คำเทศนาเรื่อง ความจริงเกี่ยวกับการวิตกกังวล
สวัสดีครับพี่ - น้องที่รัก สัปดาห์นี้ตั้งใจว่าจะนำพระคำของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องของบุตรน้อยหลงหายใน Version ใหม่มาแบ่งปันกับพี่ - น้อง เหตุเพราะว่ามีครอบครัวหนึ่งได้มีการทะเลาะกันผ่านสื่ออยู่ในเวลานี้ แต่เมื่อผมได้อธิษฐานกับพระเจ้าก็รู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้นำให้ผมที่จะแบ่งปันกับพี่ - น้องในเรื่องนี้มากกว่า
ดังนั้นในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ. 6:2-34 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.6:2-34 เมื่อพบแล้วให้ที่ประชุมได้อ่านจากพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้พร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ความจริงเกี่ยวกับการวิตกกังวล ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้พระธรรมมัทธิวเกือบจะทั้งหมดของบทที่ 6 นี้ พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความวิตกกังวล หรือพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความกระวนกระวายใจ
ซึ่งนั่นหมายความว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรู้ความจริงของมนุษย์ว่า มนุษย์นั้นเป็นพวกชอบกระวนกระวายใจ หรือมนุษย์นั้นเป็นพวกที่ชอบวิตกกังวล ไม่วิตกกังวลหรือกระวนกระวายใจในเรื่องนั้น ก็วิตกกังวลหรือกระวนกระวายใจในเรื่องนี้ พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริงครับ ?
2,000 กับ 9 ปีที่ผ่านมา ก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ผู้คนในสมัยของพระเยซูพี่ - น้องคิดว่าพวกเขาวิตกกังวลไหมครับ ?
คำสอนของพระเยซูในตอนนี้เป็นหลักฐานชั้นเอกที่ทำให้เราทราบว่าผู้คนในสมัยของพระเยซูนั้นก็มีความกระวนกระวายใจหรืมีความวิตกกังวลด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันผู้คนในยุคนี้ ในพ.ศ.นี้ ยังกระวนกระวายใจหรือยังวิตกกังวลกันอยู่ไหมครับ ? ยังวิตกกังวลกันหรือยังมีความกระวนกระวายใจกันอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลยไม่ว่าจะเป็นผู้คนในยุคใดสมัยใด
ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงสัพพัญญูญาณ ซึ่งแปลว่า ทรงรู้และทรงเห็นล่วงหน้าแล้วว่า มนุษย์…ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในยุคใดหรือไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในสมัยใดก็ตาม ก็จะมีความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลนี้อยู่เสมอ
และด้วยเหตุผลนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ ที่เป็นเหตุทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงสอนเรื่องนี้กับพวกสาวกและผู้ที่ติดตามพระองค์ และรวมทั้งทรงสอนพวกเราในเช้าวันนี้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาด้วยว่า อย่ากระวนกระวายหรืออย่าวิตกกังวล
และพระคำของพระเจ้ายังได้สอนเราอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้งหนึ่ง ในพระธรรม ฟลป.4:4 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ฟลป.4:4 ดูว่าพระคำของพระเจ้าสอนเราในเรื่องนี้อย่างไร เมื่อพบแล้วเราจะอ่านจาก ฟลป.4:4 พร้อมๆกันด้วยเสียงดังเชิญครับ จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด
พี่ - น้องที่รักครับ พระเยซูไม่ได้สอนเราว่า จงวิตกกังวลหรือจงกระวนกระวายวันละนิดเพื่อจิตจะได้แจ่มใส ถูกไหมครับ ? แต่พระเยซูทรงสอนเราว่า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
นี่คือคำสอนที่พระเยซูทรงสอนเรา และถ้าพี่ - น้องได้อ่านต่อไปในข้อที่ 5 - 7 ให้ที่ประชุมอ่านฟลป. 4:5-7 พร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า แล้วพระเจ้าจะประทาน สันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองความคิดและจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
คำถามก็คือว่า เมื่อพระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทำไมผู้เชื่อหรือผู้ที่เป็นคริสเตียน ถึงยังได้มีความวิตกกังวลกันอยู่ในเวลานี้
คำตอบอย่างง่ายๆก็คือ เป็นเพราะว่าเราไม่ได้พักสงบในพระเยซู การที่เราไม่ได้พักสงบในพระเยซูในแต่ละวัน น่าจะเป็นเหตุทำให้ความวิตกกังวลนั้น ได้แทรกตัวเข้ามาในความคิดของเรา เมื่อมันแทรกเข้ามาในความคิดหรือในจิตใจของพี่ - น้องได้แล้ว ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า
1 ) มันจะทำให้ความชื่นชมยินดีในแต่ละวันของพี่ - น้องนั้นหายไป
2 ) มันจะทำให้สันติสุขในองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านนั้นได้สูญเสียไป
3 ) มันจะทำให้พี่ - น้องขาดความสมดุลระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าหรือคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ขาดความเข้าใจในหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจึงถูกความวิตกกังวลซึ่งมันเป็นจอมแทรกทางความคิดนั้นเข้ามาจัดการในชีวิตของเขา
ในชีวิตจริงของพี่ - น้องนั้นพี่ - น้องเคยเห็นไหมครับว่า บางคนนั้นวิตกกังวลมากจนป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร เคยเห็นไหมครับ ?
ในชีวิตจริงของพี่ - น้องนั้นพี่ - น้องเคยเห็นไหมครับว่า บางคนวิตกกังวลมากจนกระทั่งตัวเองเป็นอัมพฤกษ์หรือเป็นอัมพาตไปบ้างก็มี เคยเห็นบ้างไหม ?
ในชีวิตจริงของพี่ - น้องนั้นพี่ - น้องเคยเห็นไหมครับว่า บางคนวิตกกังวลมาก จนกระทั่งความวิตกกังวลนั้นได้ ส่งผลกระทบไปทางความคิด และสิ่งที่เขาคิดนั้นนั่นก็คือ การฆ่าตัวตาย
พี่ - น้องเคยเห็นบ้างไหมครับ ? โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นกับคนเกาหลีใต้ เฉพาะคนใน 2 ประเทศนี้พี่ - น้องที่รักครับ ทางการแพทย์ได้มีการระบุออกมาแล้วว่าความวิตกกังวลนั้นเป็น 1 ใน 10 ของโรคที่ได้คร่าชีวิตของพวกเขามากที่สุด
นอกจากนี้แล้วพี่ - น้องที่รักครับ เจ้าความวิตกกังวลนี้ มันยังส่งผลเสียต่อชีวิตของมนุษย์เราในอีกหลายๆ ด้าน เช่น ในด้านของอารมณ์ ในด้านของความคิดและจิตใจ ทำให้บางคนที่เขาเกิดมาเพื่อสนับสนุนนิสัยนี้ได้กลายเป็นคนที่เสียบุคลิกภาพทางสังคมไปอย่างน่าเสียดาย
เหตุเพราะเขากลายเป็นคนเครียด คิดมาก จนในที่สุดบางคนกลายเป็นคนบ้าหรือกลายเป็นคนเสียสติไปก็มี
ดังนั้นจากการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สรุปได้ว่าการวิตกกังวลหรือความกระวนกระวายใจเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีครับพี่ - น้อง ?
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ถามผู้คนในแต่ละยุค ในแต่ละสมัย ด้วยคำถามอย่างเดียวกันว่า ?
แล้วคุณจะวิตกกังวลกันไปทำไมในเมื่อสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นนั้น มันเป็นเรื่องจริง ที่มันจะต้องเกิด มันก็จะต้องเกิด
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ถามผู้คนในแต่ละยุค ในแต่ละสมัย ด้วยคำถามอย่างเดียวกันว่า ?
แล้วคุณจะวิตกกังวลกันไปทำไม หรือคุณคิดว่าการที่เรามีความกระวนกระวายใจหรือมีความวิตกกังวลนั้นขึ้นมาแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างนั้นหรือ
พี่ - น้องที่รักครับ ในเมื่อเราจะต้องแบกรับภาระสิ่งต่างๆ นั้นอยู่แล้วในแต่ละวัน ในแต่ละเดือน แล้วทำไมเราจะต้องไปแบกรับ คือ เอาปัญหาของพรุ่งนี้หรือปัญหาของอนาคต มาแบกรับหรือมาวิตกกังวลในวันนี้ด้วยเล่า
นายแพทย์ Dr. William Oswar ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์แห่ง มหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งท่านเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียงมาก วันหนึ่งท่านอาจารย์ได้ถูกเชิญให้ไปเทศนาที่ประเทศ U.S.A. ภายหลังจากที่ท่านอาจารย์ได้เทศนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนถามท่านอาจารย์ว่า ให้อาจารย์ช่วยบอกเคล็ดลับในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขให้ฟังหน่อย
ท่านอาจารย์ตอบว่า ผมเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตในแต่ละวันเท่านั้น และทำให้ดีที่สุดในวันนี้ ผมไม่ได้มีชีวิตให้เมื่อวานหรือพรุ่งนี้ แต่ผมเรียนเคล็ดลับนี้มาจากครูของผมนั่นคือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ดังนั้น ถ้าเราปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและไม่เครียด เราเองก็ไม่ควรที่จะดำรงชีวิตอยู่เพื่อเมื่อวานนี้หรือเพื่อวันพรุ่งนี้แต่ให้เราดำรงชีวิตอยู่วันต่อวันหรือทีละวันก็พอแล้ว
ดังนั้น ถ้าเราปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและไม่เครียด เราเองก็ไม่ควรที่จะแบกรับปัญหา 2 เท่าคือ ของวันนี้และของวันพรุ่งนี้หรือไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็ตาม
พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ได้ชี้ให้เราเห็นถึงอากัปกิริยาต่างๆ นาๆ ของความ
กระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลของมนุษย์นั้นในโลกนี้ว่ามีอะไรบ้าง มีอะไรบ้างครับ
คำตอบก็คือ มีเรื่องของการจะเอาอะไรกิน การจะเอาอะไรดื่ม นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีเรื่องของอะไรอีกครับพี่ - น้อง ? มีเรื่องของการที่เราจะเอาอะไรสวมใส่หรือการที่เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม
และถ้าพี่ - น้องได้เปิดพระวจนะของพระเจ้าไปที่ 1 คร.7:32-34 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 1คร.32-34 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้ชี้ให้เราได้เห็นถึงอากัปกิริยาของความกระวนกระวายใจ หรือความวิตกกังวลของมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องภายในบ้านและเกี่ยวกับอาชีพ การงาน เป็นต้น ซึ่งถ้าเราจะนำเอาพระคำของพระเจ้าในตอนนี้มาประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับคนในสังคมยุคปัจจุบันก็จะแบ่งออกเป็น ปัญหาภายในบ้านและปัญหานอกบ้าน
ปัญหาภายในบ้านก็คงจะได้แก่ ความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นภายในบ้าน เรื่องสุขภาพร่างกาย เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องสามีจอมขี้เมา ภรรยาจอมบงการหรือหลานที่ถูกพ่อ - แม่ทิ้งไว้ให้คนแก่คอยดูแลอยู่ที่บ้านและหรือคนแก่ที่เราจะต้องคอยดูแลท่าน เป็นต้น
ถ้าเป็นปัญหานอกบ้านก็คงจะได้แก่ เรื่องงาน การแข่งขันทางธุรกิจ คนภายในที่ทำงาน เจ้าหนี้ ลูกหนี้ เรื่องกิ๊ก เป็นต้น ซึ่งในแต่ละเรื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องที่พอสมควรอยู่แล้วโดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเรายังไปวิตกกังวลหรือเรายังไปกระวนกระวายใจถึงเรื่องเมื่อวานนี้หรือเรื่องในวันพรุ่งนี้อีก มันก็จะยิ่งทำให้เรานั้นหนักขึ้นไปอีก
มีเรื่องเล่าว่า มีนักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์คนหนึ่ง เขารู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมากเหตุเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะมอบหมายงานให้คนอื่นทำแทนได้ คุณหมอจึงได้แนะนำกับนักธุรกิจคนนั้นว่าถ้าคุณไม่สามารถมอบงานให้คนอื่นช่วยคุณได้เลย คุณก็จงไปเยี่ยมหลุมศพ แล้วอ่านข้อความที่หลุมดูคุณก็จะพบว่าคนที่ตายแล้วพวกนั้น เขาเคยคิดเหมือนคุณทั้งสิ้นแต่โลกใบนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่ว่าคุณจะอยู่หรือตาย คนก็จะทำงานของคุณต่อไปนักธุรกิจคนนี้จึงเกิดความคิดและเลิกที่จะวิตกกังวลใจ
พี่ - น้องที่รักครับ สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงสอนเราจากพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ผมขอพี่ - น้องฟังให้ดีๆน๊ะครับว่า มันมิได้หมายความว่า เมื่อเรามาเป็นผู้เชื่อหรือมาเป็นคริสเตียนแล้วเราไม่ต้องคิดอะไรเลย หรือเราไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรเลย และหรือเป็นคนที่ไร้ความคิดหรือเป็นคนที่สิ้นคิด
สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสอนเรา จากพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ผมขอพี่ - น้องฟังให้ดีๆนะครับว่า มันมิได้หมายความว่า เมื่อเรามาเป็นผู้เชื่อหรือมาเป็น
คริสเตียนแล้วเราไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรเลยหรือปล่อยชีวิตไปแบบวันๆหนึ่ง
ดังนั้นผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่านะครับว่า พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ไม่ได้มีความหมายอย่างนั้นแต่ชีวิตของเรานั้นจะต้องไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งนั้น
คำถามก็คือว่า แล้วเราจะทำอย่างไรที่เราจะไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งนั้น
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ผม แต่คำตอบนั้นอยู่ในพระเจ้าของเรา องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเสนอวิธีการแก้ไขนั้นให้กับเราทั้งหลายนั่นก็คือ การอธิษฐานและการวางใจในพระองค์
เมื่อพี่ - น้องได้อธิษฐานต่อพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ - น้องที่ดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยความเชื่อฟังและด้วยความยำเกรงอย่างแท้จริง
พี่ - น้องจะต้องมีความเชื่อว่า พระบิดาในสวรรค์นั้นทรงโปรดฟังคำอธิษฐานของท่าน เมื่อใดก็ตามถ้าพี่ - น้องได้อธิษฐานต่อพระเจ้าแล้วแล้ว และถ้าพี่ - น้องยังมีความกระวนกระวายใจนั้นอยู่หรือพี่ - น้องยังมีความวิตกกังวลนั้นอยู่ นั่นก็เท่ากับว่าเราได้สูญเสียการไว้วางใจไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้นเมื่อพี่ - น้องได้อธิษฐานต่อพระเจ้าถึงในสิ่งที่พี่ - น้องรู้สึกกระวนกระวายใจนั้น สิ่งที่พี่ - น้องจะต้องไม่ลืมที่จะอธิษฐานต่อท้ายหรือเพิ่มเติมเข้าไปในคำอธิษฐานนั้นด้วย นั่นก็คือ อธิษฐานเผื่อจิตวิญญาณแห่งความไม่เชื่อนั้นให้ออกไป
สิ่งต่อไปที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้เสนอเอาไว้ให้เป็นวิธีการแก้ไขในเวลาที่เราวิตกกังวลอยู่ใน มธ.6:33 ให้ที่ประชุมอ่าน มธ.6:33 พร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
แต่ท่านทั้งหลาย จงแสวงหาแผ่นดิน และความชอบธรรมของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พี่ - น้องที่รักครับ วิธีการของพระเจ้านั้น ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่ามักจะเป็นวิธีการที่ตรงกันข้ามกับโลกเสมอ เช่น
พระเยซูทรงเอาคนที่มีความรู้น้อยสอนคนที่มีความรู้มาก พระเยซูทรงเอาคนบาปอย่างหญิงโสเภณีสอนคนที่ชอบธรรมอย่างพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เป็นต้น
จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า พระเยซูทรงเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาของความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลเอาไว้ให้แก่เรา อย่างชัดเจนและอย่างตรงไปตรงมาว่า
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าหรือความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ ซึ่งนั่นหมายความว่า อย่าให้เราคิดถึงแต่ปัญหาของตนเอง
คำถามก็คือว่า ทำไมพระคำของพระเจ้าถึงพูดอย่างนี้ว่า ในเมื่อเรามีปัญหาแต่พระเยซูกับบอกว่าอย่าให้เราคิดถึงปัญหา
คำตอบอย่างง่ายๆก็คือ เพราะว่าความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลนั้นมันจะทำให้เราสนใจในปัญหาของตนเองมากเกินไป
พระเยซูบอกกับเราว่า วิธีที่เราจะพิชิตความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลได้ดีที่สุดนั่นก็คือ ให้เรานั้นได้วิตกกังวลหรือได้มีความห่วงใยในเรื่องของพระเจ้าแทน เช่น เราจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้นดีไหม , ถ้าเราทำอย่างนี้พระเจ้าจะทรงพอพระทัยไหม , เราจะทำงานของคริสตจักรให้ดีที่สุดได้อย่างไร , เราจะนำคนมาถึงแผ่นดินของพระเจ้า ได้อย่างไร ? ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็นวิธีการ เอาเกลือจิ้มเกลือก็ได้
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราทำแบบนี้นั่นก็เท่ากับว่า
- ความวิตกกังวลนั้นจะพ่ายแพ้เราไปด้วยเหตุนี้
- เราได้ถวายชีวิตของเราให้กับพระเจ้าในทุกๆวันๆ
- เราจะหลุดพ้นจากความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลต่างๆ นั้น
- เราดำรงชีวิตอยู่โดยเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลางไม่ใช่เอาตัวเราเป็นศูนย์กลาง
และถ้าเราทำอย่างนั้นพี่ - น้องที่รักครับ พระสัญญาของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงสอนและได้นำเสนอทางแก้ไขปัญหานี้ให้กับมนุษย์มาตั้งแต่เมื่อ 2,000 กับ 9 ปีที่ผ่านมา
และนี่คือพระพรของพระเจ้าที่มีมาถึงมนุษย์แต่ไม่ใช่ทุกคนน๊ะครับเป็นพระพรของพระเจ้าที่มีมาเหนือมนุษย์ที่เป็นผู้เชื่ออย่างพี่ - น้องและผมเท่านั้น ต่างกันตรงที่ถ้าใครรับเอาพระพรของพระเจ้านี้ไปปฏิบัติ พระพรนี้ก็จะเป็นพระพรกับชีวิตของผู้เชื่อคนนั้นเป็นอย่างมาก
พี่ - น้องที่รักครับ นอกเหนือจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ได้ทรงตรัสสอนและรวมทั้งได้นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหา ของความกระวนกระวายใจหรือวิตกกังวลนี้แล้ว เรายังพบว่า อ. เปาโล ก็ยังเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้สอนและได้นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้กับผู้เชื่อในยุคสมัยของท่านและรวมทั้งผู้เชื่อในยุคสมัยของเราด้วยเช่นกันให้ที่ประชุมเปิดไปที่ฟลป. 4 : 4 - 7
พี่ - น้องต้องไม่ลืมน๊ะครับว่า อ. เปาโล เขียนพระคำของพระเจ้าในตอนนี้จากการที่เขาถูกควบคุมตัวให้อยู่ที่ในคุก ซึ่งภายในคุกนั้นก็มีโซ่ตรวนคอยควบคุมขาของเขาเอาไว้กับขื่อ ส่วนภายนอกห้องขังนั้นมีทหารยามคอยเฝ้าระวังเขาอยู่ด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อท่าน อ.เปาโล ได้นำเอาความทุกข์ใจนี้หรือได้นำเอาความวิตกกังวลนี้มาอธิษฐานต่อพระเจ้า สันติสุขขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เข้ามาคุ้มครองในความคิดและจิตใจของท่าน ซึ่งนั่นหมายความว่า อ.เปาโล นั้นมีประสบการณ์เกี่ยวกับในเรื่องที่ท่านเขียนเช่นนั้นจริงๆ
พระคำของพระเจ้าที่ทรงตรัสผ่านทาง อ.เปาโล ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า ให้เรานำเอาความกระวนกระวายใจหรือให้เรานำเอาความวิตกกังวลนั้นมาให้พระเจ้าโดยการอธิษฐาน ไม่ว่าปัญหานั้นหรือความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลนั้นมันจะอยู่ใกล้ตัวของเรามากแค่ไหนก็ตาม อ. เปาโล ได้บอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนในข้อที่ 5 ว่า ยังไงๆพระเยซูก็ยังทรงอยู่ใกล้กว่า ซึ่งนั่นหมายความว่า ปัญหานั้นหรือความกระวนกระวายนั้นไม่มีทางที่จะอยู่ใกล้เรามากกว่าพระเจ้าได้
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ให้เรานำเอาความกระวนกระวายใจหรือนำเอาความวิตกกังวลนั้นมาไว้ที่พระเจ้าแล้วเปลี่ยนเป็นคำอธิษฐาน ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการที่จะฝึกเรา จากมนุษย์คนหนึ่งที่มีนิสัยชอบกระวนกระวายใจหรือชอบที่จะวิตกกังวลเป็นคนที่มีนิสัยใหม่ นั่นก็คือ ชอบที่จะเป็นนักอธิษฐาน ผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการที่เรามีนิสัยใหม่นี้นั่นก็คือ สันติสุข ของพระเจ้า
สันติสุขของพระเจ้าจะเป็นเหมือน Body Guard ฝ่ายจิตวิญญาณให้กับเราโดยที่พี่ - น้องไม่ต้องจ่ายค่า Body Guard หรือค่าคุ้มครองแต่ประการใด
สันติสุขของพระเจ้าจะค่อยๆเข้ามาแทนที่โดยความวิตกกังวลนั้นจะค่อยๆหายไป เหมือนกลางคืนต้องคอยหลีกทางให้กับแสงของอรุณในยามเช้า
นอกเหนือจาก อ.เปาโล ที่ได้สอนและได้นำเสนอวิธีการแก้ไขให้กับเราในเรื่องนี้แล้ว เรายังพบว่า อ.เปโตร ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้สอนและได้นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหานี้ให้กับผู้เชื่อในยุคสมัยของท่านด้วย
ให้เรามาดูสิ่งที่ อ.เปโตร ได้สอนและสิ่งที่ท่านได้นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาความวิตกกังวลนี้ใน 1ปต.5:6-7 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 1ปต.5: 6-7 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
อ.เปโตร สอนว่า ให้เรานั้นถ่อมใจลงต่อพระเจ้าโดยวางความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลทั้งหมดนั้นเอาไว้ที่ตักของพระเยซู และให้ตระหนักว่าเรานั้นคือคนที่พระเจ้าทรงหวงและห่วงใย
สิ่งที่พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับเราผ่าน อ.เปโตร ในตอนนี้นั่นก็คือว่าเราจะต้องพัฒนาความคิดและพัฒนานิสัยในการวางพระเจ้า
มีเรื่องเล่าว่า ทูตของประเทศหนึ่งเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับประเทศของตนเป็นอย่างมาก จึงนอนไม่หลับ ผู้ช่วยทูตมองเห็นความกระวนกระวายใจนี้ จึงถามท่านทูตว่า
“ ท่านครับ ผมอยากจะถามอะไรท่านหน่อย ”
ท่านทูตตอบว่า “ ถามได้เลย ”
ผู้ช่วยทูตถามว่า “ท่านครับ ท่านว่าพระเจ้าควบคุมโลกนี้ไว้ก่อนท่านเกิดหรือไม่”
ท่านทูตตอบว่า “ ใช่ ”
ผู้ช่วยทูตจึงถามต่อไปว่า “ ถ้าท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านคิดว่าพระเจ้าจะยังควบคุมโลกนี้ไว้ได้หรือไม่ ”
ท่านทูตตอบว่า “ ใช่ ”
ผู้ช่วยทูตจึงพูดต่อไปว่า “ แล้วทำไมท่านจึงไม่วางใจว่าพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงควบคุมโลกนี้ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ล่ะครับ ”
ท่านทูตจึงคิดได้ จึงพลิกตัวแล้วหลับไป
คำถามก็คือว่า เรามีความเชื่อแบบไหน ?
* เราเชื่อตามพระคำของพระเจ้าหรือไม่ว่า ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
* เราเชื่อหรือไม่ว่าพระองค์ทรงคุ้มครองโลกนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
* เราเชื่อหรือไม่ว่าพระองค์จะทำทุกอย่างให้ดีและสำเร็จเพื่อเรา
ถ้าพี่ - น้องเชื่ออย่างนั้น พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าให้พี่ - น้องรับสันติสุขของพระเจ้าเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าพี่ - น้องไม่ได้เชื่ออย่างนั้นพี่ - น้องก็คงจะต้องกระวนกระวายใจหรือทุกข์ใจกันต่อไป
สุดท้าย ท้ายสุด พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราจะเปรียบคำสอนในเช้าวันนี้ เป็นเหมือนกับใบสั่งยาแก้โรคความวิตกกังวลหรือแก้โรคความกระวนกระวายใจ หรือจะเป็นโรคอะไรก็ตามแต่
ต่อให้หมอสั่งยาที่ถูกกับโรคให้กับเรา หรือต่อให้หมอสั่งยาที่ดีขนาดไหนให้กับเราก็ตาม แต่ถ้าเราเก็บใบสั่งยานี้เอาไว้ในกระเป๋า มันมีประโยชน์อะไรไหมครับ ? มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
พระคำของพระเจ้าทั้ง 3 ตอนนี้ได้สอนเราและได้นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหานี้กับเราอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ถูกกับโรคของเราที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั่นก็คือความวิตกกังวลหรือความกระวนกระวายใจ เพียงสิ่งที่ท่านจะต้องมีนั่นก็คือ การไปซื้อยาและกินยานี้เข้าไปเท่านั่นเองซึ่งนั่นหมายความว่า ให้พี่ - น้องได้นำสิ่งที่พระเยซูได้สอนและได้นำเสนอวิธีการแก้ไขให้กับเรานั้นไปปฏิบัติ
มีผู้เชื่อหรือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รักครับ ที่มีโรคแห่งความกระวนกระวายใจหรือมีโรคแห่งความวิตกกังวลนี้อยู่ในชีวิตของเขา หลายคนที่มีอายุของการเป็นคริสเตียนมา 3 ปี 5 ปี 10 ปี ก็มักจะรู้ดีด้วยว่า พระเยซูทรงสอนและได้เสนอวิธีแก้ไขในเรื่องนี้เอาไว้อย่างไร แต่เขาก็เก็บใบสั่งยานี้เอาไว้ในชีวิตของเขาเป็นปีๆและเขาก็ไม่เคยที่จะนำเอาสิ่งที่พระเจ้าได้สอนหรือเสนอทางแก้ไขให้กับเขาในเรื่องนี้ไปปฏิบัติอย่างจริงๆจังเสียที ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก (ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่าคุณต้องไม่ใช่คนนั้น) ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้นำเอาพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ไปใช้ในการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าด้วยนะครับ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน