คำเทศนาเรื่อง ความเชื่อ,ความกลัว
ข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ใน มก.4:35 - 41 ขอเชิญที่ประชุมได้ยืนขึ้นและเราจะอ่านจากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้อย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พี่น้องที่รักครับ มีพ่อเฒ่าคนหนึ่งเขาพักอาศัยอยู่ในป่ากับบุตรชายของเขา บุตรชายของพ่อเฒ่าคนนี้เป็นหนุ่มที่กำลังจำเริญวัย
ในวัยที่พี่น้องกำลังจำเริญวัยโดยเฉพาะพี่น้องที่เป็นผู้ชาย ในเวลานั้นพี่น้องที่เป็นผู้ชายมีความชอบอะไรเป็นพิเศษไหมครับ ? เช่นกันพี่น้องที่รักครับ สิ่งที่บุตรชายของพ่อเฒ่าคนนี้ชอบมากเป็นพิเศษนั่นก็คือการล่าสัตว์ ทุกๆครั้งที่บุตรชายของพ่อเฒ่าคนนี้ออกไปล่าสัตว์ในป่าพ่อเฒ่าคนนี้ก็จะมีความรู้สึกเป็นห่วงและมีความรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
พ่อเฒ่ามีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลว่า ถ้าบุตรชายคนเดียวของเขานั้นเกิดพลัดตกจากหน้าผา ได้รับบาดเจ็บกระดูกเกิดหักขึ้นมา ใครกันที่คอยจะปฐมพยาบาลให้กับเขา
พ่อเฒ่ามีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลว่าพลาดพลั้งถูกสัตว์ป่ามันทำร้ายหรือถูกสัตว์ป่ามันฆ่าขึ้นมา ใครจะช่วยปกป้องลูกชายของเขา
พ่อเฒ่าจะมีความรู้สึก มีความนึกคิด ที่คอยเป็นห่วงลูกชายคนเดียวของเขาในลักษณะอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาที่ทุกๆครั้งที่บุตรชายของเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า
แล้ววันหนึ่ง..ขณะที่พ่อเฒ่ากำลังคิดเป็นห่วง เป็นกังวลเกี่ยวบุตรลูกชายของตนเองอยู่นั้นพ่อเฒ่าก็ได้เผลอหลับและฝันไป (ในความฝันของพ่อเฒ่านั้น พ่อเฒ่าได้ฝันว่าลูกชายของ เขานั้นได้ถูกเสือจับเอาไปกิน พ่อเฒ่าจึงสะดุ้งตื่นจากความฝันร้ายนั้น )
ระหว่างที่บุตรชายของพ่อเฒ่ากำลังล่าสัตว์อย่างสนุกสนานในป่านั้น พ่อเฒ่าก็ได้แอบทำห้องเล็กๆขึ้นมาห้องหนึ่ง กำแพงของห้องในทุกๆด้านพ่อเฒ่าก็ได้วาดรูปเสือติดเอาไว้เพื่อที่จะให้บุตรชายของตนนั้นเกิดความกลัว
และครั้นเมื่อลูกชายของพ่อเฒ่ากลับมาถึงบ้าน พ่อเฒ่าก็ได้ขังบุตรชายของตนเองไว้ภายในห้องนั้น พ่อเฒ่าได้บอกกับบุตรชายของตนว่า “ลูกเอ๋ยพ่อฝันว่าเจ้าถูกเสือกินพ่อเลยต้องทำแบบนี้กับลูกเพื่อตัวของลูกเองและเพื่อครอบครัวของเรา” เมื่อบุตรชายของพ่อเฒ่าได้ยินดังนั้น เขาเกิดความไม่พอใจ เขาก็เสียงดังโวยวาย เกิดการตีอกชกหัว เพราะเขาต้องการที่จะออกไปล่าสัตว์ในป่าเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา
หลายเดือนต่อมาบุตรชายของพ่อเฒ่าก็ได้เสียชีวิตลงภายในห้องนั้น แต่ไม่ใช่เพราะถูกเสือจับเอาไปกินนะครับ บุตรชายของพ่อเฒ่าได้เสียชีวิตลงภายในห้องนั้น เหตุเพราะเขาเสียสุขภาพจิตจึงทำให้บุตรชายของพ่อเฒ่านั้นตรอมใจตาย
วันหนึ่ง…พ่อเฒ่าคิดถึงบุตรชายของตน จึงรำพึง รำพันกับตัวเองว่า ฉันน่าจะสอนลูกชายของฉันให้รู้จักต่อสู้เพื่อเอาชนะเสือดีกว่า แต่มันมีประโยชน์อะไรไหมครับพี่น้อง ที่พ่อเฒ่าคิดอย่างนั้นในเวลาอย่างนี้ ? มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะบัดนี้บุตรชายของเขาได้ตายไปแล้วและเป็นการตายอย่างน่าเสียดาย
พี่น้องที่รักครับ ความเป็นห่วงหรือความวิตกกังวลนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ความเป็นห่วงหรือความวิตกกังวลของพ่อเฒ่าที่มีมากจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะมันได้ปิดบังความสวยงามที่พ่อเฒ่าควรจะได้เห็นแต่กับไม่ได้เห็น เช่น
ถ้าพ่อเฒ่าไม่ขังบุตรชายของตนเองไว้ภายในห้องนั้น บุตรชายของพ่อเฒ่านั้นอาจจะเป็นพรานหนุ่มที่เก่งที่สุด ณ.ป่าแห่งนั้นก็ได้ แต่ความเป็นห่วงหรือความวิตกกังวลของพ่อเฒ่าที่มีมากเกินไป จึงทำให้พ่อเฒ่าไม่ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของบุตรชายตนเอง
พี่น้องที่รักครับ นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของพ่อเฒ่ากับบุตรชายที่พักอาศัยอยู่ภายในป่าเท่านั้นแม้กระทั่งพวกเราในฐานะผู้เชื่อหรือในฐานะคริสเตียนเองก็ตาม ที่หลายๆครั้งหลายๆหนเรามีความวิตกกังวลหรือเรามีความเป็นห่วงที่เหมือนกับพ่อเฒ่าคนนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่บ้านเมืองของเรากำลังเป็นแบบนี้ หลายคนคิดว่าพอถึงรุ่นลูก รุ่นหลานของเรามันจะเป็นอย่างไร มันจะต้องลำบากแน่ๆเลย
ซึ่งก็เป็นที่พอจะเข้าใจได้ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ปถุชนคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่พอจะเข้าใจได้ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ของลูก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ในฐานะที่เราเป็นสามีภรรยา แต่สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่าเราจะต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใคร
เราคือใครครับพี่น้อง ? เราคือผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระคำของพระเจ้าใน อฟซ. 3 : 20 ตรัสดังนี้ว่า “ ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ” และพระคำของพระเจ้าใน 2 ทมธ.1:14 ตรัสดังนี้ว่า “ จงรักษาความจริงซึ่งได้ทรงมอบไว้แก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตย์อยู่ภายในเรา ” พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ และพระองค์ทรงสถิตย์อยู่ภายในเรา ”ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะมีความวิตกกังวลหรือเราไม่ควรที่จะมีความเป็นห่วงมากเกินไป อะไรที่มันมากจนเกินไป
ความวิตกกังวลหรือความเป็นห่วงที่มากเกินไปจนเกินขอบเขตนั้นมันเป็นสิ่งที่ไร้ค่า
ความวิตกกังวลหรือความเป็นห่วงที่มากเกินไปจนเกินขอบเขตนั้น มันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราที่จะทำให้เรานั้นเติบโตกับพระเจ้า
ความวิตกกังวลหรือความเป็นห่วงที่มากเกินไปจนเกินขอบเขตนั้นมันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราที่จะทำให้เรานั้นเกิดผลกับพระเจ้ามากขึ้น
ความวิตกกังวลหรือความเป็นห่วงที่มากเกินไปจนเกินขอบเขตนั้นมันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราทำให้เราไม่ได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำผ่านชีวิตของเรา
ก่อนที่ผมกับภรรยาจะมารับใช้พระเจ้าที่ จ.สมุทรสงคราม เราได้รับข่าวสารข้อมูลมาอย่างมากมาย หลายคนบอกกับผมว่า
อาจารย์ จ.สมุทรสงคราม เป็นเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่ยังไม่คริสตจักรของพระเจ้าอย่างเป็นทางการ
ถามว่าแล้วมันเพราะอะไร ? คำตอบก็คือว่า เพราะว่าดินมันแข็ง
หลายคนบอกกับผมว่า อาจารย์ จ.สมุทรสงคราม มันประกาศยาก เพราะว่าวัดมันเยอะ อย่ามาเลย ไปบุกเบิกที่อื่นเถอะ 28 ปีที่แล้วมี ศาสนาจารย์ คนหนึ่งเข้ามาประกาศอยู่ได้แค่ 2 ปีกว่าๆก็เลิกไป ศาสนาจารย์ ยังไปไม่รอดเลยแล้วอาจารย์เป็นใครจะเข้ามา
หลายคนเล่าให้ผมฟังว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก็มีคริสตจักรแห่งหนึ่งจาก จ.ราชบุรี ก็ได้เข้ามาประกาศ ทำทีทำท่าว่าจะเข้ามาตั้งศาลาธรรมหรือสถานประกาศแต่สุดท้ายก็เงียบๆไป ล่าสุด 6 ปีที่ผ่านมามี 7 DAY เข้ามา แต่ 7 DAY ก็อยู่ได้ไม่ถึง 3 ปี ก็ต้องถอยทัพกลับไป
ถามว่าในความเป็นมนุษย์ของผม ผมวิตกกังวลหรือไม่ ? คำตอบก็คือว่า วิตกกังวล
แต่ความวิตกกังวลที่เรามีนั้น ไม่ได้มีมากจนเกินไป เมื่อความวิตกกังวลที่มีอยู่นั้นไม่ได้มากจนเกินไป มันจึงไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งการเข้ามาบุกเบิกคริสตจักรของพระเจ้าในจังหวัดแห่งนี้ได้
ผมกับภรรยาเราขอบคุณพระเจ้าเสมอ ที่พระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผ่านชีวิตของเราและครอบครัวของเรา นั่นก็คือ การสถาปนาคริสตจักรของพระเจ้าให้ถือกำเนิดเกิดขึ้นใน จ.สมุทรสงคราม แม้ว่าจะเป็นจังหวัดสุดท้ายของประเทศนี้ก็ตาม
และทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่INTRODUCTION หรือเพียงแค่การอารัมบทเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าสู่การเทศนาเลยนะครับพี่น้อง
จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันใน มก. 4 :35 - 41 เราพบอะไร ?
เราพบว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงประทับอยู่บนเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์และในขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่บนทะเลนั้น พระองค์ก็ได้ทรงบรรทมหรืองีบหลับอยู่เนื่องจากทรงเหน็ดเหนื่อยจากภาระกิจการงาน
ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็ได้มีพายุในทะเลสาบบังเกิดขึ้นกลางทะเล เป็นพายุที่แรงกล้า พายุนั้นได้ทำให้เกิดคลื่นใหญ่และคลื่นที่ใหญ่นั้นก็ได้ปะทะกับเรือและน้ำก็ได้เข้าไปในเรือนั้นจนเรือจวนจะจมอยู่แล้ว
ในเวลานั้นสาวกของพระเยซูทุกๆคนรู้สึกหมดสิ้นแล้วหรือหมดหวังแล้ว เพราะอะไรครับ ?เพราะสถานการณ์อย่างนั้น เหมือนความตายได้ถูกวางเอาไว้ ต่อหน้า ต่อตาของเราแล้ว แต่เหตุการณ์ที่สเมือนว่าความตายได้มายืนทักทาย ต่อหน้า ต่อตาของเราแล้วนั้น พระเยซูคริสต์ทรงทำอะไรครับพี่น้อง ?
พระเยซูคริสต์ พระองค์ยังทรงบรรทมหลับอยู่ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ว่า อาจารย์เจ้าข้าตื่นเถิด เพราะทั้งเรือและพวกเราทุกๆ คนกำลังจะพากันจมทะเลอยู่แล้วในท่ามกลางพายุที่แรงกล้าและคลื่นใหญ่ที่ได้เข้ามาปะทะกับเรือนั้น พระเยซูคริสต์ได้ทรงยืนขึ้นและได้กล่าวสำทับลมและทะเลว่า จงเงียบซิ หรือ จงเงียบเถอะ
และเมื่อคำนั้นได้ออกจากพระโอษฐ์หรือออกจากปากของพระองค์แล้ว ทั้งพายุที่แรงกล้า ทั้งน้ำทะเลอลวนและฟองของน้ำทะเลที่กำลังคึกคะนองและฟองฟูอยู่นั้น พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า มันก็ได้เงียบและสงบลง
แล้วพระองค์ทรงหันไปหาสาวกของพระองค์ที่กำลังกลัวอยู่ในขณะนั้น และตรัสถามว่าทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ
พี่น้องที่รักครับ ผมอ่านเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง ผมเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหล่าสาวก แต่ผมไม่เข้าใจพระเยซูต่างหาก
พี่น้องลองคิดดูให้ดีๆน๊ะครับ ถ้าพี่น้องเป็นเปโตรพี่น้องจะไม่รู้สึกกลัวได้อย่างไร
ถ้าพี่น้องอยู่ในเรือลำนั้น และในเวลาเดียวกันนั่นเองก็ได้มีพายุในทะเลสาปบังเกิดขึ้นกลางทะเล เป็นพายุที่แรงกล้า พายุนั้นได้ทำให้เกิดคลื่นใหญ่ และคลื่นที่ใหญ่นั้นก็ได้เข้าปะทะกับเรือและน้ำก็ได้เข้าไปในเรือจวนเรือจะจมอยู่แล้ว
และไม่ว่าเรือนั้นจะแข็งแรง ทนทานเพียงไร มันก็มีโอกาสที่จะถูกคลื่นใหญ่กลืนเข้าไปได้ภายในคำเดียว พี่ - น้องเคยชมภาพยนตร์เรื่อง ไททานิค ไหมครับ ?
เรือไททานิค ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเรือที่แข็งแรงและทนทานมาก แต่เมื่อเรือไททานิคต้องเจอกับคลื่นที่ใหญ่มันก็สามารถที่จะถูกคลื่นของท้องทะเลกลืนได้ภายในคำเดียว
พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้เสด็จมาในโลกนี้ในสภาพของกายมนุษย์ พระองค์ควรที่จะเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือเข้าในในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสาวกของพระองค์ในเวลานั้น
แต่เมื่อผมได้อ่านพระวจนะคำของพระเจ้าตอนนี้อีกครั้ง โดยอ่านกลับไป กลับมา อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณา ผมก็คิดว่าพระเจ้า เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราหรือเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปโตรหรือเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหล่าสาวกของพระองค์
พี่น้องคิดว่าพระเจ้าเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรามั้ยครับ ? เข้าใจ
สิ่งที่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ที่ต้องการจะบอกกับเราคืออะไร ?
