คำเทศนาเรื่อง ครอบครัวล่มสลาย
พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ผมต้องเรียนกับพี่ - น้องก่อนนะครับว่า นักเทศน์หลายคนสามารถที่จะย่อยคำเทศนานี้ออกมาได้เป็นหลายลักษณะด้วยกัน แล้วแต่ว่าใครต้องการที่จะเน้นตรงไหนอย่างไร โดยผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ลก. 15:11-32 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ลก.15:11-32 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 12 , 20 และ 28 ซึ่งผมจะเน้นหรือว่าผมจะจดจ่อไปที่ตัวของบุตรทั้ง 2 คนนี้ มากกว่าที่จะจดจ่อไปที่ตัวของผู้เป็นบิดานะครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่าครอบครัวล่มสลายให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับพระคำขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นคำอุปมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าครับครับพี่น้อง
เป็นคำอุปมา ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกล่าวถึงครอบครัวหนึ่ง ที่ครอบครัวของเขานั้นกำลังจะล่มสลาย
ถ้าพี่ - น้องได้อ่านคำเทศน์ คำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผ่านทางหนังสือพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 4 เล่ม
พี่ - น้องก็จะพบว่า มันเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ที่คำอุปมาต่างๆที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงเทศนาสั่งสอนเอาไว้เมื่อ 2000 กับ 13 ปีที่ผ่านมานั้น มักจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของมนุษย์เราในแต่ละยุค ในแต่ละสมัยเสมอ แตกต่างกันตรงที่เราจะนำคำเทศน์ คำสอนเชิงอุปมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น มาประยุกต์ใช้กับในยุคของเราหรือมาประยุกต์ใช้ในสมัยของเรานั้นอย่างไร
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 12 ให้ที่ประชุมอ่านด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ เราพบลูกพยศหรือลูกที่แสนจะดื้อ
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า บุตรชายคนเล็กนั้นมีความคิดที่ต้องการจะออกจากบ้าน เหตุและผลที่บุตรชายคนเล็กต้องการที่จะออกจากบ้าน นั่นเป็นเพราะบุตรชายคนเล็กนั้น อาจจะมีทัศนคติบางสิ่ง บางอย่างต่อคนในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะดีนัก
เป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่น้องคนเล็กอาจจะคิดว่าพี่ชายไม่ยอมรับน้องคนนี้ว่าเป็นน้องของตนก็เป็นได้ จึงเป็นเหตุทำให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้มันเข้ากันไม่ค่อยได้
เป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่บุตรชายคนเล็กอาจจะมีทัศนคติที่ว่าบิดานั้นรักพี่ชายมากกว่าตน
แล้วด้วยทัศนคติบางสิ่ง บางอย่างของบุตรชายคนเล็ก ที่มีต่อบุคคลคนในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะดีนั้น มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อคนครอบครัวด้วยเช่นกันว่าดีหรือไม่ดี ? ไม่ดีอย่างแน่นอน
ในโลกแห่งความเป็นจริงพี่ - น้องคิดว่ามีไหมครับ ที่บางครอบครัวนั้นพี่กับน้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ซึ่งสะท้อนให้เราเห็นถึงโอกาสที่จะมีความแตกหักกันได้ไหมครับ ? ได้ ตัวอย่างเช่น สกุล ธรรมวัฒนะ เป็นต้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกพี่ - น้องที่รัก ที่จะมีบางคนของครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่มีความคิดที่ว่า มันเป็นเหมือนอุบัติเหตุมากเสียกว่าที่เขาได้เกิดมาในครอบครัวนี้
ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องบุตรน้อยหลงหายนั้น เป็นคำเทศน์คำสอน ที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติและความสัมพันธ์ของคนภายในครอบครัวที่ไม่ค่อยดีต่อกัน
เมื่อทัศนคติ + กับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของบุตรชายคนเล็ก ที่มีต่อบิดาและพี่ชายของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่บุตรคนเล็กนั้น เขาจะออกอาการดื้อหรือพยศ พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 12 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเขาได้พูดกับบิดาของเขาว่า บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด
พี่ - น้องที่รัก แท้จริงแล้วคำว่า ดื้อ หรือ พยศ นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ขอให้เราได้เข้าใจตรงกันว่า การดื้อ นั้นเป็นขบวนการหนึ่งที่เด็กจะเติบโตขึ้น พอเด็กก้าวเข้าสู่การเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นหลายคนก็จะแสดงอาการดื้อหรือพยศนั้นออกมา
พี่ - น้องทราบไหมว่า ผมเคยเป็นเด็กมาก่อนและรวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ใน ณ.ที่นี้ด้วย เราผู้ซึ่งเป็นเด็กและเติบโตผ่านวัยนั้นมาแล้ว และบางคนก็เป็นพ่อแม่คนแล้ว เราก็เคยดื้อหรือพยศกับพ่อแม่ของเรามาก่อน
แต่พ่อแม่ของเราบางคนนั้นท่านใช้ได้ ท่านจึงทำให้คนอย่างพี่ - น้องและผมเป็นคนที่รับผิดชอบต่อครอบครัวและต่อสังคมได้
พ่อแม่ของเราบางคนนั้นท่านฉลาด ท่านจึงมีวิธีการที่จะจัดการกับคนอย่างเราทำให้คนอย่างเรานั้นสามารถที่จะผ่านพ้นวัยนั้นมาได้
พี่ - น้องที่รักครับ การที่บุตรคนเล็กได้เดินเข้าไปพูดคุยกับบิดาของเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า พ่อผมขอทรัพย์สมบัติหรือมรดกที่พ่อจะให้กับผมเดี๋ยวนี้เถิด เพราะผมเบื่อที่จะอยู่ที่นี่แล้ว , ผมอยากจะออกจากบ้านหลังนี้และผมอยากจะไปให้เร็วที่สุด , ผมไม่ต้องการให้ใครมาบังคับผมอีกต่อไป ผมจึงขอให้พ่อแบ่งมรดกในส่วนของผม
พี่ - น้องที่รักครับ คำพูดต่างๆเหล่านี้เป็นคำพูดที่แสดงออกให้เราได้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของลูกคนนี้ไหมครับ ? และปัจจุบันนี้พี่ - น้องคิดว่า ยังมีลูกแบบนี้อยู่อีกไหมครับในสังคมไทย ? มี
เราจึงเรียกคนยุคนี้ว่ายุค Me Genaration คือ มีตัวเอง หรือ คิดถึงแต่ตัวเอง
มีนักข่าว TV คนหนึ่งได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Rodman ซึ่งเป็นนักบาสเก็ตบอลเล่นลีกอาชีพอยู่สหรัฐอเมริกาว่า
Q : คุณเล่นแต่ละครั้งก็ได้รับเงินทองมหาศาล คุณจะเอาเงินไปใช้ทำอะไร ?
A : ผมจะเอาไว้ใช้เอง นี่คือทัศนคติของบุตรชายคนเล็ก
ซึ่งในปัจจุบันเราได้เรียกยุคนี้ใหม่ว่า ยุคตัวใครตัวมัน เพราะคนในปัจจุบันนี้ทำไมครับ ? ไอ้นี่ก็ของๆฉัน ไอ้นู่นก็ของฉัน อนาคตก็อนาคตของฉัน ใครอย่ามายุ่ง ฉันจะเอาของฉันอย่างนี้แหละใครจะทำไมจริงหรือไม่จริงครับ ?
พี่ - น้องที่รักครับ คนที่ขอสมบัติทั้งๆที่เจ้าของเขายังไม่ตายนั้น มันเป็นเรื่องที่แปลก มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และมันเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมาก ในคำอุปมาของพระเยซูตอนนี้ ทำให้เราทราบว่าผู้เป็นพ่อนั้นคงจะลำบากใจมาก เพราะถ้าเขาให้สมบัติแก่ลูกไป เขาก็จะถูกมองว่าเขาเลี้ยงลูกตามใจ ถ้าให้คนเล็กไม่ให้ลูกคนโต ลูกคนโตก็อาจจะจะมีปัญหาได้
พระคำของพระเจ้าจึงได้บอกอย่างชัดเจนว่า ดังนั้นบิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้กับบุตรทั้งสอง จะว่าไปแล้วการแบ่งทรัพย์สมบัติให้กับบุตรทั้ง 2 คนในลักษณะอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าผู้เป็นบิดานั้น ไม่มีทางเลือกหรือไม่มีทางออกเท่าไหร่นัก
เมื่อบุตรคนเล็กได้รับเงินทั้งหมดของตนไปแล้ว พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า เขาได้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า ลาไปไหน ? เขาลาไปผลาญทรัพย์และผลาญชีวิตบางส่วนของเขาโดยการเสเพล ณ.ถิ่นแดนไกล
คำถามก็คือว่า ทำไมเด็กวัยรุ่นถึงชอบที่จะทำอย่างนั้นนั้น
คำตอบก็คือว่า เพราะเขาอยากจะมีชีวิตที่อิสระจากพ่อจากแม่
Q : คือว่าแล้วทำไมผู้เชื่อหรือคริสเตียนชอบที่จะทำอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน
A : เพราะเราอยากจะมีชีวิตที่อิสระจากพ่อในฝ่ายวิญญาณ
พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ใช่มีเพียงวัยรุ่นเท่านั้นนะครับ ที่เขาอยากจะมีชีวิตที่อิสระในแง่ที่ว่าอยากจะทำอะไรตามใจตนเองหรือไม่อยากขึ้นอะไรกับใคร
พี่ - น้องฟังให้ดีๆนะครับ ไม่ใช่มีเพียงวัยรุ่นเท่านั้นที่ไม่อยากฟังพ่อฟังแม่ หรือไม่อยากจะฟังใคร และหรือไม่อยากอยู่ใต้ใคร แต่มีผู้ใหญ่จำนวนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวในโลกใบนี้ ที่ชอบที่จะมีชีวิตที่อิสระ ไม่อยากที่จะอยู่ภายใต้ใครแม้กระทั่งศีลธรรมอันดี นี่เป็นรากเหง้าของความบาปที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สวนเอเดน
น่าเสียดายตรงที่ว่า หลายคนมาเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว หลายคนยังนำนิสัยเดิมนี้มาด้วย คือ ชอบที่จะอิสระ ไม่อยากอยู่ภายใต้
1 ) ธรรมบัญญัติของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อ 2 ) คริสตจักร 3 ) พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ ผู้เชื่อหลายคนจึงเป็น Free Christian คือ ทำอย่างที่อยากจะทำ เดินกับพระเจ้าอย่างที่อยากจะเดิน
ผมอยากจะบอกกับน้องๆที่เป็นวัยรุ่นและพี่ - น้องในคริสตจักรฯ ในเช้าวันนี้ว่า ความอิสระที่วัยรุ่นหรือที่มนุษย์นั้นต้องการ แม้ว่าจะมาเป็นผู้เชื่อแล้วก็ตามมันมักจะนำเราไปสู่การเป็นทาสในบางสิ่งเสมอ เช่น
วัยรุ่นไม่อยากให้พ่อแม่คอยคุม แต่เขาก็ไปเจอ 1) เหล้า บุหรี่คุม 2 ) เพื่อนวัยรุ่นบางคนคุม ถ้าเป็นผู้ชายส่วนมากเพื่อนจึงพาเขาไปเจอยาเสพติด ถ้าเป็นผู้หญิงส่วนมากเพื่อนจึงพาเขาไปเสียตัวและเสียคน เป็นต้น
ผู้ใหญ่บางคนบอกกับผมว่า ชีวิตเป็นของผม ผมจึงมีอิสระ ผมจะใช้มันอย่างที่ผมพอใจหรือผมจะใช้มันอย่างไรก็ได้
แต่ผมอยากจะบอกกับเขาว่า ชีวิตของคุณไม่ใช่ของคุณเอง คุณอาจจะผลิตบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ แต่คุณผลิตชีวิตของคุณขึ้นมาไม่ได้
ดังนั้นคุณไม่ได้สร้างชีวิตนั้นขึ้นมา แต่พระเจ้าทรงสร้างชีวิตของคุณขึ้นมา และพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่ชีวิตของเรา ดังนั้นเราจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายและจิตวิญญาณของตนต่อพระเจ้า
พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 14 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อเขาได้ผลาญชีวิต ผลาญเวลา ผลาญโอกาส ผลาญทรัพย์สมบัติ ผลาญคุณค่าความสามารถ ผลาญทั้งหมดไม่มีอะไรจะให้ผลาญแล้ว ชีวิตของเขาเป็นอย่างไรครับ ? ชีวิตของบุตรคนเล็กที่มีทัศนคติ ที่มีความเห็นแก่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเขาจึงลำบากมาก
โดยความรักของพระเจ้า ในเช้าวันนี้ผมอยากจะบอกกับน้องๆที่เป็นวัยรุ่นและอยากจะบอกกับพี่ - น้องทุกคนคริสตจักรว่า โลกข้างนอกดูเหมือนน่าอภิรมย์ โลกข้างนอกดูเหมือนมันน่าจะมีอะไรดีๆให้กับเรา แต่ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย
พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ และพี่ - น้องอย่าไปบอกใคร และสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า โลกภายนอกมันอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างล่อใจพี่ - น้องและผมอยู่ แต่โลกภายนอกที่มองผ่านสายตาของพระเจ้านั้น มันไม่สามารถที่จะให้คุณค่าที่ถาวรนิรันดรกาลแก่เราได้
ดังนั้นถ้าพี่ - น้องมีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน ว่าอย่าให้ลูกหลานของพี่ - น้องนั้น เสาะแสวงหาความน่าอภิรมย์ทางวัตถุจากโลกนี้ต่อไป แต่ปลูกฝังค่านิยมอันสูงส่งตามหลักแห่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้กับเขาและนั่นคือ สิ่งเดียวที่พ่อแม่ที่ดี ควรกระทำต่อบุตรของตน
แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน ในฝ่ายจิตวิญญาณแล้วท่านอย่าได้ปล่อยเขา แต่ให้ท่านได้อธิษฐานเผื่อเขาอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางทีชีวิตของคนบางคน มันอาจจะต้องปล่อยให้เดินทางมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต มันถึงจะคิดอะไรกันออก เหมือนกับบุตรน้อยหลงหายคนนี้ ที่ชีวิตของเขาเดินมาถึงจุดที่จะต้องขโมยข้าวหมูกินเขาถึงจะคิดได้
ในข้อที่ 17 aพระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เขาจึงคิดขึ้นมาได้ และถ้าพี่ - น้องได้อ่านต่อไป พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เขาจึงพูดกับตัวเองว่า บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย จำเราจะต้องกลับไปหาบิดาของเราดีกว่า
พี่ - น้องเห็นไหมครับว่า มนุษย์พันธุ์ที่พิเศษบางคนอย่างเช่นผม เป็นต้น กว่าที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรืออะไรเป็นเผือกอะไรเป็นมัน ชีวิตมันจะต้องมาถึงจุดนี้มันถึงจะคิดได้คิดเป็น
ผมเคยมีทั้งบ้าน ทั้งรถ ทั้งผู้หญิง มีทั้งบัตรเครดิตซึ่งมีสูงถึง 6 ใบ เคยใช้เงินแบบอยากใช้ก็ใช้ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก แต่เมื่อพอมาถึงจุดที่ผมไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จึงทำให้รู้ว่าเราไม่ควรที่มีชีวิตแบบนั้นเลย
เพราะฉะนั้น มนุษย์พันธุ์ที่พิเศษบางคนอย่างเช่นผม เป็นต้น กว่าที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร หรืออะไรเป็นเผือกอะไรเป็นมัน ชีวิตมันจะต้องมาถึงจุดนี้มันถึงจะคิดได้คิดเป็น
สิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้อง ในเช้าวันนี้ผ่านทางชีวิตของบุตรคนเล็กของครอบครัวนี้ก็คือว่าบางครั้งผู้เชื่อบางคนก็มีชีวิตที่ไม่แตกต่างอะไรจากบุตรน้อยหลงหายคนนี้ ที่ผู้เชื่อบางคนมีจิตใจที่ดื้อดึงต่อการทรงเรียกของพระเจ้า บางคนมีใจพยศต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า ในโลกใบนี้มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ได้ผลาญเวลา ผลาญคุณค่าความสามารถ หรือผลาญของประทาน ที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับเขาไปกับค่านิยมของโลกอย่างไม่มีเยื่อใย
และถ้าพี่ - น้องคิดว่า พี่ - น้องเป็นคนนั้นที่ได้ปล่อยเวลาไปวันๆกับฝ่ายเนื้อหนังของตน หรือปล่อยตัวไปวันๆกับฝ่ายโลกหรือความต้องการของตนเอง
พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ได้หนุนใจให้พี่ - น้องให้กับมาพิจารณาถึงท่าทีเดียวกันกับบุตรน้อยคนนี้ ในข้อที่ 18 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เราจะกลับไปหาบิดาของเรา ซึ่งหมายถึง ให้พี่ - น้องได้กลับใจใหม่ต่อการที่พี่ - น้องได้ปล่อยปละละเลยโอกาสตะลันต์หรือของประทานและหรือพลังงานที่พระเจ้าได้ทรงมอบเอาไว้ให้กับเรา
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 20 b พระของพระเจ้าตรัสว่า แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร ท่านจึงวิ่งมาหาบุตรชาย สวมกอดและจูบเขา
ประการที่ 2 เราพบคุณพ่อที่ประเสริฐ
พี่ - น้องที่รักครับ พ่อคนนี้ ถ้าเราพูดถึงในมิติของฝ่ายวิญญาณแล้ว พ่อคนนี้คือ ภาพของพระบิดาในสวรรค์พ่อคนนี้รอคอยการกลับมาของบุตรคนเล็กมากกว่าใครๆ พ่อคนนี้เฝ้ารอการกลับมาของบุตรชายคนเล็กทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นเขาตั้งแต่อยู่แต่ไกลพ่อทำไมครับ ? พ่อสงสารลูก
เป็นลูกคนเดียวกันกับที่พูดว่า พ่อผมขอทรัพย์สมบัติที่พ่อจะแบ่งให้กับผมตั้งแต่บัดนี้เถิด เพราะผมเบื่อที่จะอยู่ที่นี่แล้ว ใช่ไหมครับ ?
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นเขาตั้งแต่อยู่ไกลพ่อจึงวิ่งออกไปหา เมื่อพบแล้วพ่อได้เอาไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ศีรษะของลูกหรือเปล่าครับ
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าพ่อจูบและสวมกอดเขาซึ่งเป็นภาพที่แสดงออกถึงรักความห่วงใยของต่อบุตรคนนี้ พ่อต้อนรับการกลับมาของบุตรน้อยคนนี้เหมือนดั่งวีรบุรุษ
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พ่อได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับเขา พ่อได้เอาแหวน เอาเสื้อ เอารองเท้า เอาวัวมาเลี้ยงผู้คน อีกทั้งเอาดนตรีมาเป่า
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า สมมติว่าถ้าพ่อฝ่ายโลกยังอดทนและให้อภัยกับลูกในฝ่ายโลกได้ถึงเพียงนี้ มากสักเท่าไหร่เล่าที่พระบิดาในสวรรค์จะทรงโปรดอดทน , ยกโทษและสำแดงความรักกับเรามากขนาดไหน
พระคำของพระเจ้าในตอนนี้นักเทศน์โดยส่วนมากมักจะเน้นที่คนบาปคนหนึ่งที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าและได้กลับใจใหม่มาเชื่อในพระเจ้า
แต่สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ ผ่านทางชีวิตของผู้เป็นบิดาของครอบครัวนี้ นั่นก็คือว่า พระเจ้าจะทรงปลื้มพระทัยเป็นอย่างมาก ที่ผู้เชื่อบางคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ แต่เขาอาจจะมีจิตใจที่ดื้อดึง , พยศ , กบฏอีกทั้งไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า
แต่ในเช้าวันนี้ เขาต้องการที่จะเป็นลูกที่ดีของพระเจ้า เป็นลูกที่ไม่ดื้อหรือเป็นลูกที่ไม่พยศต่อพระเจ้าและถ้าพี่ - น้องเป็นคนนั้น พี่ - น้องก็กำลังอยู่บนเส้นทางเดียวกับบุตรน้อยหลงหายคนนี้ซึ่งนั่นนับว่าเป็นข่าวดีของท่าน เหตุเพราะ นั่นเป็นพระกิตติคุณของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ที่มาถึงท่านอย่างเฉพาะเจาะจงในเช้าวันนี้
ซึ่งนั่นก็คือ พระเจ้ากำลังวิ่งมาพี่ - น้องคนนั้นเป็นการส่วนตัวในเช้าวันนี้ และพระองค์ได้พบท่านแล้ว ที่สำคัญเวลานี้พระองค์ได้หยุดและได้ยืนอยู่ในที่ๆพี่ - น้องนั่งอยู่ และในฝ่ายจิตวิญญาณพระองค์กำลังจุบพี่ - น้องอยู่ในเวลานี้และพระองค์กำลังจะสวมกอดท่าน
และในเช้าวันนี้ ถ้าท่านต้องการที่จะเป็นลูกที่ไม่ดื้อและไม่พยศ หรือต้องการที่จะเป็นลูกที่ดีของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ให้ท่านได้ใช้เวลาสักครู่หนึ่งอธิษฐานตามผมเป็นการส่วนตัวดังนี้ว่า พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้กับลูกสำหรับความดื้อ ความพยศในอดีตที่ผ่านมา ในเวลานี้ขอพระองค์ทรงรับลูกกลับบ้านด้วย ขอพระเจ้าช่วยทำให้ลูกเป็นลูกของพระองค์ ทำสิ่งใหม่ในข้าพระองค์ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 25 - 30 เราพบพี่ชายที่ดีแต่ใจหิน
ในเบื้องต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า พี่ชายของบุตรน้อยหลงหายคนนี้ เขาเป็นคนที่ทำงานหนัก เขาเป็นคนที่รับผิดชอบต่องานของบิดาและของครอบครัวเป็นอย่างดี
และด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ จึงทำให้เขาคิดว่า เขาเองนั้นเป็นคนที่ดีกว่าน้องชายของตน ซึ่งนั่นเป็นทัศนคติลบ ที่พี่ชายนั้นมีต่อน้องชายของเขา
ยิ่งถ้าพี่ - น้องได้ดูคำพูดที่พี่ชายของเขาพูดในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษ พี่ - น้องก็จะพบว่าพี่ชายของเขานั้นใช้คำว่า I , Me , My ซึ่งนั่นเป็นการยืนยันว่าเขาดีกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เขาจะเป็นคนที่ชอบตำหนิผู้อื่น
มีคำกล่าวว่าความหยิ่งของคนล่อคนให้หลงได้ หมายความว่า มันทำให้เราเห็นว่า ตัวเราเองนั้นใหญ่โตมาก แต่คนอื่นนั้นเป็นเพียงแค่คนเล็กน้อยเท่านั้น
ในข้อที่ 25 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อพี่ชายคนโตเขากลับมาถึงบ้าน เขาได้ยินเสียงดีดสี ตีป่าว เขาได้ยินเสียงที่ทุกคนต่างยินดีปรีดา เขาจึงถามคนใช้คนหนึ่งว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ในข้อที่ 27 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อเขาทราบว่าน้องชายกลับมา อีกทั้งผู้เป็นบิดาได้จัดเลี้ยงฉลองให้ต่อการกลับมาของเขา1 ) ข้างในลึกๆของเขานั้นมันฟ้องว่ามันไม่ยุติธรรมเลยนี่หว่าที่พ่อทำอย่างนี้
2 ) ข้างในลึกๆของเขานั้นมันเจ็บปวดรวดร้าว เขาเจ็บปวดรวดร้าวในขณะที่ทุกคนกำลังฉลองกันอย่างสนุกสนาน
3 ) ข้างในลึกๆของเขานั้นคิดว่ามันผลาญเงินที่พ่อได้แบ่งให้เสียหมดเกลี้ยง แถมเมื่อมันกลับบ้านมา มันยังได้รับการต้อนรับอย่างกษัตริย์ มันไม่แฟร์เลยนี่หว่า เราสิ เราสิ ที่อุตสาห์อยู่บ้านมาตั้งนานหลายปี ทำงานอย่างสัตย์ซื่อให้กับพ่อ เราควรที่จะได้รับการต้อนรับไม่ใช่มัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากผู้เชื่อบางคนที่คิดว่า ทำดีต้องได้ดีแต่พอเขาเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเรา แล้วเขาตั้งคำถามว่า ทำดีแล้วคนอื่นกับได้ดีกว่าแล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน
และด้วยเหตุผลนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ ที่ทำให้พี่ชายคนโตนั้นโกรธและไม่ยอมเข้าบ้านแม้ว่าผู้เป็นบิดาจะออกมาขอร้องเขาแล้วก็ตาม
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราอ่านพระคำของพระเจ้าตอนนี้ดูแบบผิวเผิน เราก็จะพบว่าพี่ชายคนโตนั้นน่าจะเป็นคนที่ชอบธรรม เหตุเพราะเขาเป็นคนที่ทำงานเสร็จแล้วเขากลับบ้าน เขาเป็นคนที่รับผิดชอบต่องาน เขาเป็นคนที่บิดาให้ความไว้วางใจ
แต่ถ้าเราดูแบบลึกๆแล้ว เขาสอบผ่านไหม ? เขาสอบไม่ผ่านเพราะ
คำพูดที่เขาได้พูดกับบิดาของเขาในข้อที่ 29 นั้น เสมือนหนึ่งว่า
1)คนนี้คือลูกของคุณแต่มันไม่ใช่น้องของผม
2)ต้องการที่จะให้ผู้เป็นบิดาของเขานั้น ผลักไล่ไสส่งน้องเขาให้ออกจากบ้านไป
คริสตจักรบางที่ บางแห่งไม่ยอมรับบุตรน้อยหลงหายเข้าโบสถ์ เพราะกลัวว่าบุตรน้อยคนนั้นจะมาทำเป็นบุตรใหญ่ เข้ามาจะมาทำให้โบสถ์มีปัญหาทั้งๆที่โบสถ์ก็เป็นบ้านของพระเจ้า
ฝ่ายปฏิคมหรือฝ่ายต้อนรับของคริสตจักรในบางที่บางแห่ง เมื่อพบว่าบุตรน้อยหลงหายกลับมาที่คริสตจักร ปากก็พูดว่าสวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ คริสตจักรยินดีต้อนรับแต่หน้าของเขาทำแบบปุเลี่ยนๆ
พี่ - น้องคิดว่าพระเจ้าคิดอย่างไรครับ ถ้าคนที่ผิดพลาดหรือหลงไปจากทางของพระเจ้าแล้วกลับมา แล้วเราทำหน้าปุเลี่ยนๆใส่เขา ?
ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่าพระเจ้าคงเสียพระทัยมากในตัวของบุตรน้อยที่หลงหายไปและพระเจ้าก็คงจะเสียพระทัยในตัวของพี่ชายที่ทำหน้าปุเลี่ยนๆใส่เขาด้วยเช่นกัน
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่กลท.6:1 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายแม้จะจับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ในฝ่ายวิญญาณจงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเองเกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
ถ้าเราอ่านพระคำของพระเจ้าตอนนี้ดูแบบผิวเผิน เราก็จะพบว่าพี่ชายคนโตนั้นน่าจะเป็นคนที่ชอบธรรม เหตุเพราะเขาเป็นคนที่ทำงานเสร็จแล้วเขากลับบ้าน เขาเป็นคนที่รับผิดชอบต่องาน เขาเป็นคนที่บิดาให้ความไว้วางใจ แต่ถ้าเราดูแบบลึกๆแล้วเขาสอบผ่านไหม ? เขาสอบไม่ผ่านเพราะ
ให้เราดูในข้อที่ 30 ด้วยกัน พี่ชายคนนี้ใส่สีตีไข่ว่าน้องของเขานั้นผลาญเงินหมดไปกับหญิงโสเภณี
พี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าน้องชายคนเล็กนั้นผลาญเงิน แต่พระคำของพระเจ้าไม่ได้บอกกับเราว่า เขาได้เอาเงินนั้นไปผลาญแบบไหน , อย่างไรจริงหรือไม่ครับ ? และด้วยการที่พี่ชายเป็นคนที่มีทัศนคติลบ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ที่คิดว่าตัวของเขาเองนั้นเป็นคนที่ดีกว่าน้องชายของเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
1)มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะตำหนิว่าคนอื่นผิดเขาถูก
2)มันจึงเป็นเรื่องง่าย ที่เขาจะแสดงปฏิกิริยาต่อความผิดพลาดของคนๆนั้นเสียใหญ่โตเกินเหตุ
พี่ชายคนโตกล่าวโทษต่อน้องชายคนเล็กเกินความเป็นจริง เขาเพิ่มความไม่ดีให้กับน้องชายคนเล็กเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นคนบาป แต่น่าเสียดายตรงที่มีผู้เชื่อหรือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รัก ที่มีนิสัยนี้ร่วมไปกับเขาด้วย
ให้เราดูในข้อที่ 31-32 ด้วยกัน ผู้เป็นบิดาได้พยายามที่จะช่วยแก้ไขคำพูดของพี่ชายคนโตใหม่ว่า ลูกเอ๋ยน้องชายของเจ้านั้นได้ตายไปแล้วแต่ได้เป็นขึ้นใหม่
พี่ - น้องอยากทราบไหมครับว่าบุตรชายคนโตพูดกับผู้เป็นบิดาของตนว่าอย่างไร เขาพูดว่า พ่ออยากจะเลี้ยงรับมันก็รับไปเหอะแต่ผมไม่เอาด้วยกับพ่อหรอก
พี่ - น้องที่รักครับ เวลาเราจะตำหนิบาปในตัวใคร เราเองก็ควรที่จะเปิดรับคนๆนั้นด้วย อย่าตำหนิบาปในตัวเขาและปิดรับตัวเขาไปด้วย เพราะพระเยซูไม่ได้ทำอย่างนั้น
พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า แรกเริ่มเดิมที่พี่ชายคนโตมีทัศนคติที่ว่าตนเองนั้นชอบธรรมกว่าน้องของตนซึ่งเป็นทัศนคติที่ผิด แต่ในเวลานี้เขามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้เป็นบิดาของเขาเพิ่มเข้าไปด้วย เขามองว่าผู้เป็นบิดานั้นไม่มีหลักการอะไรเลย
ซึ่งแท้จริงแล้วผู้เป็นบิดาของเขานั้นมีหลักการไหมครับ ? คำตอบ มี
มีการกล่าวกันว่า ในโลกใบนี้นั้นมีหลักใหญ่ๆอยู่เพียงแค่ 3 ประการเท่านั้นนั่นคือ หลักเกณฑ์ หลักการและหลักกู
คำถามก็คือว่า คุณพ่อของครอบครัวนี้ เขาใช้หลักอะไรในการนำครอบครัวครับพี่ - น้อง ? หลักการให้อภัย ซึ่งสะท้อนออกมาให้เราเห็นและสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและเห็นใจต่อผู้ที่กระทำความผิด
ส่วนบุตรชายคนโตเขาใช้หลักอะไรครับ ? หลักกู
สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ไม่ใช่คนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า หรือคนที่หลงหายและหรือคนที่ทำผิดพลาดไปเท่านั้นที่จะต้องกลับใจใหม่
แท้ที่จริงแล้วคนที่ตัวเองคิดว่า ชอบธรรมหรือดีกว่าคนอื่นอย่างพี่ชายคนโตนั้นก็จะต้องกลับใจใหม่ด้วย รวมทั้งผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคนก็เป็นแบบพี่ชายคนโตคนนี้แหละ
พระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ใน 1 คร.10:12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้วก็จงระวังให้ดีกลัวว่าจะล้มลง
และผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ.18:3 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.18:3 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า พระเจ้านั้นทรงทราบดีว่า มนุษย์อย่างเรานั้นไม่สามารถที่จะไปถึงมาตรฐานของพระองค์ได้ ถึงแม้ว่าเราจะต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังผิดพลาดได้
มธ.18:3 ทำให้เราทราบว่านี่คือพระกรุณา หรือเป็นพระคุณอันซ้อนพระคุณของพระเจ้า ที่ให้โอกาสกับเราในทุกๆครั้งเสมอ ที่เราผิดพลาดกับพระเจ้า
ดังนั้นเมื่อพี่ - น้องและผมผิดพลาด และเมื่อพี่ - น้องและผม เกิดนึกขึ้นมาได้เหมือนกับบุตรน้อยหลงหายคนนี้ และเมื่อพี่ - น้องและผมสารภาพสิ่งนั้นกับพระเจ้า ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า พี่ - น้องและผมจะได้พบกับพระเจ้า
ดังนั้นเมื่อพี่ - น้องและผมผิดพลาดและเมื่อพี่ - น้องและผม ค้นพบถึงความผิดพลาดของตนเองได้เมื่อไหร่ และเมื่อพี่ - น้องได้สารภาพสิ่งนั้นกับพระเจ้า พี่ - น้องและผมจะได้รับการต้อนรับกลับบ้านในทุกๆครั้งเสมอ
E. Stanley Jones กล่าวว่า พี่ - น้องและผมมักจะถูกสอนว่า พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อให้มีการสามัคคีธรรมกับพระผู้สร้าง ซึ่งนั่นเป็นความจริงและเป็นสิ่งที่ถูกต้องและพี่ - น้องเข้าใจไม่ผิด แต่ลึกลงไปกว่านั้นนั่นก็คือ ผู้เชื่อทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ให้กลับใจใหม่กับพระเจ้าในทุกๆวันด้วยเช่นกัน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน