คำเทศนาเรื่อง ความจริงที่ควรรับไว้
“ข้อความนี้เป็นความจริงซึ่งสมควรแก่การยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา คือพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด และในบรรดาคนบาปข้าพเจ้าเป็นตัวร้ายที่สุด แต่เนื่องด้วย เหตุนี้เองจึงทรงกรุณาข้าพเจ้าผู้เป็นตัวร้ายที่สุดในบรรดาคนบาป เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดกลั้นพระทัยอันไม่จำกัดให้เป็นตัวอย่างแก่คนทั้งปวงที่จะเชื่อในพระองค์และรับชีวิตนิรันดร” (1ทมธ.1:15-16)
พี่น้องและแขกผู้มีเกียรติที่เคารพรักทุกท่านครับ ความยิ่งใหญ่และคุณค่าของเทศกาลวันคริสต์มาส ไม่ได้วัดที่ความอลังการของงาน ไม่ได้วัดถึงความไพเราะของเสียงเพลง ไม่ใช่ความซาบซึ้งในพิธีกรรมต่างๆที่ได้จัดขึ้น หรือแม้กระทั่งคำเทศนาที่ซาบซึ้งตรึงใจของนักเทศน์ทั้งหลาย
ความจริงสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วเป็นองค์ประกอบที่มีคุณค่า เพียงแต่ว่ามันยืนบนตนเองไม่ได้
คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะมองดูเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่มีคุณค่านั้น เราจะมองดูกันที่ตรงไหน
คำตอบก็คือ เราจะมองดูที่ผลกระทบที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์ผู้เป็นหัวใจของคริสต์มาสกับผู้ที่เชื่อคนนั้นต่างหากที่จะทำให้เขาเข้าสู่การเฉลิมฉลองวันคริสตมาสได้อย่างมีคุณค่า
บุคคลหรือผู้เชื่อที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งกับพระเจ้ามากเท่าใด เขาก็จะเข้าใจและเข้าถึงการฉลองคริสต์มาสที่มีความหมายมากเท่านั้น
คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงในเครือเซ็นทรัลพัฒนาเขามีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า เขาจึงเข้าใจและเข้าถึงการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่มีความหมายมากเท่านั้น
เขาสั่งให้ลูกน้องตบแต่งสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นห้าง Central , Hotel รวมถึงบริษัทในเครือ Central พัฒนาเขาสั่งให้ลูกน้องตบแต่งสถานที่อย่างดี
ประสบการณ์ที่ คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ มีกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทำให้เขาสร้างคุณค่าในการเฉลิมฉลองไม่ใช่เพียงแค่การตกแต่งสถานที่เฉพาะในทางธุรกิจเท่านั้นแต่รวมถึงที่บ้านของเขาด้วย อีกทั้งเขาให้คุณค่ากับเสียงเพลง เสียงดนตรีและในสิ่งที่เขาจัดขึ้นด้วย
เราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า บอกว่าตัวเองเป็นผู้ติดตามพระเจ้าหรือเป็นคริสเตียน เป็นพยานกับคนอื่นว่าเราเป็นผู้ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า เราเคยพาตัวเอง พาที่พักอาศัยหรือคริสตจักรที่ท่านเข้าร่วมประชุมอยู่ในเวลานี้เข้าสู่การเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้อย่างมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน ?
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่าวมกันเราพบอะไร ?
เราพบคำพยานหรือเราพบประสบการณ์ชีวิตของบุคคลสำคัญคนหนึ่ง คนนั้นชื่อว่า เซาโล ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเปาโล
อ.เปาโล เขาได้พูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาว่าภายหลังจากที่เขานั้นได้ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้วว่าอย่างไรครับ ?
