คำเทศนาเรื่อง ครอบครัวเป็นสุข
พี่น้องทราบไหมครับว่า วันที่ 13 เมษายน นอกจากจะเป็นวันสงกรานต์แล้ว วันที่ 13 เมษายน ยังเป็นผู้สูงอายุอีกด้วยนอกจากวันที่ 13 เมษายน จะเป็นวันสงกรานต์และเป็นวันผู้สูงอายุแล้ว พี่น้องทราบไหมครับว่า วันที่ 14 เมษายน จะยังเป็นวันอะไรด้วย ? วันครอบครัว ซึ่งพระคำของพระเจ้าให้ความสำคัญกับในเรื่องนี้ด้วยไหมครับ ? สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนาเอาไว้ ดังนั้นในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก มธ.19:1-12 ให้เราอ่านอย่างช้าๆและพร้อมๆกัน
1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลี เข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น 2 ฝูงชนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป แล้วพระองค์ทรงรักษาโรคของเขาให้หายที่นั่น 3 พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์ทูลถามว่า "ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม เป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญัติหรือไม่" 4 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม `ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง'5 และตรัสว่า `เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา จะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน' 6 เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย" 7 เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า "ถ้าอย่างนั้นทำไมโมเสสได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้" 8 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมมิได้เป็นอย่างนั้น 9 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่างๆ เว้นแต่เป็นชู้กับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยาก็ผิดประเวณีด้วย" 10 พวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ถ้ากรณีของฝ่ายชายต้องเป็นเช่นนั้นกับภรรยาของเขา การสมรสก็ไม่ดีเลย" 11 พระองค์ทรงตอบเขาว่า "มิใช่ทุกคนจะรับประพฤติตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่ทรงให้ประพฤติได้ 12 ด้วยว่าผู้ที่เป็นขันทีตั้งแต่กำเนิดจากครรภ์มารดาก็มี ผู้ที่มนุษย์กระทำให้เป็นขันทีก็มี ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด"และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ครอบครัวเป็นสุข
คนโบราณกาลก่อนสอนคนหนุ่มคนสาวเอาไว้อย่างนี้ครับว่า “ผู้ชายจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงเท่านั้น ส่วนผู้หญิงก็จะต้องแต่งงานกับผู้ชายเท่านั้น” พี่น้องฟังแล้วงงไหมครับ ?
ซึ่งสมัยก่อนในประเทศไทยของเรามีแต่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้น Gay กระเทย เลสเบี้ยน ก็ไม่มี พวกแปลงเพศยิ่งไม่มีใหญ่คำถามก็คือว่า แล้วแกจะมาพูดมาสอนทำไม
แต่คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ ผู้ชายต้องแต่งกับผู้หญิงเท่านั้น หมายความว่า “ต้องเป็นผู้หญิงที่มีกิริยามารยาทอ่อนหวาน เป็นแม่ศรีเรือน” ส่วนคำว่า “ผู้หญิงต้องแต่งกับผู้ชายเท่านั้น” หมายความว่า ผู้ชายที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้นำมีความเข้มแข็งและปกป้องเราได้
พระคำของพระเจ้าใน มธ.19 :1-12 ที่พวกเราได้อ่านร่วมกัน ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตอบคำถามของพวกฟาริสีซึ่งเปรียบเสมือนกับพระชั้นผู้ใหญ่ของศาสนายิวในเวลานั้น ซึ่งพวกฟาริสีถือได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจทางสังคมและทางศาสนาเป็นอย่างมาก
ซึ่งคำตอบที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตอบพวกฟาริสีนั้นได้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญ 4 ประการด้วยกัน
ประการที่ 1 อยู่ใน มธ.19:4 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม `ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง' ซึ่งพระคำของพระเจ้าในข้อนี้มีความคล้ายคลึงกับพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1:27 ไหมครับ ? ให้เราดูจาก ปฐก.1:27 ด้วยกัน
“ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง”
เมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้างอาดำ-เอวาขึ้นมา พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนอาดำ-เอวาไหมครับ ? เมื่ออาดำ-เอวาล้มลงในความบาปหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน คาอินกับอาแบลควรจะเป็นของใครครับ ?
แต่ทั้ง 2 คนกับไม่ได้ทำหน้าที่ของตน โดยเฉพาะการอบรมสั่งสอนลูกของตนในเรื่อง 1.ฝ่ายจิตวิญญาณ 2.ศีลธรรม-จริยธรรม จึงเป็นเหตุทำให้คาอินคาฆ่าน้องของตน
ซึ่งเรื่องนี้พี่น้องคิดว่าเราตำหนิคาอินคนเดียวได้ไหมครับ ? ต้องตำหนิคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ด้วย ทุกวันนี้ที่สังคมไทยเละเทะ เพราะครอบครัวเละเทะ และคนที่ครอบครัวเละเทะจะให้มาเป็นผู้นำร่วมปกครองคริสตจกรได้ไหมครับ ?
1 ทมธ.3:4 “ต้องเป็นคนครอบครองบ้านเรือนของตนได้ดี บังคับบัญชาบุตรทั้งหลายของตนด้วยความสง่าผ่าเผยทุกอย่าง”
พระคำของพระเจ้าใน 1 ทมธ.3:4 ได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าผู้ใดปกครองครัวเรือนของตัวเองยังปกครองไม่ได้เลยก็ไม่สามารถที่จะมาปกครองคริสตจักรได้
ทุกวันนี้ที่สังคมไทยเละเทะ เพราะครอบครัวเละเทะเพราะพ่อแม่หลายคนในเวลานี้ 1.สนใจแต่เรื่องปากเรื่องท้อง 2.สนใจแต่เรื่องการทำมาหากิน 3.กังวลว่าลูกน่าจะไปเรียนที่ไหนแล้วลูกถึงเรียนจะเก่ง แต่ในทางของพระเจ้าสอนเราว่าอย่างไรครับ ?
สภษ.22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบโตแล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พ่อแม่ควรจะสอนเขาโดยเฉพาะ 1.ในทางของพระเจ้า 2.ฝ่ายจิตวิญญาณ 3.การมีชีวิตที่ชอบธรรม 4.ในเรื่องศีลธรรม-จริยธรรม
พระคำของเจ้าตรัสว่า เมื่อเขาเติบโตแล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น ถ้อยคำนี้เปรียบได้กับ 1.การที่เขาจะมีชีวิตที่สะท้อนถึงพระฉายาของพระเจ้า 2. วิธีคิด วิถีคริสต มันจะติดตามตัวเขาไป3.ทรัพย์สินที่มันจะติดตามตัวเขาไปถ้าเขาดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้า
ดังนั้นเด็กผู้ชายจะต้องถูกสร้างจากพ่อแม่ เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาจะเป็นสามีและเป็นพ่อที่ดีในอนาคตครอบครัวเขาก็จะมีความสุข
ดังนั้นเด็กผู้หญิงจะต้องถูกสร้างจากพ่อแม่เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาจะเป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดีในอนาคตครอบครัวเขาก็จะมีความสุข
พี่น้องที่รักครับ เด็กคนหนึ่งจะสามารถเติบโตได้อย่างงดงามและเข้มแข็งได้อย่างแน่นอนถ้าเขาได้รับการสอนและได้รับการสร้างไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม
พ่อแม่คนไทยส่วนมากชอบเอาแต่บ่นว่า สอนลูกอย่างจริงๆจังๆมีไม่มาก สร้างลูกอย่างจริงๆจังมีไม่มาก ผมเคยคุยกับพ่อแม่บางคนว่า ทำไมไม่เอาลูกไปเรียนที่นั่นล่ะ เขาตอบผมว่าเก็บเอาค่าเทอมตอนนี้ไปจ่ายค่าเทอมให้มันตอนเรียนมัธยมดีกว่า
ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาคิดว่าลูกเขานั้นยังเด็กอยู่ ค่อยสร้างตอนที่เขาโตดีกว่า ผมจึงตอบเขาไปว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” บางที่มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้
ดังนั้นการสร้างครอบครัว ครอบครัวหนึ่งให้มีความสุขได้นั้นในทัศนะของพระคัมภีร์นั้นไม่ได้เริ่มต้นตอนที่เขาเติบโตเท่านั้นแต่ต้องเริ่มต้นจากการที่พ่อแม่สร้างเขาตั้งแต่เด็กเพื่อให้เขาเติบโตขึ้นเป็นสามีภรรยาที่ดีในอนาคต การที่พ่อแม่ในเวลานี้ไม่สั่งสอน ไม่สร้างลูก ไม่ลงทุน ปล่อยไปตามยถากรรม ย่อมไม่มีวันที่จะสร้างครอบครัวให้มีความสุขได้
คำตอบที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตอบพวกฟาริสีนั้นได้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญ 4 ประการด้วยกัน
ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 5 และตรัสว่า เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา จะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน
พี่น้องที่รักครับ งานแต่งงานโดยทั่วไปเขาจะเรียกว่า งานมงคลสมรส มีผู้ใหญ่และเพื่อนๆของทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่งานแต่งงานของคริสตศาสนิกเราเรียกงานนี้ว่า “พิธีพันธสัญญาสมรส” ซึ่งนอกจากจะมีผู้ใหญ่และเพื่อนๆของทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมเป็นสักขีพยานแล้ว ยังมีพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้สถาปนาสถาบันครอบครัวเอาไว้ใน ปฐก.2:14 หรือตั้งแต่ตอนสร้างโลก เสด็จมาเป็นประธาน เป็นประมุข รวมถึงพระองค์ทรงเสด็จมาเป็นพยานด้วย เพราะฉะนั้นงานแต่งงานของคริสเตียนจึงศักดิ์สิทธิ์ไหมครับ ?
ในทัศนะของพระคัมภีร์การแต่งงานเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าเป็นนำเอาชีวิตของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งประกอบไปด้วย ฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจและฝ่ายจิตวิญญาณของทั้ง 2 ชีวิตหรือทั้ง 2 ฝ่ายเอามารวมกัน
มีบทเพลงหนึ่งเขาร้องดังนี้ครับว่า เรือล่มในหนอง เงินทอง หรือจะไปไหน พี่ก็มีนา ส่วนแก้วตาน้องก็มีไร่แม้นว่าเอามารวมกัน
ตำแหน่งกำนันคงจะไม่ใช่ใคร
คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเขามองการแต่งงานในลักษณะที่ว่าเป็นทองแผ่นเดียวกันอย่างนี้ ซึ่งการมองอย่างนี้เป็นการมองในลักษณะของ 1.ฝ่ายเนื้อหนังมากกว่าที่จะมองในฝ่ายจิตวิญญาณ 2.การมีทรัพย์สิน เงินทองหรือการมีวัตถุสิ่งของมากกว่าความรัก
ดังนั้นพอมีอุปสรรค มีปัญหาขึ้นมาโดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเงิน คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็จะทำไมครับ ? จึงแยกจากกัน ขาดจากกัน
ครอบครัวคนจีนครอบครัวหนึ่งพูดว่า ตั้งแต่ครอบครัวเราแต่งลื้อเข้าบ้านมา ธุรกิจครอบครัวของเราก็เฮงจริงๆ ครอบครัวนี้ก็เลยรักลูกสะใภ้คนนี้มาก
ส่วนครอบครัวคนจีนอีกครอบครัวหนึ่งพูดว่า ตั้งแต่ครอบครัวเราแต่งลื้อเข้าบ้านมา ธุรกิจของครอบครัวเราก็เฮงซวยจริงๆแม่ผัวก็เลยเกลียดลูกสะใภ้คนนี้มาก
และลูกๆคนจีนถูกปลูกฝังให้มีความกตัญญูต่อพ่อแม่มาก เมื่อแม่ผัวไม่ชอบลูกสะใภ้ขึ้นมาเขามักจะทำอย่างไรครับ ? ชอบพูดกดดันทำให้ 1.ลูกสะใภ้อยู่ไม่ได้ 2.ลูกเลิกกับเมีย
ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรครับ ? ซึ่งนั่นหมายความว่า คนไทยเชื้อสายจีนบางคน บางครอบครัว มองการแต่งงานเป็นเรื่องของการ 1.ลงทุน 2. กำไรขาดทุน
คนไทยในสมัยก่อนหรือในสมัยนี้ก็ตาม ก่อนที่จะให้ลูกหลานไปแต่งงานต้องเอาดวงไปดูก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่า อะไรครับ ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ? ซึ่งนั่นหมายความว่า คนไทยมองการแต่งงานเป็นเรื่องของไสยศาสตร์
