ความจริงที่คริสตชน คริสตจักรละเลย หลงลืมและรู้อย่างหละหลวม

คำเทศนาเรื่อง

ความจริงที่คริสตชน คริสตจักรละเลย หลงลืมและรู้อย่างหละหลวม

    

คำนำ

            คำเทศนาในวันนี้อาจถือได้ว่าเป็นคำเทศนากัณฑ์แรกของเรื่องที่สำคัญของชีวิตคริสเตียน เพราะเหตุที่ต้องนำเรื่องนี้มาเทศนาก็เพราะว่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ดูจะเป็นเรื่องที่คริสตชนจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยมีความรู้ และคริสตชนที่รู้ก็อาจจะสับสนในความรู้นั้น เพราะในยุคนี้คริสตจักรในประเทศไทยถูกสอนในเรื่องที่สำคัญนี้หลายรูปแบบเหลือเกิน

และในบรรดาเรื่องที่สอนกันในชั้นรวี ของคริสตจักรต่างๆก็ดูเหมือนว่า เรื่องของพระวิญญาณจะสอนกันน้อยเต็มที ในบรรดาหลักคำสอนและหลักข้อเชื่อของคริสเตียนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ มักจะถูกกล่าวถึงนานๆครั้ง บางคริสตจักรกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์เฉพาะในบทเพลงแห่งชีวิตคริสเตียนตอนที่สมาชิกร้องเพลง หรือไม่ก็ตอนศิษยาภิบาลอธิษฐานปิดการนมัสการ เช่น “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ก็อาจเป็นด้านที่คริสตชนและคริสตจักรแสดงความไม่สนใจเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ความจริงใดๆก็ย่อมมี 2 ด้านเสมอ ที่กล่าวมาแล้วก็เป็นแต่ด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกด้านหนึ่งที่เราควรทราบด้วยคือ ในระยะเวลาไม่นานมานี้ คริสตจักรทั่วโลกรวมทั้งบางคริสตจักรในประเทศไทยได้พูด และสอนเรื่องพระวิญญาณกันมาก

มีคริสตชนจำนวนไม่น้อยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น มีปรากฏฝ่ายวิญญาณครั้งใหญ่เกิดขึ้นไม่น้อย ซึ่งคริสตชนบางคนเข้าใจว่า เกิดจากการทำงานของพระวิญญาณที่โน้นบ้างที่นี่บ้าง ในเมืองไทยก็เกิดเร็วๆนี้ 2 ครั้ง 5 ปีที่แล้ว

ก็มีครั้งหนึ่งกล่าวคือ มีคริสเตียนจากต่างประเทศได้มาจัดประกาศฟื้นฟูในประเทศไทย และมีคริสเตียนบางคนได้เข้าไปรับการอบรมที่คริสตจักรวินยาร์ดที่ประเทศคานาดา และเมื่อหลายปีที่แล้ว ศจ.ดร.โช ยองกี มาฟื้นฟูในประเทศไทย คริสเตียนจำนวนมากก็ได้พระพรและมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประสบการณ์นี้ยังเกิดขึ้นเป็นส่วนตัวกับคริสตชนตามโบสถ์ต่างๆ ทำให้การนมัสการของคริสตชนคนนั้นหรือคริสตจักรนั้นๆมีชีวิตชีวา การสามัคคีธรรมก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น การอธิษฐานก็ดูมีพลัง และการเป็นพยานก็เกิดผลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้คริสตชนจำนวนไม่น้อยกลับมาสนใจในพระวิญญาณและพระราชกิจของพระองค์มากขึ้น

จนทำให้เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกสอน และถูกเขียนเป็นตำรามากขึ้น และเท่าที่ผมสังเกตดู สิ่งที่สอนกันและเขียนกันมักจะเน้นพระวิญญาณอยู่ด้านเดียว กล่าวคือ บางคนเข้าใจว่า พระวิญญาณนั้นจะทำงานด้านอัศจรรย์เท่านั้น แต่ผมอยากเตือนว่า งานหลักของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ งานสร้างชีวิตคริสเตียน สร้างคุณธรรม จริยธรรม และสร้างชีวิตของพระคริสต์ในตัวคนที่บังเกิดใหม่ หาใช่สร้างการอัศจรรย์เป็นหลักไม่

คริสเตียนที่มีชื่อเสียงของโลกและมีชีวิตที่ดีงามในอดีต มักจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ ผมสังเกตว่าคริสตชนสมัยนี้มักจะสนใจของประทานฝ่ายวิญญาณมากกว่าผลของพระวิญญาณ อันนี้จะจริงหรือไม่ก็ขอให้ท่านผู้อ่านลองได้ช่วยผมพิจารณาด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นแต่ข้อสังเกตของผมคนเดียวเท่านั้น

            เมื่อเรามาศึกษาเรื่องเช่นนี้ เราต้องระมัดระวังให้มาก เพราะจะทำให้คริสตจักรตกขอบไปใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือ คริสตจักรที่ภูมิใจในระเบียบนมัสการแบบที่มีพิธีรีตองวางไว้อย่างประณีตทุกขั้น โดยไม่สนใจงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการนมัสการ กับประเด็นที่สอง คือ คริสตจักรที่ให้ความสำคัญกับการแสดงตามอารมณ์เร้าในสถานนมัสการ โดยถือว่าทุกอารมณ์เป็นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

            เพราะฉะนั้นการศึกษาในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่คริสตชนจะต้องจะต้องพิจารณาคำสอนจากพระคำ เพื่อให้พระคำกำหนดกรอบคิดให้เรา ส่วนประสบการณ์ส่วนตัวใดๆที่ออกนอกกรอบพระคำ เราจะเอามาทำเป็นกรอบคำสอนอันเป็นมาตรฐานไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์ เช่น 1 คร.12 ตอนต้น เช่น V.2 พระคำใช้คำว่า “ชักนำ” (carried away) เช่น นาดับกับอาบีฮู ถูกชักนำไปด้วยไฟ (Strange fire) ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า (Lev3:10) พระคัมภีร์สอนให้เราทดสอบวิญญาณว่าเป็นมาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะมีวิญญาณในโลกที่ไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้าเช่นกัน

            เราคงเห็นแล้วว่า มีคนจำนวนมากไปงานฟื้นฟู แต่ชีวิตไม่เคยฟื้นก็มี เรื่องนี้มีความจริงอยู่ว่ายิ่งหลักคำสอนที่เกี่ยวข้องกับฤทธานุภาพของพระเจ้ามีมากเท่าใดมักมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เช่น หลักคำสอนว่าด้วยการเสด็จมาครั้งที่ 2 และหลักคำสอนว่าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นต้น

            คริสตชนไม่ควรกลัวคำสอนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เรื่องนี้จะถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ ในอดีตโดยผู้นำบางคน เราจึงต้องเรียนรู้จากพระคำเพื่อจะเข้าใจว่าความถูกต้องว่ามันอยู่ตรงไหน ผมจึงอยากจะนำเราไปศึกษาเรื่องนี้ คริสตชนจำนวนไม่น้อยอาจขาดความอิ่มเอมใจอย่างมาก ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ เราเชื่อเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆตามที่เราพูดว่า เราเชื่อหรือไม่ บางคนเชื่อหลักคำสอนที่หัวสมองแต่ไม่เชื่อที่หัวใจก็มีเรื่องนี้ก็เช่นกัน

คริสตชนบางคนไม่รู้เรื่องพระวิญญาณและกิจของพระองค์เอาเสียเลย ดังคำพูดของคริสเตียนกลุ่มหนึ่งในกิจการว่า “เรื่องพระวิญญาณผมไม่เคยรู้เลย” (กิจการ 19) “เมื่อตอนคุณเชื่อ คุณรับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือยัง” (Did you receive when you believed?) KJV“หลังจากคุณเชื่อแล้วคุณรับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือยัง” (Have you received since you believe) อันนี้เป็นการแปลผิดและทำให้เกิดความเข้าใจผิด

คริสเตียนบางคนถึงเอาข้อนี้มาเป็นข้ออ้างว่า พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่า เราต้องรับพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังเป็นคริสเตียนแล้วอีก 1 ครั้ง แต่เมื่อสังเกตจากภาษากรีกจะใช้ว่า “Did you receive when you believed?” ไม่ใช่การแปล KJV เพราะจากบริบทคนกลุ่มนั้นที่เปาโลถามยังไม่ใช่คริสเตียน เขาเป็นสาวกของ ยอห์น บัพติสโต เท่านั้น

            การที่คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้วจะมารับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกดูจะไม่ใช่คำสอนในพระคัมภีร์ ส่วนจะรับฤทธิ์เดช รับการเจิมโดยพระวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้ เปาโลถามคำถามดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาชีวิตของสาวกพวกนี้แล้วขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป เพราะเมื่อท่านเปรียบชีวิตของพวกนี้กับของคริสเตียนโดยเฉลี่ยในยุคนั้นแล้ว ท่านเห็นว่ามีอะไรต่างกันอยู่ คำตอบที่พวกนั้นตอบทำให้เปาโลแปลกใจคือ เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยรู้เลยเรื่อง พระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่เคยได้ยินเลย”

คริสเตียนสมัยนี้บางคนก็เหมือนสาวกพา ยอห์น ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย เขาดำรงชีวิต ทำงาน นมัสการ ประหนึ่งว่า ไม่เคยรู้ไม่เคยฟังเรื่องนี้เลย บางคนเคยได้ยินแต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าพระคัมภีร์สอนว่าอย่างไร เราควรสนใจคำสอนนี้ถ้าเราพลาดเราจะไม่รู้เรื่องและสับสนในด้านต่างๆของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนเกิดการตกขอบในชีวิตและในคริสตจักรได้

            A.พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล

            เราคงเคยได้ยินหรือได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นไฟบ้าง เป็นพายุบ้าง เป็นลมปราณบ้าง แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้หาใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ ที่เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนกับเลือดและเนื้อของพระเยซูหาใช่เป็นขนมปังและเหล้าองุ่นไม่ แต่ทั้งขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นเป็นแต่สัญลักษณ์เล็งถึงพระเยซู

            นอกจากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์หาใช่เป็น ไอควัน ไฟ พลังงาน อำนาจ หรือ บรรยากาศไม่ กล่าวคือ อะไรก็ตามที่ไม่ได้มีลักษณะของบุคคลหาใช่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ เหตุที่คริสตชนบางคนเข้าใจว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไฟ พลังงาน อำนาจ ฤทธิ์เดช ก็เพื่อว่าเขาต้องการรับอำนาจ จับพลังงาน จับฤทธิ์เดช เข้ามาใส่ในตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอำนาจอย่างมากและมีฤทธิ์เดชอย่างยิ่ง แต่พระองค์หาใช่เป็นอำนาจและเป็นฤทธิ์เดชไม่ พระคัมภีร์สอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และมีสภาวะเป็นบุคคล

บางคนเป็นเอามากยิ่งกว่าที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ คริสตชนบางคนเชื่อว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของเหลว เหตุที่เขาต้องคิดเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่า เขาต้องการไขก๊อกให้พระวิญญาณไหลลื่นเข้ามาในตัวเขาให้มากที่สุด แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์หาใช่ของแข็ง ของเหลว อำนาจ หรือฤทธิ์เดชไม่ พระองค์เป็นพระเจ้า และมีสภาวะเป็นบุคคล เมื่อพระองค์มีสภาวะเป็นบุคคลแล้ว เมื่อคริสตชนมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัว เขาจะมีพระองค์น้อย หรือมีพระองค์มากได้หรือ เมื่อกลับใจบังเกิดใหม่คริสตชนทุกคนก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และคริสตชนอยากมีพระองค์มากขึ้น เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นไม่ได้ เพราะพระวิญญาณเป็นบุคคล แต่ถ้าคริสตชนเหล่านั้นพูดจากความรู้สึกในตัว ที่ปรารถนาจะได้รับฤทธิ์เดชเพื่อให้เขาเป็นพยานอย่างเกิดผลก็พอเข้าใจได้

แต่ถ้าพูดกันตามหลักพระคัมภีร์แล้วยังไม่ถูกนัก เหตุที่เราบางคนคิดจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นก็อาจเป็นไปได้ว่า คนนั้นต้องการอำนาจ ฤทธิ์เดช เขาต้องการเป็นคริสเตียนที่มีอำนาจ มีฤทธิ์เดช มีอิทธิพลต่อคนอื่นๆ ในด้านฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้าพิจารณาตามจิตใจที่ปรารถนาก็พอเข้าใจได้

            แต่ถ้าเรารู้ความจริงว่า พระองค์เป็นบุคคลแล้วไซร้ เราจะใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เลย พระองค์ปรารถนาจะใช้เรามากกว่า และเราจะเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปใช้ทำอะไรต่างๆนานาก็ไม่ได้เลย คริสตชนยุคแรกไม่เคยคิดเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปใช้ทำอะไรเลย ว่าไปแล้ว เราจะไม่ได้พระองค์มากขึ้น พระองค์ต่างหากควรจะได้เรามากขึ้น

            หลักฐานที่พอจะพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นบุคคลก็เล็งถึงพระเยซูมีปรากฏในพระคัมภีร์มากมาย กล่าวคือ พระเยซูทรงใช้สรรพนามเรียก พระวิญญาณฯว่า “พระองค์” หรือ “He” เช่น พระองค์จะสอนท่าน พระองค์จะนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์สถิตภายในท่าน พระองค์จะนำเกียรติมาสู่เรา พระองค์จะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าว

            อีกประการหนึ่งก็คือ พระคัมภีร์สอนว่า อย่าให้เราทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย เราจะไปทำให้อำนาจ พลังงาน เสียใจไม่ได้ ผู้ที่มีสภาพหรือสภาวะเป็นบุคคลเท่านั้นที่เสียใจได้ และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “เขาโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 5) เราจะไปโกหกพลังงาน อำนาจไม่ได้ เราโกหกได้เฉพาะบุคคลเท่านั้น

            นอกจากนั้นถ้าเราจะดูคำกริยาที่ใช้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์เราก็จะพบว่า มีคำสอนว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ พระองค์ทรงเข้าใจ พระวิญญาณทรงสอน พระวิญญาณทรงเป็นพยาน พระองค์ทรงกระตุ้น กริยาพวกนี้บ่งบอกว่า พระองค์ต้องเป็นบุคคล

            B.พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า

            พระวิญญาณบริสุทธิ์หาใช่ทรงมีสภาวะเป็นบุคคลเฉยๆไม่ แต่ทรงเป็นพระเจ้าด้วย อันนี้ทำให้เราเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เพราะพระองค์ทรงมีสภาวะเป็นบุคคล และเป็นพระเจ้าในเวลาเดียวกัน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเหมือนพระบิดา และทรงเป็นพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้า เหมือนพระบุตร ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระวิญญาณบิสุทธิ์ไม่ได้เกิดในวันเพ็นเทคอสต์อย่างที่บางคนเข้าใจ และพระวิญญาณบริสุทธิ์มีสภาพนิรันดร์ เหมือนพระบิดาทรงเป็นนิรันดร์ เหมือนพระบุตรที่เป็นนิรันดร์ ฮีบรู 9:14 สอนว่า “พระวิญญาณนิรันดร์”

            อีกประการหนึ่ง เราจะพบว่า ทั้งพระคัมภีร์เดิมและใหม่ก็ยืนยันเช่นนั้น ปฐมกาล 1:2 ข ทรงร่วมสร้างโลก “พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น” พระองค์ดลใจผู้เผยพระวจนะ พระองค์ให้กำลังแก่กิเดโอน พระองค์ให้สติปัญญาแก่โซโลมอน พระองค์ให้ความสามารถแก่แซมสัน พระองค์ตรัสผ่านดาวิด และพระคัมภีร์ใหม่ก็สอนไว้ใน กิจการ 5:3 ว่า อานาเนียและสัฟฟีราโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์และวลีต่อไปอธิบายว่า เขาทั้งสองโกหกพระเจ้า มีนักศาสนศาสตร์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงประทานสิ่งสุดท้ายแก่มนุษย์ คือ พระบุตรและให้ชีวิตของพระองค์แก่มนุษย์ คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            พระเยซูเองก็ทรงยืนยัน เพราะพระองค์เองสอนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ในยอห์น 14 และ 16 และสิ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในบริบทของพระธรรมยอห์น ก็คือ เมื่อเราอ่านบริบทในยอห์น บรรยากาศของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ความรัก ความสงบ ความสุข การหายเหนื่อย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาหาเรา บรรยากาศน่าจะเป็นความสงบ ความสุข การหายเหนื่อย ถูกไหมครับ ชีวิตในพระวิญญาณบริสุทธิ์ควรเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความพักสงบ สันติสุข การหายเหนื่อย และการเสียสละชีวิตของตนให้คนอื่นมากกว่าบรรยากาศที่ต้องมีเสียงดัง ความวุ่นวาย อึกทึกครึกโครม ตกใจ ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เช่น จ้องจะเอาอะไรบางอย่างมาเป็นของตนเครียด และความรู้สึกที่ต้องพิชิตอะไรสักอย่าง บรรยากาศของพระวิญญาณบริสุทธิ์ควรเป็นอย่างไรกันแน่ พระเยซูตรัสว่า พระองค์เป็นผู้เล้าโลม และทรงเป็นผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งที่เหมือนพระเยซู

            C.พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์อีกรูปแบบหนึ่ง

            ในยอห์น 14:16 ภาษากรีกใช้คำว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็น “พาราครีต (paraclete)” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า “another helper” ภาษาไทยแปลว่า “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” คำนี้ไม่ปรากฏในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ นอกจากพระธรรมยอห์น คำว่า พาราครีต มีความหมายได้ 2 ประการ คือ “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งที่เหมือนกัน” กับ “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งที่ต่างกัน” แต่พระคริสต์ตรัสใช้คำนี้ในความหมายที่ว่า พระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งที่เหมือนกันกับพระองค์ทุกประการมาให้แก่เรา แต่ถึงกระนั้นความจริงนี้ก็อาจไม่ได้เข้าไปในใจของคริสเตียนบางคน เพราะบางคนยกพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สูงกว่าพระเยซูคริสต์ทุกครั้งที่เขาดำรงชีวิตหรือพูดหรือปฏิบัติงาน เขาจะพูดกับพระวิญญาณประหนึ่งว่าสูงกว่าพระเยซู ดีกว่าพระเยซู แน่กว่าพระเยซู โปรดอย่าลืมว่า พระเยซูเองเป็นผู้ตรัสว่า “เราจะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน” ซึ่งเหมือนกับพระองค์ทุกประการ

            พี่น้องที่รัก ใครก็ตามที่มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำให้คนนั้นมีอำนาจเกินเลยพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเน้นพระเยซูเสมอไป เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ พระเยซูอีกรูปแบบหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราให้สนใจพระเยซู ยกย่องพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ตรัสถึงพระองค์เอง ไม่ยกย่องพระองค์เอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะยกย่องและให้เกียรติพระเยซูเสมอไป และพระองค์จะเป็นพยานถึงพระเยซูด้วย

            ผมขอยกตัวอย่างสักเล็กน้อย เวลาเราใช้กล้องดูดวงดาวในท้องฟ้า เมื่อกล้องช่วยให้เราเห็นดาวที่สวยงาม เราจะไม่อุทานว่า “โอ้โฮ กล้องสวยจัง” แต่เรามักอุทานว่า “โอ้โฮ ดาวดวงนั้นสวยแท้” ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำหน้าที่ส่องให้เราเห็นความงามของพระเยซู แต่ถึงกระนั้นก็มีคริสตชนหลายคน พูดว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ยอดมาก” แทนที่จะพูดว่า “พระเยซูประเสริฐเหลือเกิน” อย่าลืมว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ดึงคนมาหาพระองค์ แต่จะนำคนไปหาพระเยซู คนที่เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่พูดถึงตัวเองแต่จะยกย่องให้เกียรติพระเยซู จะไม่ทำตัวเองให้ใครมาสนใจ พระวิญญาณไม่ชอบโชว์ตัวเอง แต่จะฉวยความสนใจคนให้ไปที่พระเยซู ตรงนี้เป็นตัววัดอย่างดีว่า ชีวิตคริสเตียนสะท้อนตัวเอง ประสบการณ์ของตัวเอง ฤทธิ์อำนาจของตัวเอง อัศจรรย์ของตนที่ทำหรือสะท้อนพระเยซู ดร.จอห์น สต๊อท นักอรรถาธิบายพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า ให้เราสังเกตดูการเป็นพยานของคริสเตียนให้ดี การเป็นพยานที่ดีก็คือ การขึ้นมาเล่าให้ที่ประชุมฟังว่า พระเยซูทรงดีต่อเขาอย่างไร แต่บางคนขึ้นมาเล่าอัตราประวัติของตัวเองโดยแท้ ไม่ได้เล่าถึงพระเยซูเลย อันนี้ไมควรเรียกว่าเป็นพยาน

            จากหลักของพระคัมภีร์และจากเหตุผลข้างต้น คริสตจักรที่แท้สมาชิกจะไม่พูดถึงศิษยาภิบาลของตนเองว่าเก่ง หรือดีเลิศประเสริฐเพียงใด คริสตจักรที่แท้สมาชิกจะไม่พูดถึงคนใดๆ ในคริสตจักรมากเกินไป คริสตจักรที่แท้สมาชิกจะพูดถึงพระเยซู เพราะความดีงามทุกอย่างของมนุษย์ในคริสตจักรมาจากพระเยซู พระวิญญาณคือพระเยซูในอีกรูปแบบหนึ่ง ความจริงนี้เราต้องไม่ลืม

            ข้อพิสูจน์อีกข้อหนึ่งปรากฏอยู่ใน ยอห์น 14:16,18,19 และ 20 พระองค์ตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา...” ให้สังเกตดูตรงนี้ให้ดี หลังจากประโยคนี้ไปแล้ว ให้เราลองนับคำว่า “เรา” ดู จะมีแต่คำว่า “เรา”“เรา”“เรา” อยู่มาก ซึ่งแสดงว่า การเสด็จมาของผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น พระองค์เสด็จมาทำหน้าที่แทนพระเยซู เราอาจพูดได้ว่า พระเยซูแลกสภาพที่เห็นได้ทางกายกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระเยซูแต่มองไม่เห็น

III.พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างไร

            A.พระองค์หนุนใจเรา

            เรื่องพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ค่อยปรากฏในพระกิตติคุณ 3 เล่มแรก แต่ไปปรากฏในพระธรรมยอห์น จากยอห์น 14:26; 15:26; 16:7 พระเยซูตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็น “พระผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” (another helper หรือ paraclete (กรีก)) โดยพระองค์จะทำหน้าที่ขช่วยปลอบประโลมใจผู้เชื่อตอนเวลาเสียใจ พระองค์ทำหน้าที่ให้กำลังใจ หนุนใจ และคอยช่วยเหลือเราอยู่ข้างๆโดยทรงเป็นผู้ให้คำปรึกษา ตัวอย่างเรื่องนี้อยู่ในรพะธรรมลูกา 5:7“เขาจึงทำสำคัญแก่เพื่อนที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย เขาก็มาช่วย แล้ได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเพียบ” คือคนที่มีอาชีพจับปลานั้นเมื่อปลาเต็มเรือแล้ว เขาก็จะทำสัญญาณเรียกให้เรือลำใกล้เคียงก็จะเข้ามาเทียบเพื่อแบ่งภาระและทำการช่วยเหลือ นี่คือภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มาทำหน้าที่ช่วยเหลือเรา หรืออาจเปรียบได้กับลูกตอนที่ร้องไห้ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่ พ่อแม่จึงรีบเข้ามากอดลูกพร้อมที่จะช่วยเหลือ หรือ นักเรียนที่มีปัญหาการเรียน ครูจะเดินเข้ามาใกล้และค่อยๆกระซิบว่า “ปัญหาของเธอคืออะไร ครูจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง” พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ช่วยส่วนตัวของคริสเตียน เป็นผู้หนุนน้ำใจส่วนตัว และเป็นผู้พร้อมให้คำปรึกษาส่วนตัว เพื่อให้เราติดตามพระคริสต์ได้เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำต่อผู้เชื่อและต่อคริสตจักร สิ่งที่ผมอยากจะใคร่ครวญต่อไปนี้ก็คือ เราเคยรู้สึกและสัมผัสถึงการเสด็จมาช่วย มาปลอบ มาให้คำปรึกษาในชีวิตประจำวันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตเราหรือไม่

            B.พระองค์นำคนมาหาพระเยซู

            งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ไช่มีไว้สำหรับผู้เชื่อเท่านั้น แต่พระองค์ยังช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อด้วย โดยเปิดตาใจของเขาเพื่อที่เขาจะมาถึงซึ่งความรู้ความเข้าใจในพระคริสต์ ใน             1โครินธ์ 2:14 สอนว่า คนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้ การที่ใครจะเข้าใจเรื่องของพระเยซูเขาต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น คนเราจะกลับใจบังเกิดใหม่เองก็ไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกพระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุทำให้เราเกิดความสนใจในพระเจ้า พระองค์ช่วยเราเวลาเราคิดใคร่ครวญพระคำ พระองค์เปิดตาใจเราเป็นคนแรก พระองค์เปิดใจ เปิดความคิด และกระตุ้นจิตสำนึกของเรา ละลายทิฐิของเราทำให้เราแสวงหาพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้

            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงไม่มีนักจิตวิทยาคนใดสามารถอธิบายการกลับใจบังเกิดใหม่ได้ว่าเป็นไปอย่างไร ว่าไปแล้วไม่มีใครมาหาพระเยซูได้ ถ้าพระวิญญาณไม่ทำงานในใจเสียก่อน ผมคิดว่าจุดแรกที่เรามาสนใจพระเจ้าได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องทำงานในใจคนนั้นก่อน ไม่ใช่เรามาสนใจก่อน แล้วพระวิญญาณจึงทำงาน ว่าไปแล้วเราเป็นแต่เพียงตอบสนองการทำงานของพระองค์เท่านั้น ผมต้องขอย้ำอีกว่า ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เข้ามาช่วยเราแล้ว จะไม่มีใครมาเป็นคริสเตียนได้เลย เพราะในพระธรรมโรม 8:9 กล่าวว่า “ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นไม่เป็นของพระองค์” และเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเราอันเป็นเหตุให้เกิดการสรรเสริญพระเจ้า ย่อมเกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น พระคัมภีร์ใหม่สอนว่า “ถ้าเรามีชีวิตโดยพระวิญญาณ ก็ขอให้เราเดินตามพระวิญญาณ”

            การเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น เราต้องพึ่งพาพระคำ แต่เราเองจะเข้าใจพระคำก็ไม่ได้ ถ้าพระวิญญาณไม่ช่วยเปิดเผยพระคำนั้นแก่เรา เพราะพระคำไม่ได้เขียนมาจากความคิดจิตใจของมนุษย์แต่มาจากความคิดของพระเจ้า ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ช่วยแล้ว เราจะเข้าใจพระคำไม่ได้ พระคัมภีร์ก็คงกลายเป็นหนังสือธรรมดาเล่มหนึ่งที่คนอ่านๆไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย อ่านแล้วจะมองไม่เห็นความจริงอยู่เลย และอาจจะไม่ต่างอะไรจากหนังสืออื่นเลย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน ตัวหนังสือทุกตัวก็กลายเป็นอักษรทที่มีชีวิตในใจของคนอ่านไปได้ ก่อนอ่านพระคำครั้งใด เราควรอธิษฐานเพื่อให้พระวิญญาณดลใจเรา และเปิดเผยความจริงของพระองค์แก่เรา การพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้าหรือไม่ ในทางปฏิบัติก่อนอ่านพระคัมภีร์ทุกครั้ง ให้อธิษฐานต่อพระเจ้าเสียก่อน แล้วเราก็จะพบว่า ข้อความเดิมที่เราอ่านมาแล้วหลายเที่ยวกลับกลายเป็นตัวอักษรที่มีชีวิต คนจีนคนหนึ่งได้อธิษฐานแล้วอ่านพระคำ เขาพบว่าเรามีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีจึงพูดว่า “เมื่อเช้าพระคำพระเจ้าเตะผมเข้าอย่างจัง” เขาหมายความว่า พระคำสามารถพูดกับจิตใจของเขาและมีอานุภาพต่อชีวิตเขาอย่างมาก

            มีคนกล่าวว่า คนจบปริญญาเอกถ้ามาอ่านพระคัมภีร์ โดยไม่พึ่งพระวิญญาณย่อมไม่สามารถเข้าใจพระคำได้ แต่คนจบป.4 ที่อ่านพระคัมภีร์โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สามารถเข้าใจพระคำได้ ด้วยเหตุนี้เวลาเราประกาศข่าวประเสริฐหรือเป็นพยาน เราจึงต้องใช้พระคำ เพราะพระคำเป็นดาบ 2 คม ที่บาดใจและความคิดได้เสมอ สำหรับคริสตชนพระวจนะต้องเป็นหลักในชีวิตคริสเตียนเสมอ หากมีคนมาแนะนำให้เราทำสิ่งที่ตรงข้ามกับพระวจนะเราต้องไม่ฟัง ดังนั้น เราจะเข้าใจพระคำ หรือใช้พระคำโดยไม่พึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้

            เราจะรอดจากบาป หรือดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ เราก็ต้องพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์บางครั้งเราอธิษฐานไม่ออก พระวิญญาณผู้ทรงชันสูตรใจเราก็อธิษฐานแทนเรา คริสตจักรอุบัติขึ้นในโลกก็เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าปราศจากพระวิญญาณแล้วไซร้จะไม่เกิดคริสเตียนและคริสตจักร มีนักเทศน์ท่านหนึ่งเทศนาว่า “พระเจ้ายอมรับคนงานในคริสตจักรเพียงคนเดียวและคนนั้นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            C.พระวิญญาณทรงสร้างชีวิตพระคริสต์ในชีวิตของเรา

            นอกจากพระวิญญาณจะทรงทำการงานต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว พระองค์ยังทำหน้าที่สร้างชีวิตของพระคริสต์ในชีวิตของเรา ผมเคยถามตัวเองว่า คนไทยต้องการเห็นอะไรมากที่สุดในในปัจจุบัน คนไทยคงไม่อยากเห็นความตื่นเต้น หรือการเร้าทางอารมณ์คนไทยคงไม่ต้องการประสบการณ์อันแปลกประหลาด ผมคิดว่าโลกนี้ และคนในประเทศนี้ต้องการเห็นชีวิตแบบพระคริสต์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เหตุใดคนไทยไม่ชอบการเป็นพยานแบบรุนแรงของหมอบรัดเลย์ แต่ชอบชีวิตหมอ จึงต้องจัดนิทรรศการกันใหญ่โต คนไทยสนใจคุณภาพชีวิต

            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เราจึงต้องถามตัวเองว่า ชีวิตของเราได้สะท้อนชีวิตของพระคริสต์หรือไม่ เราเหมือนพระองค์หรือไม่ อันนี้เองน่าจะเป็นตัวทดสอบว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตในเราหรือไม่ ผมจึงอยากสรุปคำเทศนาในวันนี้ว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ บุคคล พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งเสด็จมา ถวายเกียรติแด่พระคริสต์ผ่านชีวิตของท่านและของข้าพเจ้า” ขอให้เราร่วมใจอธิษฐาน

Green City