อ.เปาโล พูดว่า ในอดีตเขาเป็นตัวเอ้หรือเป็นตัวการสำคัญในการมีส่วนฆ่าผู้ที่เชื่อถือในองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาก่อนแต่เมื่อเขาได้มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้วทำให้วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไป จากผู้ที่มีส่วนสำคัญในการฆ่าผู้ที่เชื่อถือในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า บัดนี้เขากับกลาย
1.เป็นบุคคลที่ยอมพลีชีพในการประกาศเรื่องพระเยซู
2.เป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่อผดุงคุณธรรม และสร้างบรรทัดฐานการดำเนินชีวิตทั้งด้วยคำสอนและแบบอย่างการประพฤติที่เป็นอมตะแห่งมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยครับพี่น้องที่รักว่า ทำไมท่าน อ.เปาโล จึงได้กลายเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่จนทำให้พระคริสตธรรมคัมภีร์ถึงได้มีการบันทึกเรื่องราวของท่าน อ.เปาโล เอาไว้
อ.เปาโล เขาเป็นพยานว่า เมื่อเขามาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว เขาได้รับประสบการณ์และเขาได้ลิ้มรสในสิ่งที่โลกนี้ไม่สามารถให้กับเขาได้เลยเพราะพระพรดังกล่าวมีอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น
พี่น้องที่รักครับ ผลกระทบที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตดังกล่าว มันไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่ชื่อว่าเซาโลหรือเปาโลเท่านั้น แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้กับพวกเราทุกๆคนที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง
จากประสบการณ์ของท่านอาจารย์เปาโล มีสารธรรมสำคัญอะไรบ้าง
ประการที่ I. เรื่องจริงที่ไม่ควรปฏิเสธว่ามนุษย์นั้นเป็นคนบาป
พี่น้องที่รักครับ ในโลกใบนี้เรามีความจริงหลายเรื่องนะครับที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง และความจริงเหล่านั้นช่วยให้เราหลุดพ้นจากความงมงาย ความเขลา
Ex.ครั้งหนึ่งคนเราเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาจากลิง โรงเรียนทั้งหมดที่โลกใบนี้มีก็พากันสอนต่อๆกันมาว่า มนุษย์เกิดมาจากลิง จนกระทั่งมีผู้หนึ่งพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากลิง
Ex.ครั้งหนึ่งคนเราเชื่อว่า โลกแบน จนกระทั่งมีผู้หนึ่งพิสูจน์ได้ว่า โลกกลม ทำให้ความกลัวว่าการแล่นเรือจะตกขอบก็หมดไป
Ex.ครั้งหนึ่งคนเคยเชื่อว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้พิสูจน์ได้ว่า โลกต่างหากที่หมุนรอบดวงอาทิตย์
การพิสูจน์ความจริงได้ช่วยให้มนุษย์นั้นได้เดินออกจากเหตุผลที่ผิดๆหรือเดินออกจากความเชื่อที่ผิดๆซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้มันส่งผลทางลบแก่ชีวิตของเราทั้งในวันนี้ วันหน้าและในอนาคตซึ่งผมหมายถึงชีวิตหลังความตายด้วย
พระคัมภีร์พูดถึงความจริงที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรรับ นั่นคือ มนุษย์เป็นคนบาปและช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาปนี้ด้วยตนเองไม่ได้
บางคนถามว่า มนุษย์ที่เกิดมาวันแรกยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยบาปเลยหรือ ? คำตอบคือ ถูกต้อง เป็นความบาปที่เขาไม่ได้กระทำแต่ อาดำ-เอวาซึ่งเปรียบเสมือนพ่อ-แม่ของมวลมนุษย์ชาติของโลกได้เป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงได้รับสายเลือดบาปของอาดำ-เอวา มาด้วย
เศรษฐกิจในช่วง 4-5 ปีนี้ดีไหมครับ ? ใครทำ การเมืองทำ
แล้วประชาชนต่างได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมาจนถึงในเวลานี้ด้วยไหมครับ ? นี่เป็นความจริงที่เราปฎิเสธไม่ได้
พ่อแม่ที่ดีเขาจะดูแลเอาใจใส่ในการสั่งสอนลูกดีหรือไม่ดีครับ ? แต่ทำไมพอลูกกลับมาจากโรงเรียนแล้วพูดคำว่า “เหี้ยม”
คำถามคือว่า พ่อ-แม่ ผู้ปกครองส่งเขาเข้าไปในโรงเรียนที่สอนการทำบาปใช่หรือไม่ ? แต่ทำไมผลมันถึงออกมาอย่างนี้ล่ะ
เพราะมนุษย์ทุกคนมีสายเลือดบาป ดังนั้นเราต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ก่อน เหมือนอย่างที่ท่าน อ.เปาโล ได้ยอมรับว่า “ในบรรดาคนบาปข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้” (หรือตัวร้ายที่สุด)
หลายคนปฎิเสธความจริงนี้ ซึ่งแต่ก่อนท่าน อ.เปาโล ก็ไม่ยอมรับในเรื่องนี้มาก่อนเพราะเขาเป็นคนที่ถือและรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าได้อย่างเคร่งครัดมาก
แต่เมื่อท่าน อ.เปาโล ได้มารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว อ.เปาโล บอกเลยว่า การปฏิเสธความจริงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป เหมือนคนเป็นโรคมะเร็งร้ายแต่ปฏิเสธว่าไม่เป็น การปฏิเสธดังกล่าวทำให้มะเร็งร้ายแห่งความบาปได้กัดกินและทำลายศักยภาพแห่งความเป็นเลิศในมนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย
พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ไม่ว่าบาปอยู่ที่ใดที่นั่นมีแต่ความเดือดร้อน สร้างความเสียหาย มันทำลายครอบครัว ระบบความยุติธรรม สันติสุข และฯลฯ พระคัมภีร์จึงกล่าวเอาไว้ว่า “ทุกคนทำบาปและขาดการถวายเกียรติแด่พระเจ้า”
ประการที่ II. เรื่องจริงที่เราควรรู้คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วย
วันคริสต์มาส คือ วันที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า เป็นพระผู้สร้างในทุกๆสรรพสิ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย พระองค์ได้เสด็จเข้ามาในโลกที่พระองค์ทรงสร้างในสภาพกายมนุษย์
และเสด็จเข้ามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาจากพระหัตถ์มือของพระองค์
คำถามคือว่า พระองค์ทำเช่นนี้ทำไม ? คำตอบก็คือว่าพระองค์เสด็จมาด้วยภารกิจใหญ่ๆอย่างน้อย 3 ประการ
ประการ 2.1 ให้มนุษย์ได้รู้จักว่าพระเจ้าที่เที่ยงแท้นั้นพระองค์ทรงเป็นใคร เป็นผู้ใด มีลักษณะอย่างไร ?
ในการทรงสร้างของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก.เมื่อพระเจ้าทรงตรัส สิ่งต่างๆเหล่านั้นบังเกิดขึ้นมาไหมครับ ?
ในพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัส Ex.คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยที่มาหาพระองค์ทุกคนล้วนหายดีถ้วนหน้าไหมครับ ? 100%
สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นแปลว่า สิ่งนั้นมีจริง นรก สวรรค์มีจริงสิ่งที่พระเจ้าตรัสแปลว่า พระเจ้าทำได้ พระองค์จะนำเฉพาะผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้นให้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระองค์
ประการที่ 2.1 ให้มนุษย์ได้รู้ความจริงว่า มนุษย์ตามแบบพระฉายของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร ? หลายคนชอบถามว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร ? พี่น้องตอบไปได้เลยว่ามีเนื้อหนังมังสาเหมือนเราเนี่ยแหละ แต่สาระสำคัญอยู่ตรงที่ผู้เชื่อทุกคนต่างมีหน้าที่ๆสะท้อนถึงสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้าและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการเอาไว้เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว
ประการที่ 2.3 ถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญในภารกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า นั่นก็คือ ช่วยกอบกู้มนุษย์ ให้พ้นจากความหายนะจากมะเร็งร้ายแห่งบาปที่กัดกินภายในชีวิตมนุษย์โดยมาพลีชีวิตใช้หนี้ความผิดบาปแทนเราเพื่อไม่ให้เราต้องถูกพิพากษาหรือต้องมีชีวิตที่พินาศตกอยู่ในบึงไฟนรก ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับชีวิตหลังความตายของมนุษย์ทุกคนอย่างแน่นอน
ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทำภารกิจทั้ง 3 ประการที่ได้กล่าวมาเมื่อครู่นี้ครบถ้วนแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องส่วนตัวของเราแต่ละคนว่าจะตอบรับหรือจะตอบปฏิเสธในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงมอบให้กับเราเอาไว้แล้ว
III. เรื่องจริงที่ควรรับไว้นั่นคือรับความรอดและชีวิตนิรันดร
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้สวมใส่สภาพกายมนุษย์ชั่วคราวไว้เพียง 33 ปี โดยใน 33 ปีนั้นพระองค์ทรงใช้เวลาประมาณเพียง 3 ปี ต่อสาธารณชน ผ่านการออกเทศนา สั่งสอนสัจธรรม แห่งชีวิตให้คนทั้งหลายได้เรียนรู้จักพระเจ้า รวมถึงทรงสำแดงพระคุณของพระเจ้าผ่านการอันอัศจรรย์อย่างมากมาย
Ex.คนที่ถูกวิญญาณชั่วรบกวนถูกขับผีออก คนป่วยได้รับการรักษาให้หายดี คนที่หิวโหยได้รับการเลี้ยงดู คนโศกเศร้าได้รับการปลอบประโลมจิตใจ คนบาปได้รับชีวิตใหม่ คนสิ้นหวังได้พบกับแสงสว่างแห่งชีวิต
ภายหลังจากนั้นพวกฟาริสี ซึ่งคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ชอบธรรม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนอธรรมเพราะเขามีใจที่อิจฉาพระองค์และต้องการที่กำจัดองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยการตรึงบนไม้กางเขน ภายหลังจากนั้นเขาเอาพระเยซูไปฝังไว้และวันที่ 3 องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตาย ซึ่งนั่นเป็นอันว่าภารกิจในช่วยกู้มนุษย์ได้เสร็จสิ้นแล้ว
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ดังนี้ว่า ผู้ที่เชื่อด้วยใจและต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยปากของเขา เขาจะได้รับความรอดหรือชีวิตนิรันดร์
ความรอดที่ว่านี้ คือ ชีวิตที่หลุดพ้นจากบาปกรรมจากในอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ในสมัยของอาดำ-เอวา อีกทั้งเขาจะได้รับชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่เกิดขึ้นภายหลังจากการที่เขาได้รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ชีวิตใหม่เป็นชีวิตที่เกิดขึ้นจากภายใน เป็นชีวิตที่มาจากเบื้องบนจึงทำให้เราสามารถที่จะเอาชนะความบาปในปัจจุบันได้
คริสตมาสคือวันที่พระเจ้าทรงเตรียมชีวิตนิรันดร์เอาไว้ให้กับเรา เราล่ะได้เตรียมที่จะรับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์มากน้อยแค่ไหน
พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะได้จัดเตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเราแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ ไม่ต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตเราก็จะพลาดประสบการณ์อัศจรรย์อย่างน่าเสียดาย
มีใครไหมในเช้าวันนี้ที่ปรารถนาที่จะต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้ามาในชีวิตเพื่อต้องการได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ? ให้ท่านได้ยกมือขึ้นมา
มีใครไหมต้องการที่จะให้องค์พระคริสต์เจ้าช่วยท่านปลดปล่อยออกจากภาระปัญหา ? ให้ท่านได้ยกมือขึ้นมา
มีใครไหมที่ลูกสึกว่าชีวิตนี้ขาดสันติสุข ความชื่นชมยินดี ความรอยยิ้มเสียงหัวเราะ ขาดความเปรมปรีด์ในหัวใจ ? ให้ท่านได้ยกมือขึ้นมา