ด้วยเหตุนี้พี่น้องจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมครอบครัวไทยหลายครอบครัวจึงอยู่กันแบบคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวก็รักกัน เดี๋ยวก็ด่ากัน เดี๋ยวก็ดีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน ปัจจุบัน % อัตราการหย่าร้างในประเทศไทยจึงสูงมาก สูงกว่า 50%
บางคนถามผมว่า แล้วคริสเตียนไทยมีการหย่าร้างบ้างไหม คำตอบคือ มี แต่คิดเป็น % แล้วก็น้อยมาก สาเหตุที่การหย่าร้างของคริสเตียนไทยมีไม่มากเพราะ
1.คริสเตียนไทยมีความยำเกรงพระเจ้า 2.มีคริสเตียนอยู่ในประเทศไทยเพียงแค่ไม่ถึง 1% สถิติการหย่าร้างจึงมี % ที่น้อยกว่าศาสนาอื่นๆ 3. บทลงโทษทางสังคมคริสเตียน ซึ่งถือว่าถ้าคู่ใดมีการหย่าร้างเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมคริสเตียนเท่าไหร่นัก และถ้าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าด้วยแล้ว ยิ่งกลับเข้ามาสู่การรับใช้ได้ไม่ง่ายนักเพราะแบบอย่างชีวิตไม่ได้
ด้วยเหตุนี้นักสังคมมนุษย์ จึงได้กล่าวเอาไว้ว่า ประเทศชาติดีเพราะสังคมดี สังคมดีเพราะครอบครัวดี แต่ในเวลานี้มันกลับหัวกลับหางกันไปหมด เราจึงต้องพูดใหม่ว่า “ประเทศเละเทะเพราะสังคมเละเทะ สังคมเละเทะเพราะครอบครัวเละเทะ”
ด้วยเหตุนี้ท่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน ศบ.คริสตจักรเมืองไทย จึงได้กล่าวเอาไว้ว่า “คริสตจักรต้องเริ่มจากที่บ้านไม่ใช่ที่โบสถ์”
เพราะลูกๆของพี่น้องอยู่กับพ่อแม่พี่น้องมากกว่าอยู่ที่โบสถ์ ลูกๆของพี่น้องอยู่กับที่โบสถ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แล้วพี่น้องจะมาหวังคาดให้ครูรวีที่โบสถ์มาทำให้ลูกๆของพี่น้องเป็นคนที่รักพระเจ้าในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้นมันเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นพ่อแม่คนใดอยากเห็นลูกๆของตัวเองเจริญเติบโตและแต่งงานออกไปมีครอบครัวอย่างมีความสุข ต้องดูจากการกระทำของเขาในวันนี้ หัวหน้าครอบครัวซึ่งพระคำของพระเจ้าเปรียบเหมือนเขาเป็นปุโรหิตย์ของครอบครัวที่ดีจริง ต้องดูจากการที่เขากระทำกับครอบครัวในวันนี้ พ่อแม่ที่ปากบอกว่ารักลูก ถ้ารักลูกจริง ต้องดูจากการที่เขากระทำกับลูกในวันนี้
ซึ่งถ้าพี่น้องทำหน้าที่ของพี่น้องตามที่พระคำของพระเจ้าได้บันทึกไว้ ครอบครัวของพี่น้องในเวลานี้ก็จะเป็นครอบครัวที่มีความสุข กาลอนาคตลูกๆของพี่น้องที่จะแต่งงานมีครอบครัวออกไปก็จะมีความสุข
และการที่เขามีความสุขได้นั้น เพราะเขาได้แต่งงานกับคนที่ 1.รักพระเจ้าและพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของความรัก 2.มีความเชื่อเดียวกัน 3.รู้และเข้าใจว่าความรักที่แท้จริงนั้นถูกผลิตในสวรรค์ไม่ใช่เพราะไปเดินที่ถนนคนเดินแล้วก็บอกว่าคนนี้ใช่เลยนี่คือแม่ของลูก 4.เข้าใจคำว่า “สินสอดทองหมั้น” คือ ให้เกียรติกับผู้หญิงผ่านการแต่งงานก่อนแล้วค่อยมาสอด ไม่ใช่มาสอดก่อนแล้วมาขอขมาหรือมาไหว้ผีกันทีหลังอย่างนี้มันไม่ใช่ 5. เข้าใจคำว่า “รักใคร่” ไม่ใช่รู้จักแต่คำว่า “ใคร่” อย่างเดียว
เด็กผู้ชายวัยรุ่นในปัจจุบันส่วนมากชอบพูดว่าอย่างไรครับ ? “รักนะตัวเอง” สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือว่า พอเด็กผู้ชายมันพูดคำนี้แล้ว ทำไมเด็กผู้หญิงวัยรุ่นส่วนมากถึงยอมให้มันใคร่ อันนี้ผมไม่เข้าใจ พอผู้ชายมันใคร่เสร็จแล้วมันก็ไป
คำถามคือว่า อย่างนี้มันใช่ไหมที่ว่า “รักใคร่” ?
