ความจริงเกี่ยวกับการสามัคคีธรรม

คำเทศนาเรื่อง ความจริงเกี่ยวกับการสามัคคีธรรม

    

ข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้ในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม 1ยน.1:1-10 ให้ที่ประชุมได้เปิดไปที่ 1ยน. 1:1 -10 และอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ความจริงเกี่ยวกับการสามัคคีธรรม

            พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อตอนที่ผมเล่นแบดมินตันผมได้สมัครเข้าเป็นสมัครชิกของชมรมแบดมินตันไทย - ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อผมเริ่มสนใจที่จะทำธุรกิจผมก็ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมทางธุรกิจนั้น

สัปดาห์ที่แล้วผมได้ถามบุตรสาวของท่าน อ. จิตรเกษม ว่า เปิดเทอมแล้วจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมใดในมหาวิทยาลัย น้องลูกเกดบอกว่า จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรม Crosswords

ถ้าพี่ - น้องได้มีโอกาสเข้าไปที่กรุงเทพฯ พี่ - น้องก็จะพบว่า มีชายหนุ่มและหญิงสาวที่ทำงาน Office จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรม California Fitness

พี่ - น้องที่รักครับ วัตถุประสงค์ของการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรม , สมาคมหรือของสโมสรใดก็ตาม ก็เพื่อที่เราจะเข้าไปรับประโยชน์หรือเข้าไปเอาประโยชน์จากชมรมหรือจากสมาคมนั้น เช่น บางคนจบมาทางด้านวิศวกร ก็เข้าไปรับความรู้ทางด้านที่เกี่ยวกับวิศวกร หรือใครที่จบมาทางด้านไหน ก็เข้าไปรับความรู้ทางด้านนั้นๆ เป็นต้น

สำหรับบางคนที่มีความรู้ ความสามารถหรือมีศักยภาพ วัตถุประสงค์ของการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรม , สมาคมหรือสโมสรนั้น อาจจะอยู่ที่การได้ให้ความรู้ ความสามารถหรือศักยภาพของตนแก่ชมรม , สมาคมหรือแก่สโมสรนั้น เช่น คนที่เป็นสมาชิกของสโมรสรไลออนหรือสโมสรโรตารี่ เป็นต้น

พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเข้าไปเป็นสมาชิกของชมรม , สมาคมหรือสโมสรในฐานะผู้รับประโยชน์หรือผู้ให้ประโยชน์ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะต้องมีนั่นก็คือ เวลาที่จะต้องแบ่งปันให้ต่อกันและกัน ทั้งนี้เพื่ออะไรครับ ? เพื่อที่จะได้รู้จักซึ่งกันและกันมากขึ้น ซึ่งภาษาของมนุษย์ได้กล่าวถึง พฤติกรรม ท่าทีหรือการแสดงออกของมนุษย์ในลักษณะอย่างนี้ว่า การเข้าสังคม

สิ่งต่างๆ เหล่านี้พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อะไรเลยสำหรับพวกเราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เหตุเพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์ และโดยเฉพาะพระคัมภีร์ใหม่นั้นได้มีการบันทึกคำว่า ร่วมกัน , เดียวกัน , ซึ่งกันและกัน เอาไว้อยู่เป็นจำนวนมาก สำนวนหรือภาษาของคริสเตียนจึงได้กล่าวถึงผู้เชื่อที่มีพฤติกรรม ท่าทีหรือการแสดงออกในลักษณะอย่างนี้ว่า การสามัคคีธรรม

ตย. เช่น ผู้เชื่อของคริสตจักรในยุคแรกนั้น เขาได้มีบางสิ่ง บางอย่างที่เหมือนๆ กันร่วมกันอยู่ เป็นต้น ซึ่งพี่ - น้องสามารถที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่านี้ได้ โดยอ่านจากพระธรรมกิจการ ซึ่งเป็นหนังสือที่กล่าวถึงกิจการของอัครทูตและผู้เชื่อในยุคแรกนั่นเอง

และถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระธรรม 1ยน.1:1-10 อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดี พี่ - น้องก็จะพบคำว่า สามัคคีธรรม ซ้ำๆกันกี่ครั้งครับ ? 3 - 4 ครั้งด้วยกัน และในบทที่ 1 ของพระธรรม 1ยน. นี้ก็เป็นบทที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญของการสามัคคีธรรมของคริสเตียน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1อยู่ในข้อที่ 1 - 3

ประการที่ 1 เราพบการสามัคคีธรรมในแนวดิ่ง

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงเริ่มภาระกิจในการที่จะปรนนิบัติรับใช้พระบิดาของพระองค์ คำถามคือว่า พระเยซูทรงมีการสามัคคีธรรมร่วมกันกับพระบิดาของพระองค์ไหมครับ ? คำตอบคือ ( มี ) ผ่านการเฝ้าเดี่ยว ผ่านการนมัสการอธิษฐานตอนรุ่งอรุณ เป็นต้น นี่คือ การสามัคคีธรรมในลักษณะในแนวดิ่ง เป็นการสามัคคีธรรมระหว่างพระบุตรกับพระบิดา ผู้ซึ่งเป็นแหล่งของต้นกำเนิดในทุกๆ สรรพสิ่งทั้งมวล

มีเรื่องเล่าว่ามีนายแพทย์คนหนึ่ง ถึงกับร้องไห้ออกมา เมื่อเขาทราบว่าเขาจะต้องสูญเสียภรรยาผู้ซึ่งเป็นที่รัก นายแพทย์ท่านนี้จึงได้พูดคำพูดหนึ่งออกมาว่า เธอคนเดียวเท่านั้นจริงๆที่รักที่ฉันได้แบ่งปันชีวิตให้

พี่ - น้องที่รักครับนี่คือคำพูด ที่ทำให้เราพอที่จะเข้าใจอย่างนี้ ได้ไหมครับว่า สามีภรรยาคู่นี้เขาได้แชร์หรือได้แบ่งปันสิ่งที่ลึกๆ ที่สุดในชีวิตให้แก่กันและกัน

ดั่งเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นที่สวนเกทเสมนี ซึ่งเราพบว่าพระเยซูได้ทรงแบ่งปันชีวิตลึกๆของพระองค์ให้กับพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ได้ฟัง ซึ่งพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้ใน มก.14:37 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.14:37 อับรา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์อาจทรงกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์

ซึ่ง ณ. เวลานั้นพระเจ้า พระบิดา ก็ได้ทรงแบ่งปันชีวิตลึกๆของพระองค์ให้กับพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าได้รับรู้ด้วยเช่นกันว่าพระองค์นั้นทรงอยู่ด้วย ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ลก.22:43 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ช่วยชูกำลังพระองค์ และนี่คือการสามัคคีธรรมในแนวดิ่ง ระหว่างพระบุตรกับพระบิดา เป็นการสามัคคีธรรมภายในลึกๆ

            คำถามก็คือว่า การสามัคคีธรรมในแนวดิ่งระหว่างเรากับพระเจ้าล่ะจะทำอย่างไร คำตอบคือ เราจะต้องมีธรรมชาติของพระองค์ และธรรมชาติของพระองค์ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงแค่การที่เรานั้นเปิดใจออก และรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตเท่านั้น

พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนที่เปิดใจออกและรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตนั้นมีมากมาย แต่มีผู้เชื่อไม่มากเท่าไหร่นัก ที่รับเอาธรรมชาติของพระองค์เข้ามาในชีวิต และธรรมชาติของพระองค์ที่สำคัญที่สุดอยู่ใน 1ยน.3:24 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 1ยน.3:24 และทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น เหตุฉะนี้เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราคือ โดยพระวิญญาณ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดประทานแก่เรา

ธรรมชาติของพระเจ้าที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ การบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่จะพิสูจน์ถึงการบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณนั่นก็คือ การที่เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสนพระทัยในเรื่องอะไรและเราก็จะต้องมีความสนใจในสิ่งนั้นด้วยเช่นพระเจ้าทรงสนพระทัยในเรื่อง

การเชื่อฟังพระเจ้า เราเองก็จะต้องสนใจที่จะรักในพระคำของพระเจ้า

คนที่หลงหายตัวเราเองก็จะต้องมีแรงปรารถนาที่อยากจะช่วยคนเหล่านั้นด้วย

ความบาป เราเองก็จะต้องสนใจในการที่เราจะไม่ล้มลง แต่มีชัยชนะต่อความบาป

คริสตจักรผู้เชื่อเองก็จะต้องมีความรัก และมีความห่วงใยในการที่จะแบกรับภาระคริสตจักรของพระเจ้าด้วย

ซึ่งนั่นหมายความว่า ภายหลังจากที่ผู้เชื่อได้ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้ว ผู้เชื่อจะต้องมีธรรมชาติของพระเจ้าดังที่กล่าวมาแล้ว อยู่ในชีวิตของเรา เราจึงจะเข้าสู่การสามัคคีธรรมภายในลึกๆ กับพระเจ้าได้

คำถามก็คือว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงสนพระทัยนั้น มันได้อยู่ในความสนใจในชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราสนใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงสนพระทัยเราก็สามารถที่จะสามัคคีธรรมภายในลึกๆกับพระเจ้าได้

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 3 พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้สามัคคีธรรมร่วมกับเรา หรือในข้อที่ 7 ที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน

ประการที่ 2 เราพบการสามัคคีธรรมในแนวระนาบ

การสามัคคีธรรมในแนวระนาบนี้ เป็นการสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อกับผู้เชื่อด้วยกัน สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจในการสามัคคีธรรมในแนวระนาบนี้ก็คือ การสามัคคีธรรมในระนาบนี้จะต้องมีรากฐานที่เชื่อมต่อมาจากการที่ผู้เชื่อคนนั้นได้มีการสามัคคีธรรมที่ดีกับพระเจ้ามาก่อน เมื่อผู้เชื่อคนนั้นมีการสามัคคีธรรมที่ดีกับพระเจ้ามาก่อน ผู้เชื่อคนนั้นก็จะเห็นคุณค่าที่จะสามัคคีธรรมร่วมกับพี่ - น้องที่รักในพระเจ้าด้วยกัน เหมือนกับผู้เชื่อของคริสตจักรในยุคแรกหรือในยุคของพระธรรมกิจการ ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระธรรม กจ. 2:42-46 และให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พี่ - น้องที่รักครับ ผู้เชื่อในยุคแรกต่างรู้ว่าทุกคนเป็นของพระเยซู และทุกคนมีความรักในพระเยซูเหมือนกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์บางอย่างทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้มาสามัคคีธรรมร่วมกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันจำเริญขึ้นเพราะเขาช่วยกันสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่อยู่ดีๆ การสามัคคีธรรมมันจะเกิดขึ้นมาได้เฉย ๆ

ผู้เชื่อบางคน - หลายคน ชอบพูดในลักษณะที่สร้างความชอบธรรมให้กับตนเองในทำนองที่ว่า อยู่สามัคคีธรรมแล้วเหงาจังไม่ค่อยมีเพื่อนหรือไม่มีใครจะพูดด้วย เป็นต้น ซึ่งถ้าเราจะเปรียบการสามัคคีธรรมเป็นเสมือนกับการเล่นกีฬ่าเทนนิส

นั่นก็เท่ากับว่า มันจะต้องมีคนหนึ่งเป็นฝ่ายที่เสริฟลูกก่อน และอีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้ที่ตีโต้กลับมามันถึงจะเล่นด้วยกันได้ สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือว่า ก็เพราะเราไม่ได้พูดกับใครที่ก่อนไหนเลยแล้วจะมีใครที่ไหนมาพูดคุยด้วยเล่า

รม.1:10-14 เราพบว่า อ.เปาโล เป็นผู้เริ่มสามัคคีธรรมก่อน ดังนั้นก่อนที่เราจะบอกว่าอยู่ในการสามัคคีธรรมแล้ว เหงาจัง ไม่ค่อยมีเพื่อนหรือไม่มีใครจะพูดด้วย

ผมขอที่จะหนุนใจว่า เราเองจะต้องเป็นผู้ที่เริ่มต้นในการสามัคคีธรรมหรือพูดกับเขาก่อน แล้วเราก็จะพบว่า เราได้รับการตอบสนองจากคนที่เราไปพูดด้วยอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นใบ้ก็ตาม

น่าเสียดายพี่ - น้องที่รักครับ เวลานี้การสามัคคีธรรมตามหลักแห่งคัมภีร์หรือวิญญาณแห่งการสามัคคีธรรมของผู้เชื่อในคริสตจักรยุคแรก ได้จางหายไปจากชีวิตของผู้เชื่อในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญมันได้จางหายไปจากคริสตจักรของพระเจ้าในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้เชื่อหลายคนหรือคริสตจักรหลายที่หลายแห่งกับมุ่งเน้นที่จะไปสามัคคีธรรมกับโลกหรือกับวัตถุ เช่น TV คอมพิวเตอร์มากขึ้นหรือไปสามัคคีธรรมผู้ไม่เชื่อมากขึ้น

พี่ - น้องฟังให้ดีๆนะครับว่า การที่ผู้เชื่อได้กินข้าว ได้ดื่มกาแฟและได้มีโอกาสถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบต่อพี่ - น้องและได้คุยกันอย่างออกรสออกชาตินั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นมิได้หมายความว่า เรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

เหตุเพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำไมครับ ? คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเขาก็ทำกัน เช่นพอพักกลางวันก็จับกลุ่มกัน ใครซี้กับใครหรือสนิทกับใครก็นั่งกินข้าวด้วยกัน ใครสนิทกับใครก็ไปเดินซื้อของโลตัสด้วยกัน นี่ไม่ใช่เป็นการสามัคคีธรรมในฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าต้องการ หรือไม่ใช่เป็นการสามัคคีธรรมอย่างที่พระคัมภีร์ได้สอนเรา และถ้าผู้เชื่อคนใดหรือคริสตจักรไหนทำอย่างนั้นนั่นก็เท่ากับว่า ผู้เชื่อคนนั้นหรือคริสตจักรนั้น ได้ไปลอกแบบการสามัคคีธรรมจากสังคมภายนอก ซึ่งเป็นสังคมของเนื้อหนัง มาใช้กับการสามัคคีธรรมของคริสเตียนซึ่งมันคนละเรื่องเดียวกัน

พี่ - น้องฟังให้ดีๆนะครับว่า การที่ผู้เชื่อมานมัสการพระเจ้าด้วยกันแบบนี้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นการสามัคคีธรรมกับพี่ - น้อง เช่น ในช่วงของการทักทายปราศรัยซึ่งเป็นช่วงที่คริสตจักรฯ ได้เปิดโอกาสให้ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆเท่านั้น พอหลังจากนั้นเป็นอย่างไรครับ

ทุกคนนั่งหันหน้าไปทางนักเทศน์ และก็มองเห็นแต่ด้านหลังของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า พอถึงเวลาเลิกประชุมทานข้าวแล้วกลับบ้าน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่การสามัคคีธรรมตามแบบอย่างที่พระคัมภีร์สอนเราหรือตามอย่างที่พระเจ้าต้องการ

ดังนั้นการสามัคคีธรรมของคริสเตียน ในบริบทที่พระคัมภีร์ใหม่ได้สอนเรานั่นก็คือ

1) การที่ผู้เชื่อนั้นได้แบ่งปันความเชื่อเดียวกัน ความรอดเดียวกัน ประสบการณ์เดียวกันอย่างลึกซึ้ง เช่น เราแบ่งปันเกี่ยวกับความทุกข์ การถูกข่มเหง การถูกเข้าใจผิดเหมือนๆกัน

2 ) การที่ผู้เชื่อนั้นได้พูดคุยกันอย่างลูกแห่งความสว่าง กล่าวคือ ไม่มีหน้ากากแห่งความจอมปลอมหรือการหลอกลวงใดๆ คงเหลือไว้แต่ความจริงใจ สัตย์ซื่อ รักใคร่ เห็นใจ และอื่นๆ เป็นต้น

ดังนั้นคริสเตียนจึงเป็นกลุ่มชน ที่ควรจะมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและควรที่จะสร้างบรรยากาศแห่งการสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อต่อผู้เชื่อด้วยกัน

ดังนั้นการพบกันหรือการชุมนุมกันของคริสตชนจึงแตกต่างจากการพบกันของคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นการสามัคคีธรรมของคริสเตียนจึงมีสิ่งที่อัศจรรย์ และในสิ่งที่อัศจรรย์นั้นก็เกินความคิดของมนุษย์อย่างเรา

ดังนั้นการสามัคคีธรรมของผู้เชื่อในพระเจ้า จึงมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ สังคมหรือชุมชนใดคิดที่จะเลียนแบบนั้นไม่ได้เลย นอกเสียจากสังคมนั้นหรือชุมชนนั้นจะมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

            มีคำกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า คริสเตียนจะต้องไม่เพียงแต่ ยอมเป็นของพระเจ้า เท่านั้นแต่จะต้อง ยอมเป็นของคริสตชน ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า

  1. คริสตชนจะแยกอยู่ตามลำพังไม่ได้ แต่จะต้องสามัคคีธรรมร่วมกันกับพี่ - น้องในพระกายเดียวกัน
  2. คริสเตียนแท้เขาจะไม่แยกตัวเองออกจากการสามัคคีธรรมจากพี่ - น้องเหตุเพราะการอยู่คนเดียวไม่ใช่วิถีชีวิตแห่งการเป็นคริสเตียนและนั่นก็ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย

            คำถามก็คือว่า วันนี้พี่ - น้องได้เข้าสู่การสามัคคีธรรมในฝ่ายจิตวิญญาณกับผู้เชื่อตามหลักของพระคัมภีร์มากน้อยแค่ไหน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 4 พระวจนะของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเรา (สำเนาโบราณบางฉบับมีคำว่า ท่าน) จะได้เต็มเปี่ยม และในยน.15:11 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่คือสิ่งที่เราได้บอกกับท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม

ประการที่ 3 เราพบพระพรของการมีสามัคคีธรรม

            พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมในสวนเอเดน พระเจ้าทรงมีพระทัยหรือพระประสงค์ให้อาดัมได้สามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ อย่างมีสันติสุขและไม่เครียด แต่เป็นเพราะเอวาจงใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า และอาดัมจงใจที่จะไม่ว่ากล่าวตักเตือนภรรยาของตน ทำให้เขาทั้งสองคนทำไมครับ ? ต้องถูกขับให้ออกจากสวนเอเดน ทั้งสองจึงกลายเป็นคนที่ขาดสันติสุขและมีความเครียดต่อการดำเนินชีวิต

            เมื่อท่านและผม ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้ว ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า โดยพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าต้องการให้ท่านและผม ผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้านั้น ได้มีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีผ่านการมีสามัคคีธรรมที่ถูกต้องกับพระองค์ ดังนั้นเมื่อผู้เชื่อมีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้องกับพระเจ้าหรือเมื่อผู้เชื่อได้มีการสามัคคีธรรมภายในที่ลึกๆ กับพระเจ้า

พี่ - น้องฟังให้ดีๆ น๊ะครับ ไม่ว่าผู้เชื่อจะต้องเผชิญกับภาระหรือปัญหาใดก็ตาม จิตใจภายในของผู้เชื่อคนนั้นก็สามารถที่จะชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้เสมอ

เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนเกทเสมนี เมื่อทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระเยซูและได้ช่วยชูกำลังของพระองค์ไว้ สิ่งที่พระเยซูได้ทรงตรัสไว้ในพระกิตติคุณพ้องนั่นก็คือ ลุกขึ้นเถิด ( ลุกในที่นี่คือลุกขึ้นต้อนรับมิใช่ลุกขึ้นหนี ) เพราะผู้ที่จะอายัดเรานั้นมาใกล้แล้ว

พี่ - น้องที่รักครับสันติสุขและความชื่นชมยินดีที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของพระเยซูท่ามกลางวิกฤตของปัญหาหาที่พระเยซูต้องแบกรับอยู่นั้น ได้เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้คนในสมัยนั้นให้เกิดความมั่นใจในการติดตามพระเยซู

เช่นเดียวกับในเวลานี้พี่ - น้องที่รัก ถ้าพี่ - น้องมีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้องและมีการสามัคคีธรรมภายในลึกๆ กับพระเจ้า ไม่ว่าพี่ - น้องกำลังเผชิญกับภาระปัญหาหรือเผชิญกับสิ่งใดอยู่ก็ตาม จิตใจภายในของพี่ - น้องจะมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้เสมอ จนถึงขนาดผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าบางคนอาจจะถามพี่ - น้องด้วยความฉงนใจว่า คุณเผชิญกับปัญหาต่างๆ เหล่านั้นมาได้อย่างไร

ถ้าพี่ - น้อง ได้มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ของคริสตจักร พี่ - น้องก็จะพบว่า ในสมัยที่อาณาจักรโรมันนั้นแข็งแกร่ง รัฐบาลโรมและทหารโรมันนั้นทั้งกดดัน กดขี่และข่มเหงพวกคริสเตียนเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ขังคริสเตียนเอาไว้ในคุกและปล่อยให้ออกมาในสนามกีฬาเพื่อให้เสือสิงห์ได้ขยุ้มและฉีกเนื้อออกมากัดกิน

แต่พี่ - น้องคริสเตียนเหล่านั้น กับเผชิญความตายด้วยการร้องเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณพระเจ้า พวกเขาซึ่งเป็นผู้ชายและเป็นทหารแท้ๆ เขากับไม่สามารถที่จะเผชิญกับความตายได้อย่างนั้น และด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้อาณาจักรโรมมันที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากในขณะนั้น ได้กลับใจมาเชื่อพระเจ้าและได้มีการประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติและประจำเครือจักรภพ

ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับผู้เชื่อทุกคน และผู้เชื่อทุกคนก็สามารถที่จะผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปได้อย่างมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเราได้มอบชีวิตให้กับการสามัคคีธรรมภายในลึกๆ กับพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน ผู้เชื่อที่เป็นผู้หลักและเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ   จึงได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ดังนี้ว่า

คุณภาพของการสามัคคีธรรม วัดด้วยความชื่นชมยินดีเมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิต และนี่คือพระพรแห่งการสามัคคีธรรม

ความจริงก็คือว่า ชีวิตของผู้เชื่อโดยส่วนมาก มักไม่ค่อยได้เป็นอย่างนั้นจริงหรือ

ไม่จริงครับ ?

เหตุเพราะว่าพอมีปัญหาเข้ามา ผู้เชื่อก็มักที่จะขาดสันติสุขหรือขาดความชื่นชมยินดีได้ในทันที ชีวิตของเราจึงไม่ได้เป็นที่ฉงนหรือดูดซับความรู้สึกของใครไม่ค่อยได้เท่าไหร่เลยจริงหรือไม่จริง เหตุเพราะมันเหมือนกันจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน

ดังนั้นขอพระเจ้าช่วยเรา ที่พวกเราจะมีการสามัคคีธรรมภายในลึกอย่างลึกซึ้ง กับพระเจ้า กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อที่เราจะพบกับสันติสุขที่แท้และพบกับชื่นชมยินดีที่แท้จริง    

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 อยู่ในข้อที่ 6 - 7

ประการที่ 4 เราพบอุปสรรคของการสามัคคีธรรม

            พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะสามัคคีธรรมกับอาดัมในสวนเอเดน ซึ่งนั่นหมายความว่า การสามัคคีธรรมนั้นจะต้องอาศัยความร่วมกันทั้งสองฝ่าย แต่การที่อาดัมจงใจไม่เตือนภรรยาของตน จึงเป็นเหตุทำให้เกิดข้อบกพร่องหรือเกิดอุปสรรคนั้นขึ้นมา  

พระวจนะของพระเจ้าในหนังสือ 1ยน.1:6-7 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า การสามัคคีธรรมระหว่างเรากับพระเจ้า และการสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อกับผู้เชื่อด้วยกันนั้นอาจจะมีอุปสรรคปัญหาได้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดและอีกฝ่ายหนึ่งดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง หรือถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นดำเนินชีวิตด้วยการบังเกิดใหม่ และอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมิได้ดำเนินชีวิตด้วยการบังเกิดใหม่ กล่าวคือ

ยังรักอยู่ในการที่จะทำบาป ยังรักอยู่ในชีวิตแบบเดิมๆและถ้าผู้เชื่อคนนั้นนั่งอยู่ในการสามัคคีธรรมของคริสตจักรฯในบ่ายวันนี้โดยมีอัครทูตยอห์นเป็นผู้นำการสามัคคีธรรม พี่ - น้องลองคิดดูว่า ท่านยอห์นจะพูดกับผู้เชื่อคนนั้นว่าอย่างไรว่าอย่างไรครับ ?

คนหน้าซื่อใจคด พระคำของพระเจ้าใน 1ทมธ.4:2 ตรัสดังนี้ว่า ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหกคือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร นี่คืออุปสรรคปัญหาของการสามัคคีธรรม

อย่างไรก็ตามพระวจนะของพระเจ้าใน   1ยน.1:9 ก็ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า

ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงมีพระทัยพระเมตตาในการที่จะให้โอกาสกับเราในการที่เราจะได้เริ่มต้นใหม่กับพระองค์และกับผู้เชื่อด้วยกัน

            อุปสรรคของการสามัคคีธรรมอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การเก็บเนื้อเก็บตัวหรือจำกัดการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อด้วยกัน เช่น คริสตจักรของพระเจ้าในบางที่ บางแห่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่อาจจะเรียกว่า เป็นคริสตจักรของพระเจ้าได้

เหตุเพราะเขาจะสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เช่น ประกอบธุรกิจหรือการค้าเหมือนกัน เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นผู้เชื่อก็จริง แต่ถ้าเราไม่ได้มีธุรกิจหรือมีการค้าเหมือนกับพวกเขา เราก็จะไปเข้าสามัคคีธรรมกับพี่ - น้องเหล่านี้ไม่ได้เลย เหตุเพราะเขาจะสนุกกันเฉพาะพวกเขา แต่คนนอกจะหาโอกาสเข้ามาไม่ได้เลยหรือคนที่เข้ามาร่วมรับพระพรก็รับไม่ได้

            เราต้องไม่ลืมว่า เมื่อพระเยซูทรงตั้งกลุ่มสามัคคีธรรมขึ้นมาโดยมีสาวก 12 คนเป็นสมาชิกของกลุ่ม แต่โดยแท้จริงแล้วพระเยซูไม่เคยปิดกั้นคนอื่นๆในการที่จะเข้ามาร่วมรับพระพรกับกลุ่มสามัคคีธรรมของพระองค์เลย ไม่ว่าจะเป็นศักเคียสคนเก็บภาษี

หรือหญิงโสเภณีหรือแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ   เป็นต้น แถมพระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ทั้ง 12 คนไว้ใน 1ยน.4:21 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่า ให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้สาวกของพระองค์ได้มองดูโลกภายนอกและมองหาคนทั้งโลกเพื่อให้เข้ามาสู่การสามัคคีธรรมนี้ด้วยความดูแลและเอาใจใส่

คำถามคือว่า เวลานี้พี่ - น้องเก็บเนื้อเก็บตัวต่อผู้เชื่อด้วยกันมากน้อยแค่ไหนหรือเราเปิดเผยต่อพี่ - น้องผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อด้วยกันมากน้อยแค่ไหน มีนักเทศน์คนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้ว่า อุปสรรคของการสามัคคีธรรมในหมู่คริสเตียนคือ การที่เรามีพระเยซูอยู่น้อยเกินไปและเรามีตัวเองอยู่มากเกินไป ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า อย่ามีตัวเองมากเกินไป

อุปสรรคของการสามัคคีธรรมอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การยึดถือความรู้สึก ความคิดของตนเองว่าถูกต้องหรือดีกว่าพี่ - น้องคนอื่นๆ พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อเรายึดถือ ความรู้สึกหรือความคิดของตนเองแต่ฝ่ายเดียว แน่นอนคนอื่นเขาก็ไม่อยากที่จะสามัคคีธรรมร่วมกับเราเท่าไหร่นัก

เหตุเพราะเขาอาจจะรู้สึกว่าการแบ่งปันของเขานั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับของสมาชิกภายในกลุ่มสักเท่าไหร่นัก และนานเข้าๆสมาชิกคนนั้นเขาอาจจะกลายเป็น เสาหิน ที่ตั้งตระหง่านเย็นยะเยือกอยู่ภายในกลุ่มสามัคคีธรรมนั้นก็เป็นได้

พระวจนะของพระเจ้าในมก.3:25 ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่า ถ้าครัวเรือนใดๆเกิดแตกแยกกันครัวเรือนนั้นจะตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำกลุ่มในการนำพี่ - น้องสมาชิกเข้าสู่การสามัคคีธรรม ก็จะต้องบริหารการสามัคคีธรรมนั้นด้วยการดูแลและเอาใจใส่ การดูแล เอาใจใส่ ที่ดีที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดในระหว่างที่มีการสามัคคีธรรมอยู่นั้นนั่นก็คือ การที่เรามีความรักของพระเจ้าอยู่ด้วยนั่นเอง คงจะไม่หยุดการแบ่งปันของพี่ - น้องด้วยคำพูดในทำนองที่ว่า พอๆ พอๆ เห็นพูดมาหลายครั้งแล้ว เป็นต้น

สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ

ประการที่ 1 เราพบการสามัคคีธรรมในแนวดิ่ง

ประการที่ 2 เราพบการสามัคคีธรรมในแนวระนาบ

ประการที่ 3 เราพบพระพรของการสามัคคีธรรมร่วมกัน

ประการที่ 4 เราพบอุปสรรคในการสามัคคีธรรม

           

Green City