีปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน 3 พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ 4 แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย”

ผู้หญิงพรหมจารีย์ จำนวน 10 คนที่บริสุทธิ์ ดูดีและมีความน่ารักนั้น เป็นภาพของผู้ที่มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า ผู้เชื่อทุกคนที่รับพระองค์ด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและมีการประพฤติมีการปฏิบัติ ในวันคืนที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมานั้นพระองค์จะเสด็จกลับมารับเราทุกคน

พระองค์ทรงให้จำนวน 2 จำนวน 5 คนแรก บริสุทธิ์ ดูดี มีความน่ารัก วันอาทิตย์ไปโบสถ์ แต่ไม่ฉลาดพระองค์ก็มารับผู้เชื่อกลุ่มนี้ด้วย แต่ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมากคนกลุ่มนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ตรงไหน

5 คนกลุ่มที่สองนี้ก็บริสุทธิ์ ดูดี มีความน่ารัก วันอาทิตย์ไปโบสถ์ด้วย เหมือน 5 คนกลุ่มแรกทุกอย่าง แต่ 5 คนกลุ่มที่สองนี้เขามีปัญญาด้วย

น้ำมัน คือ ภาพของการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า เขามีการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วย เขาเป็นคนที่มีการเตรียมการณ์ เตรียมความพร้อม เขาเป็นคนที่มองการณ์ไกล เขาทำสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด

Time Line หรือกาลอนาคตของพี่น้องเป็นเหมือน 5 คนกลุ่มที่สองนี้หรือไม่ ? ผมอยากเรียนกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า  

1.พี่น้องรับด้วยปากเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้านั้นยังไม่พอ 2.พี่น้องรักษาความเชื่อด้วยการประพฤติปฎิบัติตามพระวจนะของพระเจ้านั้นยังไม่พอ แต่พี่น้องยังต้องปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้าด้วยเพื่อที่พี่น้องจะมีกาลอนาคตที่มั่นคง และนี่คือ สัจจะ แปลว่า ความจริง

มก.13:32-32 “แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร”

พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนนะครับว่า วันคืนที่พระคริสต์เสด็จกลับมารับเราทั้งหลายนั้นไม่มีใครรู้นะครับ

ผมสมมตินะครับว่า ถ้าพระองค์เสด็จมารับเราคืนนี้น้ำมันในตะเกียงของเรานั้นมีมากพอหรือยังที่เราจะได้นั่งอยู่ใกล้ๆที่พระบาทของพระองค์ ถ้าน้ำมันในตะเกียงของพี่น้องยังไม่มากพอความมั่นคงในกาลอนาคตของพี่น้องในกาลที่จะนั่งใกล้ๆที่พระบาทของพระเยซูจะเป็นไปได้ไหมครับ ?

ดังนั้นให้สัจจะหรือความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1.ปลดปล่อยพี่น้องให้มีอิสระ เสรีภาพ ออกจากอดีตที่มันผูกมัดและเหนี่ยวรั้งพี่น้องอยู่

2.นำพี่น้องสู่การที่เราจะตระหนักว่า เราเป็นพระฉายของพระเจ้า เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเราเพียงฝ่ายเดียวแต่เราอยู่เพื่อผู้อื่นและเพื่อพระเจ้า

3.ทำให้เราตระหนักชีวิตแห่งกาลอนาคตที่เราจะต้องเตรียมน้ำมันแห่งความยินดีหรือบำเหน็จเอาไว้ในชีวิตของเราด้วย

 

Green City