คำว่า รักใคร่ ตามพจนานุกรมได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ครับว่า รักใคร่ คือ ความรักที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรมต้องมาก่อนการมีเพศสัมพันธ์
คำถามคือว่า ปัจจุบัน ความรักใคร่แบบนี้มีเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหนครับ ? ดังนั้นพ่อแม่คนใดก็ตามที่อยากเห็นลูกของตนแต่งงานออกเรือนไปแล้วมีครอบครัวที่มีความสุข ท่านจะต้องสอนเขาในเรื่องนี้
ประการที่สำคัญนั่นก็คือท่านจะต้องสร้างความตระหนักให้กับเขาด้วย ว่าเขาจะต้องเป็นครอบครัวที่สะท้อนถึงพระฉายของพระเจ้าด้วยไม่ใช่สะท้อนถึงพระฉายของมาร
คำตอบที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตอบพวกฟาริสีนั้นได้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญ 4 ประการด้วยกัน
ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 6 เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย
พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้นำพาชีวิตทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจและฝ่ายจิตวิญญาณ ของทั้ง 2 คนมารวมกันแล้วก็อย่าให้มนุษย์หรืออย่าให้สิ่งใดทำให้ท่านทั้ง 2 ต้องพรากจากกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 1.การงาน การอาชีพ ของแต่ละคน ก็อย่าเป็นเหตุทำให้ท่านทั้ง 2 ต้องพรากจากกัน 2.เศรษฐกิจการเงิน การเลี้ยงดูบุตรหรือญาติพี่น้องของทั้ง 2 ฝ่าย ก็อย่าเป็นเหตุทำให้ท่านทั้ง 2 ต้องพรากจากกัน 3.ของการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือความทุกข์โศกเศร้าเสียใจ ความมั่งมีหรือความยากจนก็อย่าเป็นเหตุทำให้ท่านทั้ง 2 ต้องพรากจากกัน
คำว่า อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย หมายถึง พระเจ้านับคู่สามีภรรยารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นสามีภรรยาจะต้องเป็นคู่ 1.ที่มีเอกภาพ 2.ที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน 3. ที่แยกจากกันไม่ได้ และที่กฎหมายทั่วโลกที่กล่าวว่า “สามีภรรยาเป็นคนเดียวกัน” ก็มาจากพระคัมภีร์ข้อนี้
พระพรของพระเจ้าก็มาจากพระคัมภีร์ข้อนี้ ครอบครัวจะเป็นสุขหรือไม่ก็มาจากพระคัมภีร์ข้อนี้ ดังนั้นเรื่องการมีครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่
ผมพบกับ อ.ดาร์ เมื่อปี 2003 แต่งงานกันเมื่อ พ.ค. 2005 ผมกับ อ.ดาร์ จะครบรอบแต่งงาน 13 ปี ในเดือนหน้า สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า เราต่างระลึกนึกถึงถ้อยคำที่เราได้ให้ไว้ต่อเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ
ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราได้บอกต่อกันและกันว่า เมื่อเราทั้ง 2 คนตั้งใจที่จะเป็นสามี-ภรรยาร่วมกันแล้วเราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างให้ถึงที่สุดนั่นคือ ให้ความตายพรากเราไปจากกันเท่านั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากเรียนกับพี่น้องนั่นก็คือว่า ผมไม่ใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ในบางอารมณ์ที่ผมโกรธ โมโหหรือมีความไม่พึงพอใจอะไรก็ตาม ผมไม่เคยหลุดปาก คำว่า ถ้าอย่างนั้นเรา 1.เลิกกันดีกว่า 2.หย่ากันดีกว่า 3. ถ้ารู้อย่างนี้ไม่แต่งดีกว่า
ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า คำพูด 3 คำนี้ 1.เป็นการไม่สมควรที่จะหลุดออกจากปาก ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 2. มาร ซาตาน วิญญาณชั่ว มันรอฟังพี่น้องพูดอยู่ ถ้าหลุดออกจากปากของเราเมื่อไหร่นั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของพี่น้องก็หยุดสะท้อนถึงการเป็นพระฉายาของพระเจ้าเมื่อนั้น
แถมมาร ซาตาน มันจะส่งสมุนของมันมาเยาะเย้ยพี่น้องอีกต่างหาก เช่น ไหนว่าคริสต์ไม่เลิกกันไง ดังนั้นครอบครัวจะมีความสุขมาก ถ้าไม่มี 3 คำนี้ออกมากจากปากของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่ถ้าผู้ชายคนไหนก็ตามที่คิดจะนอกใจหรือมีชู้ ก็ให้เขาเซ็นต์ใบหย่าเอาไว้ให้กับภรรยาของเขาด้วย แต่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงพาพวกฟาริสีกลับไปสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าว่า แต่ตั้งแต่ที่พระเจ้าทรงโลกนี้ขึ้นมาพระองค์ไม่ได้ที่จะทำให้มนุษย์ทำในเรื่องการหย่าร้างนี้นะ แต่เพราะใจของท่านทั้งหลายแข็งกระด้างคิดจะทำเรื่องอย่างนี้ โมเสสจึงได้ให้ทางออกเอาไว้
แต่จะถึงกระนั้นก็ตามพี่น้องที่รักครับ มีคริสเตียนหลายคนนะครับ ที่อดทนต่อเรื่องนี้ ภรรยาบางคนที่ผมรู้จัก เขาบอกกับผมว่า เขาตระหนักถึงคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ใน “พิธีพันธสัญญาสมรส” ดังนั้นถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงนำเขาในเรื่องนี้อย่างแท้จริงเขาก็ไม่คิดที่จะหย่ากับสามีในเรื่องนี้ เขาก็เป็นภรรยาที่เข้มแข็งมากจริงๆ
นอกจากนี้แล้วพระคำของพระเจ้ายังได้ให้แนวทางในการที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุขเอาไว้อีกประการหนึ่งด้วยเป็นประการสุดท้ายหรือประการที่ 4 อยู่ใน อฟซ.5:22-28
22 ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตนเหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า 23 เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของกายนั้น 24 เหตุฉะนั้นคริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น 25 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร 26 เพื่อพระองค์จะได้ทรงแยกตั้งไว้ และชำระคริสตจักรนั้นให้บริสุทธิ์โดยการล้างด้วยน้ำโดยพระวจนะ 27 เพื่อพระองค์จะได้ทรงมอบคริสตจักรที่มีสง่าราศีแด่พระองค์เอง ไม่มีจุดด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ 28 เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ครอบครัวจะมีความสุขได้สามีจะต้องเป็นศีรษะ ภรรยาเป็นร่างกาย
สามีจะต้องเป็นศีรษะ หมายถึง สามีจะต้องเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหัวหลักหัวตอ สามีจะต้องเป็นผู้นำ สามีจะต้องเป็นศีรษะ หมายถึง เป็นหลัก เป็นความคิด
ส่วนภรรยา เป็นอวัยวะของร่างกาย ที่จะต้องเคลื่อนไปกับศีรษะหรือเคลื่อนไปกับสามี พระคำของพระเจ้าใน สภษ.12:4 เปรียบเป็น ภรรยาที่ดีเสมือนเป็นมงกุฎของสามีตน
ถ้าสามีซึ่งเป็นเสมือนศีรษะเคลื่อนไปทางหนึ่ง แต่ภรรยาซึ่งเป็นกายเคลื่อนไปทางหนึ่ง พระคำของพระเจ้าใน สภษ.12:4 แต่นางผู้ที่นำความอับอายมาก็เหมือนความเปื่อยเน่าในกระดูกสามี
ดังนั้นถ้าภรรยาไม่อยากสามีให้ได้รับความอับอาย ภรรยาก็จะต้องยอมให้สามีเป็นคนนำครอบครัว อย่างไรก็ตามสามีก็จะต้องนำครอบครัวทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณอย่างถูกต้องด้วย
ในฝ่ายจิตวิญญาณก็ต้องนำโดยความรู้ ความสามารถ นำด้วยความรัก ความเข้าใจในเธอ ส่วนในฝ่ายจิตวิญญาณก็จะต้องนำโดยอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า ถ้าสามีซึ่งเป็นศีรษะของภรรยานำได้อย่างถูกต้อง ครอบครัวก็จะมีความสุข
พระคำของพระเจ้า ปฐก.3:23 ตรัสว่า อาดัมจึงว่า "บัดนี้ นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเราและเนื้อจากเนื้อของเราจะต้องเรียกเธอว่าหญิง เพราะว่าหญิงนี้ออกมาจากชาย หญิงถูกสร้างมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของชาย คำนี้หมายถึง หญิงถูกสร้างขึ้นมาให้มีความจงรักภักดี
พี่น้องจำได้ไหมครับ ว่าในช่วง 12 Hrs. สุดท้ายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความหน้าสิ่วหน้าขวานเป็นอย่างมากผู้ชายหรือผู้หญิงครับที่เคียงคู่ไปกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ?
ดังนั้นธรรมชาติของผู้หญิงจึงมีสัญชาติญาณแห่งความจงรักภักดี และพี่น้องเคยสังเกตไหมครับว่า การนอกใจหรือการมีชู้นั้นส่วนมากแล้วเกิดจากฝ่ายไหนมากกว่ากันระหว่างชายหรือหญิง ?
ดังนั้นถ้าสามีซึ่งเป็นศีรษะของภรรยานำครอบครัวอย่างถูกต้อง ครอบครัวก็จะมีความสุข คนที่เป็นภรรยาก็ควรที่จะสำแดงความจงรักภักดีผ่านการให้ความเคารพ ผ่านการเชื่อฟังและทำตาม
หลายครอบครัวที่ขาดพระพรของพระเจ้าก็มาจากจุดนี้ คือ ขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ขาดความเป็นเอกภาพ ขาดความเข้าใจว่าสามีกับภรรยาต้องไปด้วยกัน ครอบครัวจึงจะเป็นสุข
ผมจึงขอสรุปตรงที่ว่า การแต่งงานครอบครัวนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่เราจะต้องให้ความสำคัญผ่านการสร้างความพร้อมผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าให้กับลูกของพี่น้องตั้งแต่เด็ก สร้างเด็กผู้ชายให้เป็นหัวเป็นผู้นำ สร้างผู้หญิงให้เป็นผู้สนับสนุน คู่อุปถัมภ์
อีกทั้งสร้างความตระหนักให้กับลูกหลานของพี่น้อง ให้ตระหนักว่าการแต่งงานนั้นเป็นพิธีพันธสัญญาสมรสที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คิดจะแต่งก็แต่ง จะเลิกก็เลิก ส่วนผู้ที่แต่งงานแล้วก็จะต้องให้พระคำของพระเจ้าเป็นแนวทางในการครองชีวิต เพื่อครอบครัวของพี่น้องจะมีความสุขและไม่เละเทะเพื่อเป็นแสงสว่างเป็นให้กับคนในสังคมและเพื่อสะท้อนการเป็นพระฉายาของพระเจ้า
ส่วนคนที่ยังไม่แต่งงานก็ให้อธิษฐาน ค่อยคิดพิจารณาให้เหมาะสมเพื่อจะได้คนที่ใช่เพื่อจะได้เป็นคู่แท้ ไม่ใช่ได้คู่เวร คู่กรรม
แต่อย่างใดให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน