ความจริงเกี่ยวกับความชื่นชมยินดี

คำเทศนาเรื่อง ความจริงเกี่ยวกับความชื่นชมยินดี

ยน.16:22 “ฉันใดก็ดีขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ความจริงเกี่ยวกับความชื่นชมยินดี”

พี่น้องที่รักครับ ในโลกใบนี้มีคำสอน ที่เขาใช้สอนมนุษย์นั้นมีอยู่เยอะแยะมากมาย Ex. เช่น โลกใบนี้สอนให้เรารักพ่อ รักแม่ รักตัวเองและรักคนที่เรารักและคำสอนของโลกนี้ก็จบลงที่ตรงนี้

แต่ในพระวจนะคำของพระเจ้าที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสอนเราทั้งหลาย ผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์มันมีเท่านี้ไหมครับ ? ที่สอนให้เรารักพ่อ รักแม่ รักตัวเองและรักคนที่เรารักและคำสอนของพระองค์จบลงที่ตรงนี้ไหมครับ ?

สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงสอนธรรมิกชนทั้งหลายผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้น พระองค์ไม่เพียงแต่สอนให้เรารักพ่อ รักแม่ รักตัวเองและรักคนที่เรารักเท่านั้น

แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนให้เราทั้งหลายนั้นรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง , รักหญิงม่ายและเด็กกำพร้า , พระองค์ทรงสอนให้เรารักและอวยพรศัตรู , รักคนที่เคี่ยวเข็ญหรือข่มเหงท่าน , รักคนที่ไม่น่ารักและอื่นๆอีกมากมาย และนี่คือคำสอนที่แตกต่างระหว่างคำสอนของโลกนี้กับคำสอนของพระเป็นเจ้า

เช่นเดียวกับคำสอนในเรื่องเกี่ยวกับ “ความชื่นชมยินดี” ที่โลกใบนี้สอนเราว่า ความชื่นชมยินดีนั้น มันจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ขอภาพตัวอย่างหน่อยครับ

คำสอนของโลกใบนี้ได้วางรากฐานให้เรามีความรู้สึกชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะเป็นความสำเร็จในด้านใดก็ตาม เหมือนดังภาพที่เราได้ชมร่วมกันไปเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งถ้ามันมีอะไรที่ผิดแปลก แตกต่าง ไปจากภาพที่เราเห็นร่วมกันไปเมื่อสักครู่นี้

คำสอนของโลกใบนี้สอนเราว่า นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เราควรที่จะชื่นชมยินดีกับมันหรือเราไม่สามารถที่จะชื่นชมยินดีกับมันได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า คำสอนของโลกใบนี้ มันทำให้เราสามารถที่จะหยุดความชื่นชมยินดีนั้นได้

ซึ่งตรงกันข้ามกับพระวจนะคำของพระเจ้าที่ทรงตรัสเอาไว้ใน ยน.16:22 ฉันใดก็ดีขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้

พี่น้องจะต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า ถ้อยคำนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับสาวกและสานุศิษย์ของพระองค์ว่า พูดอย่างง่ายๆแบบภาษาชาวบ้านนั่นก็คือว่า วันหนึ่ง ที่เราไม่ได้อยู่กับพวกท่านแล้ว พวกท่านจะทุกข์ โศกเศร้าและเสียใจเพราะท่านไม่เห็นเรา แต่เราจะเห็นท่านอีกและท่านก็จะเห็นเราอีกและเมื่อนั้นท่านก็จะมีความชื่นชมยินดี

คำถามคือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้ากำลังที่จะบอกหรือกำลังจะสื่อสารอะไรกับสาวกของพระองค์ครับ ? องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกำลังบอกหรือกำลังที่จะสื่อสารกับสาวกและสานุศิษย์ของพระองค์ว่า พระองค์นั้น “ทรงเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดี”

ดังนั้นถ้า 11 สาวกตลอดจนสานุศิษย์ของพระองค์ต่างเข้าใจความจริงที่ว่านี้ ว่าพระองค์นั้นทรงเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดี มันก็ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถหยุดความชื่นชมยินดีไปจากชีวิตของพวกท่านได้

คำถามคือว่า สาวกตลอดจนสานุศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูตรัสสอนในตอนนี้ไหมครับ ?

                ให้เราอ่านพระคำของพระเจ้าด้วยกันใน ยน.20:11 แต่ฝ่ายมารียยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์ 20:12 และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร และองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท
20:13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า
"หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม" เธอตอบทูตทั้งสองว่า "เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน" 20:14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู 20:15 พระเยซูตรัสถามเธอว่า "หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” เจ้าตามหาผู้ใด" มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์ว่า "นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป" 20:16 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "มารีย์เอ๋ย" มารีย์จึงหันมาและทูลพระองค์ว่า "รับโบนี" ซึ่งแปลว่า อาจารย์ 20:17 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย" 20:18 มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า เธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวกเว้นแต่โธมัส 20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้วเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า"สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" 20:20 ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็มีความยินดี 20:21 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาของเราทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"

20:22 ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด20:23 ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น" 20:24 แต่ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่า ดิดุมัส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา 20:25 สาวกอื่นๆจึงบอกโธมัสว่า "เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า "ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย" 20:26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูเสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" 20:27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า "จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย แต่จงเชื่อเถิด" 20:28 โธมัสทูลตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์"

20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข"

คำถามคือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า "หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” กี่ครั้งครับ ?

คำถามคือว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" กี่ครั้งครับ ?

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับโธทัสว่า โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้เห็นเราใช่ไหม ? ท่านจึงมีความชื่นชมยินดี ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นเราก็ได้ แต่ให้ท่านเชื่อในถ้อยคำของเรา ท่านก็สามารถที่จะมีความชื่นชมยินดีนี้ได้ เพราะเราทรงเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดี

ยน.20:11-29 ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า สาวกทั้ง 11 คนตลอดจนสานุศิษย์ของพระองค์นั้นต่างไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้เลย

ปลายข้อของ ยน.16:22 ตรัสเอาไว้ว่าอย่างไรนะครับ “ไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้” ยน.15:1 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรครับ ? “ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทที่นั้น 20 ทำให้เราทราบว่า สาวกและสานุศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้

1.สูญเสียความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ไป กล่าวคือ พวกเขาไปเข้าสนิทต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะเข้าสนิทกับพระองค์

2. หลงลืมอัตลักษณ์ของตนเองไป “อัตลักษณ์” ของผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าคืออะไรครับ ? คือการที่เรานั้นเป็นลูกของพระเจ้า , คือการที่เรานั้นถูกเรียกให้มานมัสการพระเจ้า , คือการที่เรานั้นมีชื่ออยู่ในหนังสือม้วนหรือในหนังสือแห่งชีวิต , คือการที่เรานั้นจะได้ไปอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม , ยน.15 บอกกับเราอย่างชัดเจนอีกประหนึ่งว่าว่า “อัตลักษณ์” ของผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าคือการที่เรานั้นจะต้องมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า

พี่น้องโปรดจำสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า ผู้เชื่อไม่ได้ถูกเรียกมาเพื่อให้รู้จักพระเจ้าหรือเดินกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนถูกเรียกมาเพื่อให้อยู่ในพระเจ้าด้วย

การอยู่ในพระเจ้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ในเวลานี้คือการอยู่ใน 1.พระธรรมคำสอนของพระองค์ 2.พระสัญญาของพระองค์ 3.ความเชื่อ อยู่ในความหวังใจของพระองค์

คำถามก็คือว่า วันนี้การเพ่งดูพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่น้องมากน้อยแค่ไหน

ถ้าการเพ่งดูพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่น้องอย่างแท้จริง พี่น้องก็จะเห็นถึงสิ่งของในโลกนี้ทั้งหมดมันจะค่อยๆเล็กลงและมันจะเล็กลงไปเรื่อยๆในที่สุดแต่พี่น้องจะเห็นถึงไม้กางเขนของพระองค์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

.เปาโล ได้พูดเอาไว้ใน ฟป.3:8 “ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทที่ 20 ทำให้เราทราบว่า สาวกและสานุศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้

3.หลงลืมบทเพลงแห่งการนมัสการสรรเสริญพระเจ้าไปชั่วขณะ และบทเพลงนั่นคือ บทเพลงที่มีชื่อว่า Immanuel

พี่น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อเปโตร เขายังอยู่ในการเข้าสนิทอยู่กับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขามีความชื่นชมยินดีไหมครับ ? มธ.26:33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "แม้คนทั้งปวงจะทิ้งพระองค์ ข้าพระองค์จะทิ้งก็หามิได้เลย"

แต่เมื่อทหารของโรม เริ่มเข้าจับกุมองค์พระเยซูคริสต์ซึ่งเริ่มตั้งแต่สวนเกทเสมนีไปจนถึงภูเขาโกละโกธานั้น เปโตรเขายังเข้าสนิทอยู่กับองค์พระเยซูคริสตืเจ้าหรือไม่ ? ใน 12 ชั่วโมงสุดท้าย เปโตรเขาไปเข้าสนิทกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เขาขาดความชื่นชมยินดีในพระเจ้าไหมครับ ?

มธ.26:69-75 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า "เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย"แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า "ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง"เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า "คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย"เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำปฏิญาณว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น"อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า "เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง"แล้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า "ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เปโตรเขาจึงปฏิเสธพระเยซูถึง 3 ครั้ง

แต่เมื่อเขาได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกครั้งหนึ่งเขามีความชื่นชมยินดีไหมครับ ? ให้เราดูใน ยน.21:15-19 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้หรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด" พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองอีกว่า "ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด" พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "ท่านรักเราหรือ" และเขาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิดสาวกจะต้องยอมตามพระเยซูไป เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่มท่านคาดเอวเอง และเดินไปไหนๆตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อท่านแก่แล้วท่านจะเหยียดมือของท่านออก และคนอื่นจะคาดเอวท่าน และพาท่านไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป" ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่า เปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยความตายอย่างไร ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า "จงตามเรามาเถิด"

เมื่อเปโตรเขาได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกครั้งหนึ่งเขามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก ยน.16 ปลายข้อที่ 22 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า และจะไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้”

แต่การพบกันในครั้งนี้มันมีสาระสำคัญอย่างหนึ่ง และสาระสำคัญที่ว่านี้คืออะไรครับ ? องค์พระเยซูคริสต์ทรงทำกิจพยากรณ์กับเปโตร

กิจพยากรณ์ แปลว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบอกถึงการตายของพระเยซูว่าอย่างไรครับ ? เมื่อท่านยังหนุ่มท่านคาดเอวเอง และเดินไปไหนๆตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อท่านแก่แล้วท่านจะเหยียดมือของท่านออก และคนอื่นจะคาดเอวท่าน และพาท่านไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป" "จงตามเรามาเถิด"

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทำกิจพยากรณ์กับเปโตร ? คำถามคือว่า เปโตรเขายังติดตามพระเยซูอยู่ไหม ?

ซึ่งนั่นหมายความว่า เปโตรเขามีความ

1.ชื่นชมยินดีต่อการเผยพระวจนะของพระองค์

2. พร้อมแล้วในการที่จะถูกข่มเหง

3.พร้อมแล้วกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะเวลานี้เปโตรรู้แล้วว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นใครและทรงเป็นผู้ใด

เราในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเองก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ ที่เราจะก็ต้องมีความชื่นชมยินดีในลักษณะแบบเดียวกันกับเปโตรด้วยเช่นเดียวกัน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่เราจะสรรเสริญ โมทนาหรือขอบคุณพระเจ้าแต่ในสิ่งนี้พี่น้องจะต้องมีความชื่นชมยินดี

พี่น้องเคยคิดบ้างไหมครับว่า ทำไม Missionnary หลายคนถึงพร้อมที่จะก้าวออกไปยังในประเทศที่ๆใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตน 1. เพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็น Missionnary คนแรกของโลก 2. เพราะเปโตรเป็นแบบอย่างชีวิตที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนอื่น 3.เพราะชีวิตของเปโตรเป็นตัวอักษรที่มีชีวิต ชีวิตของเปโตรจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนอื่น และนี่คือ “ความจริงเกี่ยวกับความชื่นชมยินดี” ในทางของพระเจ้า ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City