สิ่งที่พระคำของพระเจ้าที่ต้องการจะบอกกับเราในพระธรรมตอนนี้ คือ ความวิตกกังวลหรือความห่วง กับความเชื่อนั้น มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
ความเชื่อของเรานั้นอยู่ในพระเจ้า ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันเข้ามาหาเราแม้กระทั่งเรือจวนจะจมอยู่แล้ว ถ้าเรามีความเชื่อในพระเจ้า เราก็จะไม่รู้สึกวิตกกังวลใดๆหรือมีความรู้สึกกลัวใดๆ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าลมพายุจะพัดมาจากทิศทางไหนหรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม ถ้าความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า มีอยู่ภายในจิตใจของคุณ เมื่อนั้นเราก็สามารถที่จะผ่อนคลายได้เหมือนกับพระเยซูที่ทรงพระบรรทมหรืองีบหลับอยู่ในเรืออย่างสบายๆ และหายห่วงและแม้ว่า ในบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเราเอง ไม่อาจสามารถ ที่จะทำอะไรได้เลยก็ตาม เราเองก็ไม่ควรกลัวหรือเราเองก็ไม่ควรที่จะวิตกกังวล
อย่างไรก็ตามถ้าเราวิตกกังวลหรือถ้าเรากลัว นั่นก็เท่ากับว่าเราขาดความเชื่อ
ถ้าไม่มีความเชื่อ เราก็จะต้องกังวลใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง และเราก็จะต้องกังวลกับสิ่งที่เราไม่ควรกังวลเลย
ครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ให้โมเสสนั้นเดินทางไปที่ประเทศอียิปต์ เพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ โมเสสนั้นเขามีท่าทีอย่างไร ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ อพยพ 3:11 ด้วยกัน
เมื่อพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ให้โมเสสนั้นเดินทางไปที่ประเทศอียิปต์เพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์
อย. 3 :11 โมเสสจึงทูลกับพระเจ้าว่า “ ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์ และนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ”เมื่อพระเจ้าเห็นความกลัวของโมเสส พระเจ้าจึงได้ตรัสกับโมเสสใน
อพยพ. 3 : 12 “ เราอยู่กับเจ้า ” แต่ความกลัวของโมเสส ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น โมเสสทูลถามพระเจ้าใน
อพยพ 3 : 13 ว่า “ เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิราเอล และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า พระองค์ทรงนามว่ากระไร ข้าพระองค์จะตอบเขาว่าอย่างไร ”พระเจ้าตรัสตอบโมเสสใน อย.3:14 ว่า เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น
แต่ความกลัวของโมเสสก็ยังไม่หมดสิ้น โมเสสจึงทูลกับพระเจ้าใน
อย. 4:1 ว่า แต่พระองค์เจ้าข้า เขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์เพราะเขาจะว่า พระเจ้ามิได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย
อย.4:10 โมเสสจึงทูลตอบว่า ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์มิใช่คนช่างพูด ทั้งในกาลก่อนและตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว
อย.4:13 ข้าแต่พระเจ้าขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิดพระเจ้าข้า
พี่น้องที่รักครับ ปฏิกิริยาต่างๆนาๆของโมเสสที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ที่ชี้ให้เห็นว่าโมเสสนั้นมีความวิตกกังวลหรือมีความกลัว ในการที่เขาจะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ที่อียิปต์
ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องสอนความเชื่อให้กับโมเสส เพราะโมเสสในเวลานั้น ไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้าเลย
ให้ที่ประชุมเปิดอพยพ 4 :14 -16 จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้เราพบอะไร
เราพบว่า…..พระเจ้าทรงทราบพระทัยดีอยู่แล้วว่า โมเสส นั้นขาดสิ่งใด
พระเจ้าจึงได้ทรงจัดเตรียมเพื่อนร่วมงานผู้หนึ่งคือ อาโรน ให้กับ โมเสส ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อที่จะให้อาโรน นั้นเป็นผู้เพิ่มเติมในส่วนที่ โมเสส นั้นยังขาดอยู่
ความกังวลของ โมเสส เกี่ยวการพูดไม่คล่องหรือพูดไม่ค่อยเก่ง พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าให้โมเสสพูดกับอาโรนเพียงคนเดียว ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้น ใครจะเป็นคนพูดครับ ?
อาโรน จะเป็นคนพูดกับชาวอิสราเอลในทุกๆ คำพูด และพระเจ้าทรงสัญญาอีกด้วยว่าจะสถิตย์อยู่ที่ปากของเขาทั้งสองคน
ให้ที่ประชุมเปิดอพยพ 4:27-31 จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้เราพบอะไร
เราพบว่า พระเจ้าได้ตรัสกับอาโรน พระเจ้าได้ให้อาโรนไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารหรือที่ทะเลทราย ที่ภูเขาของพระเจ้านั้นเราพบว่าโมเสสกับอาโรนนั้นมีการสวมกอดกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า หนทางของโมเสสในการไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ที่อียิปต์นั้น ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่ โมเสสได้คิดเอาไว้
แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าได้ทรงวางแผนการณ์ให้เขาทั้งสอง คือ ให้พี่กับน้องได้พบกันโดยที่ โมเสสไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย พระเจ้าได้ทรงบอกคำพูดทุกๆคำพูดที่ โมเสสจะต้องพูดแก่อาโรน
และเมื่อโมเสสกับอาโรนเรียกประชุม บรรดาผู้ใหญ่ของชนชาติอิสราเอลพร้อมกันอาโรน จึงได้กล่าวถึงพระดำรัสทั้งหมดหรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า อาโรนได้อธิบายเนื้อหาใจความทั้งหมดให้กับชนชาติอิสราเอลได้ฟังสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้ให้โมเสสได้กระทำ ซึ่งไม่เพียงแต่ชนชาติอิสราเอลจะเชื่อฟังและทำตามเท่านั้น พี่น้องที่รักครับ พระคัมภีร์ได้มีการยืนยันโดยบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายประชาชนพากันกราบลงนมัสการพระเจ้า
คำถามคือว่า ในที่ประชุมนั้นมีใครสักคนไหมครับที่ลุกขึ้นยืนและถามโมเสสว่า * โมเสสใครส่งท่านมา *
คำถามคือว่า ในที่ประชุมนั้นมีใครสักคนไหมครับที่ลุกขึ้นยืนและถามโมเสสไหมครับว่าโมเสสพระเจ้าของท่านชื่ออะไร ? ไม่มี
และในที่ประชุมนั้นโมเสสได้พูดอะไรกับชนชาติอิสราเอลอีกไหมครับ ? นอกเหนือจากการที่โมเสสได้พูดกับอาโรนที่ภูเขาของพระเจ้าแล้ว ไม่มีแม้แต่คำเดียวใช่ไหมครับ เพราะอาโรนเป็นคนพูดทั้งหมด
บทสรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ
ความวิตกกังวลหรือความกลัวของโมเสสเกี่ยวกับการเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ที่อียิปต์ เป็นความวิตกกังวลที่ไม่มีประโยชน์
ความวิตกกังวลหรือความกลัวของโมเสสเกี่ยวกับชนชาติอิสราเอลที่จะไม่เชื่อท่านนั้น เป็นความวิตกกังวลที่ไร้ค่า นอกจากเป็นความวิตกกังวลที่ไม่มีประโยชน์และไร้ค่าแล้ว โมเสสยังประเมินเรื่องนี้ผิดทั้งหมด
ในตอนแรกโมเสสประเมินว่าพระเจ้าเรียกเขาให้ต่อสู้กับฟาโรห์ในเรื่องนี้ โมเสส จึงมีเงื่อนไข มีข้อต่อรอง มีแม้ มีแต่กับพระเจ้าอยู่โดยตลอด ซึ่งโดยแท้จริงแล้วใครต่อสู้กับฟาโรห์ในเรื่องนี้ครับพี่ - น้อง ? พระเจ้าเป็นผู้ต่อสู้กับฟาโรห์ในเรื่องนี้
พี่น้องที่รักครับ ในฐานะที่เราเป็นปถุชนหรือเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เรามีความวิตกกังวลหรือเรามีความกลัวได้ แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้าอย่าให้ความวิตกกังวลหรือความกลัวใดๆนั้นเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจนำหน้าพระเจ้า
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราตัดสินใจนำหน้าพระเจ้า เหตุเพราะความวิตกกังวลนั้นหรือเหตุเพราะความกลัวนั้นท่านจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าจะกระทำผ่านชีวิตของคุณให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน