ความเบิกบานบนบ้านซีโมน(เปโตร)

คำเทศนาเรื่อง ความเบิกบานบนบ้านซีโมน(เปโตร)

ขอพระคุณ ความรักและสันติสุข ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าดำรงอยู่ท่ามกลางพี่ น้องที่รักทุกท่านและให้ผู้ที่มีความเชื่อว่า ท่านจะเป็นผู้ที่ได้รับพระพรของพระเจ้าในเช้าวันนี้ให้กล่าวคำว่าอาเมนด้วยเสียงที่ดัง และในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้า จากพระธรรม มธ. 8:14-15 , มก. 1:29 - 34 ,ลก. 4:38-44 ขอเชิญพี่น้องชายหญิงเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

มธ.8:14-15 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า

ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตรพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยเป็นไข้อยู่ พระองค์ทรงจับมือของนางอาการไข้ก็พลันหายไปนางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติรับใช้พระองค์

มก.1:29-34 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า

เมื่ออกมาจากธรรมศาลา พระเยซูพร้อมด้วยยากอบและยอห์นก็ไปยังบ้านของซีโมนกับอันดรูว์ แม่ยายของซีโมนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง พระองค์จึงทรงเข้าไปจับมือนาง ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น อาการไข้ก็หายไปนางจึงปรนนิบัติพระองค์กับสาวก เย็นวันนั้นหลังจากดวงอาทิตย์ตกดิน ประชาชนนำบรรดาคนป่วยและคนถูกผีสิงมาหาพระเยซู คนทั้งเมืองมาออกันอยู่ที่ประตู และพระเยซูได้ทรงรักษาคนจำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ พระองค์ยังทรงขับผีออกหลายคน แต่ทรงห้ามผีเหล่านั้นไม่ให้พูด เพราะพวกมันรู้ว่าพระองค์คือใคร

ลก.4:38-44 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า

พระเยซูเสด็จจากธรรมศาลาและทรงเข้าไปในบ้านของซีโมน ขณะนั้นแม่ยายของซีโมนกำลังป่วยมีไข้สูง พวกเขาจึงทูลขอให้พระเยซูทรงช่วยนางพระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย เมื่อตะวันกำลังลับฟ้า ประชาชนนำคนป่วยเป็นโรคต่างๆมาหาพระเยซู พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์รักษาแต่ละคนให้หาย ยิ่งไปกว่านั้นมีผีออกมาจากหลายคนและร้องว่า ท่านคือพระบุตรของพระเจ้า แต่พระเยซูตรัสสั่งพวกมันไม่ให้พูดเพราะพวกผีรู้ว่าพระองค์คือพระคริสต์พอรุ่งเช้าพระเยซูเสด็จไปที่สงบเงียบประชาชนเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วก็พยายามหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ทรงไปจากพวกเขา แต่พระองค์ตรัสว่า เราต้องประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆด้วยเพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อเหตุนี้และพระองค์ทรงเทศนาในธรรมศาลาต่างๆทั่วแคว้นยูเดีย

และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าว่านี้ว่า ความเบิกบานบนบ้านเปโตร ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ ถ้าพี่น้องมีโอกาสได้ศึกษาพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ. มก.และ ลก.ในลักษณะของการสำรวจพระคัมภีร์ พี่น้องก็จะพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้นพระองค์ชอบที่จะเสด็จ หรือ พระราชดำเนินไปประกอบคุณงามความดีที่นั่นที่นี่อยู่บ่อยๆไม่ว่าจะเป็นการ

1 ) เทศนาสั่งสอน 2 ) รักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยและหรือการเลี้ยงอาหารให้กับผู้คนที่มาติดตามพระองค์และอื่นๆอีกมากมาย

ผมมีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้กับพี่น้องฟัง สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังนั่นก็คือว่า วันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินอยู่นั้น มันก็มีความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวสมองของผม

ความคิดนี้นำให้ผมหยิบพระคัมภีร์ใหม่ขึ้นมา และความคิดนี้นำผมต่อไปว่าให้ผมนั้นหยิบพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 3 เล่มนี้ขึ้นมานับทีละหน้าๆ ซึ่งผมก็นับได้จำนวนทั้งสิ้น 313 หน้า และความคิดนี้มันก็สั่งให้ผมได้พิจารณาในแต่ละหน้าดูด้วย ซึ่งผมก็พบว่าในแต่ละหน้าที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ทั้ง 3 เล่มนี้ ได้มีการบันทึกเอาไว้ ก็บันทึกถึงสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ประเสริฐ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงกระทำในแต่ละวันทั้งสิ้น

ซึ่งถ้าเราจะเปรียบ 1 หน้ากระดาษเป็นหนึ่งวันอาจจะกล่าวได้ว่าคุณงามความดีที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำนั้น มีไม่เว้นในแต่ละวัน พี่น้องและผมผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในพระองค์ก็ควรที่จะประกอบคุณงามความดีในแต่ละวันด้วยเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน ในการศึกษาพระคำของพระเจ้าในพระกิตติคุณในหลายเล่มๆนั้น เราก็ควรที่จะอ่านแบบมีการเปรียบเทียบกันด้วย เพราะในเหตุการณ์หนึ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำนั้น มัทธิวคนเก็บภาษีก็อาจจะมีการบันทึกเอาไว้อย่างหนึ่ง มาระโกก็อาจจะมีการบันทึกเอาไว้อย่างหนึ่ง รวมทั้งนายแพทย์ลูกาด้วยเช่นกันที่ท่านก็อาจจะมีการบันทึกเอาไว้อีกอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

ซึ่งการอ่านพระคัมภีร์ในลักษณะเปรียบเทียบอย่างนี้ เปรียบเสมือนกับการที่เราถ่ายรูปที่เราจะต้องคอยปรับเลนส์ซูมหรือเลนส์ Wide Angle เพื่อที่เราจะได้ภาพทั้งในมุมที่ลึกและกว้าง ซึ่งนั่นหมายความว่า มันจะทำให้เราเข้าใจถึงบริบทหรือท้องเรื่อง อีกทั้งลำดับถึงเวลาก่อนหรือหลังเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 1 เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงงานอย่างเต็มที่

พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเสด็จออกมาจากธรรมศาลา ซึ่งนั่นหมายความว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทั้งหมด และพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 3 เล่มได้มีการบันทึกเอาไว้เกิดขึ้นวันไหนครับ ? วันสะบาโต

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์เพิ่งเสร็จการเทศนาจากธรรมศาลาหรือเพิ่งเสร็จจากโบสถ์และเนื่องจากพระองค์ไม่มีบ้าน พระองค์กับสาวกของพระองค์จึงอยากจะไปที่บ้านของซีโมนกับอันดรูว์

แต่เมื่อไปถึงแล้วพระองค์ทรงพบว่าแม่ยายของเปโตรนั้นกำลังนอนซมเพราะมีไข้สูงอยู่ สาวกของพระองค์จึงทูลพระองค์ให้ทราบ พระองค์จึงรักษาแม่ยายของเปโตรนั้นให้หาย

พอแม่ยายของเปโตรหายป่วยยังได้ไม่เท่าไหร่เลยพี่น้องที่รัก พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เย็นวันนั้นก็มีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ถูกผีชั่ววิญญาณร้ายมารบกวน มายืนออกันอยู่ที่ประตูบ้านของแม่ยายซีโมนเป็นจำนวนมาก

พระคำของพระเจ้าใน ลก.4:42 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พอรุ่งเช้าพระองค์ทรงเสด็จไปที่เงียบสงบเพื่อเฝ้าเดี่ยว ประชาชนก็ออกเที่ยวตามหาพระองค์ พร้อมกับหน่วงเหนี่ยวไม่ให้พระองค์ไปจากพวกเขา

คำถามคือว่า เราเรียนรู้อะไรบ้างจากพระคำของพระเจ้าในตอนนี้

ถ้าเราดูจากบริบททั้งหมด เราก็จะพบว่าพระองค์ทรงยุ่งมาก

มากขนาดไหนครับ ? มากขนาดที่พระองค์ไม่ได้พักเลยก็ว่าได้

แล้วพระองค์ทรงยุ่งกับเรื่องของใคร ? พระองค์ทรงยุ่งกับเรื่องของคนที่มีความทุกข์ใจทั้งสิ้น

คำสอนหนึ่งของพุทธศาสนานั้นสอนว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

แต่สำหรับพระองค์แล้วอาจจะกล่าวได้ว่า ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีพระเยซูอยู่ด้วยเสมอ

เราเรียนรู้อะไรจากพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ? เราเรียนรู้ว่าความสุขส่วนตัวของพระองค์นั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุหรือสิ่งของ แต่ความสุขขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้นอยู่ที่

1 ) การที่พระองค์ได้ช่วยเหลือคน

2 ) การเก็บเกี่ยวนำดวงวิญญาณของคนที่หลงหาย

อาจจะกล่าวได้ว่า

1 ) นี่เป็นความสุขส่วนตัวของพระองค์ 2

2 ) นี่เป็นความสุขยิ่งกว่าความสุขใดๆที่พระองค์มี

และด้วยเหตุนี้นี่เองพี่น้องที่รัก ทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้นมักไม่ค่อยที่จะปฏิเสธความทุกข์ใจหรือทุกข์กายของมนุษย์เลย

พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะถามพี่น้องว่า วันนี้พี่น้องเต็มที่อยู่กับอะไร

สิ่งที่พี่น้องเต็มที่อยู่นั้น เกี่ยวข้องกับพันธกิจของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน

ความสุขใจของพี่น้องคือ การที่ท่านได้เห็นคนหนึ่งมารู้จักกับพระเยซู มากกว่าวัตถุสิ่งหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของท่านใช่หรือไม่ อันนี้เป็นคำถามที่พี่น้องไม่ต้องตอบผมแต่ขอให้ท่านได้ตอบภายในจิตใจของท่านเอง

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 2เราพบการอัศจรรย์เกิดขึ้นในบ้าน

ผมมีความในใจบางอย่าง ที่อยากรำพึงรำพันกับพี่น้องอย่างหนึ่ง นั่นก็คือว่า ประเทศไทยของเรานั้น ชอบที่จะรับวัฒนธรรมอะไรต่างๆจากต่างประเทศกันมาอย่าง่ายๆ ที่ผ่านมาเรารับวัฒนธรรมจากตะวันตกปัจจุบันนี้เรายังก็รับอยู่นะครับแต่เราก็รับวัฒนธรรมจากประเทศเกาหลีเข้ามาด้วย

ประการที่สำคัญนั้นก็คือว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้มันก็ได้มาเข้าในพระศาสนจักรด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา มีพี่น้องคริสเตียนจากโลกตะวันตกเข้ามาจัดงานประกาศและรักษาโรคตาม Hall ต่างๆอย่างมากมาย ใช้เงินคราวละจำนวนเป็นล้านๆบาท

รวมทั้งมีพี่น้องคริสเตียนจากประเทศเกาหลีใต้ด้วย ที่ชอบให้การสนับสนุนให้มีการก่อสร้างคริสตจักรในประเทศไทยมากขึ้น แต่เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงด้วยว่าคริสตจักรที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆในประเทศไทย ที่พี่น้องเกาหลีได้มีส่วนสนับสนุนให้สร้างนั้นก็มีร้างอยู่จำนวนไม่น้อย

แต่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ในครั้งนี้ในสถานที่เล็กๆแบบเงียบๆ นั่นก็คือในเรือนหรือในของแม่ยายซีโมนและมีผู้คนอยู่จำนวนไม่มาก

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้มีความเข้าใจที่ตรงกันนะครับว่า การอัศจรรย์ของพระเจ้านั้น ไม่จำเป็น

1.ที่จะต้องมีการลง นสพ.เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่าจะมีเทศนาประกาศและรักษาโรค เพื่อให้มีผู้คนมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากเพื่อที่การอัศจรรย์นั้นจะเกิด

2.ที่จะต้องใช้สถานที่ๆจะต้องจ่ายราคาแพงหรือแม้กระทั่งในคริสตจักรและร้องเพลงด้วยเสียงที่ดังแล้วการรักษาโรคถึงจะเกิด

            ผมชอบพระคำของพระเจ้าที่ตรัสว่า พระองค์เข้าไปในเรือนของซีโมน

คำถามคือว่า ทำไมผมถึงชอบ

ถ้าพี่น้องลองนำชื่อของพี่น้องใส่เข้าไปแทนชื่อของซีโมนแล้วพูดพร้อมๆกัน เช่น พระองค์ทรงเข้าไปในเรือนของ ก้องภพ ให้พี่น้องใส่ชื่อของพี่น้องเข้าไปแล้วพูดพร้อมๆกันเชิญครับ

ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าบ้านเรือนใดก็ตามที่มีปัญหาและเจ้าของบ้านเรือนนั้นได้เชิญให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า เสด็จเข้าไปเกี่ยวข้องในปัญหานั้นๆ   พระองค์ก็จะเสด็จไปที่บ้านเรือนนั้นรวมทั้งบ้านของผมและของพี่น้องด้วย

เหมือนกับปัญหาของแม่ยายของซีโมนในตอนนี้ ที่เขาป่วยเป็นไข้ ซึ่งคำว่าไข้ ในภาษากรีกนั้นมี 2 ความหมายด้วยกัน นั่นก็คือ

1 ) ไข้เบาๆ 2 ) กับไข้หนักที่จวนจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว อาการของคนที่เป็นไข้สูงนั้นจะนอนเพ้อจะกระสับกระส่ายจะพลิกไปพลิกมา

ภาษาจีนเขาเรียกว่า บ่ลั๊ก คือ จิตใจเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบากใจ

ซึ่งสภาพพื้นที่ในเมืองคาเปอร์นาอูมนั้น เป็นที่ชื้นแฉะ เต็มไปด้วยไข้มาลาเรีย ซึ่งแม่ยายของซีโมนอาจจะเป็นไข้มาลาเรียก็เป็นได้ ซึ่งถ้าแม่ยายของซีโมนเกิดมาในยุคของเรา ท่านอาจจะต้องไปนอนอยู่ในห้อง ICU แล้วก็เป็นได้

แต่เมื่อสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ก็น่าจะเป็นซีโมนได้เชิญให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา พระองค์ก็ทรงตอบสนองต่อเสียงทูลขอนั้น

ดังนั้นถ้าพี่น้องมีปัญหาอะไรก็ตาม โปรดกรุณาอย่าได้นอนกระส่ายกระซับหรืออย่าได้นอนก่ายหน้าผากอีกต่อไป แต่ให้พี่น้องยอมรับปัญหานั้น แล้วเชิญพระองค์เข้าไปในเรือนของท่านหรือในชีวิตของท่านแล้วพระองค์จะทรงช่วยเหลือท่าน

จากพระคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 3 เราพบการรักษาแม่ยายของซีโมน

สิ่งหนึ่งที่พี่ - น้องจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือว่า พระองค์เพิ่งเสร็จจากการเทศนานั้น และเพิ่งออกมาจากธรรมศาลาได้ไม่นาน อีกทั้งทรงตั้งใจที่จะเดินมาพักที่บ้านของซีโมน

แต่พอมาถึงที่บ้านของซีโมนแล้วพระองค์ได้พักไหมครับ ? พระองค์ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยเลย ซีโมนก็ได้มาทูลขอให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงเข้ามามีส่วนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานั้น

ผมพบว่าในการเป็นมนุษย์ของผมนั้น ในหลายๆครั้งที่ผมเหนื่อยนั้น ผมก็อยากที่

จะได้พักบ้าง และถ้าผมเหนื่อยมากๆผมก็ไม่อยากที่จะทำอะไรเลย

แต่สำหรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นเลย พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำภายหลังจากที่ซีโมนได้ทูลขอ

คำถามคือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทำอะไร ?

นายแพทย์ ลูกา ได้บันทึกเอาไว้ว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเสด็จมายืนข้างๆคนเจ็บและทรงขนาบไข้ ไข้นั้นก็หาย

มัทธิวบันทึกเอาไว้ว่า พระองค์ก้มลงจับมือนาง

ซึ่งมัทธิวต้องการจะบันทึก เพื่อให้เราทราบถึงพฤติกรรมของพระเยซู ที่แตกต่างไปจากพวกรับบีคนอื่นๆในสมัยนั้น เหตุเพราะสตรียิวในสมัยนั้นถือว่าเป็นเพศที่ไม่สำคัญ วัฒนธรรมของยิวในสมัยนั้น จึงไม่มีใครสัมผัสมือของสตรี ยิ่งพวกรับบีด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่สำหรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ทุกๆคนต่างสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น อาเมน ด้วยเหตุนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงพร้อมที่จะก้มลงสัมผัสมือของนางและจับมือของนางเอาไว้

ส่วนมาระโก ได้บันทึกเอาไว้ว่า พระองค์จึงพยุงนางขึ้น

ถ้าพี่น้องมองถึงสิ่งที่แม่ยายของซีโมนได้รับจากพระเยซูในเวลานั้นเราก็จะพบว่านางเป็นคนไข้ที่น่าอิจฉาเป็นอย่างมาก เพราะนางไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสถึงความรัก ความเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น แต่นางยังมีประสบการณ์ส่วนตัวกับฤทธิ์อำนาจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย

หมดหรือยังครับพี่น้องในสิ่งที่แม่ยายของซีโมนได้รับจากพระเยซู ? ยัง

พระหัตถ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่เหยียดออกและพยุงนางขึ้นมานั้น เป็นเหตุทำให้แม่ยายของซีโมนนั้น ได้เห็นพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างชัดเจนอีกด้วยน่าอิจฉาไหมครับ ? แต่พี่น้องไม่ต้องอิจฉา เพราะพระหัตถ์แห่งความรัก ความเมตตาและความกรุณานี้จะอยู่ด้วยกับเรา และจะคอยพยุงเรา ช่วยเรา และหนุนนำชีวิตของเรา ซึ่งพี่น้องและผมสามารถที่จะสัมผัสถึงพระหัตถ์นี้ได้ในทุกๆวัน แม้กระทั่งในเวลานี้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 4 เราพบข้อพิสูจน์ของการหายไข้

            ข้อพิสูจน์ที่ว่าแม่ยายของซีโมนหายไข้แล้วนั้นคืออะไร ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัดว่านางหายดีแล้วนั่นก็คือ การที่นางลุกขึ้นไปปรนนิบัติพระเยซูกับสาวก ซึ่งนั่นหมายความว่า นางไม่ได้คิดถึงการเจ็บป่วยนั้นอีกเลย

แน่นอนอาหารคาวและอาหารหวาน ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่แม่ยายของซีโมนนั้นคงทำมาถวายให้กับพระเยซูกับสาวกได้รับประทานด้วยเช่นกันและบรรยากาศในระหว่างที่รับประทานอาหารอยู่นั้นก็คงจะมีการสรวลเสเฮฮาอยู่ไม่น้อย และนี่คือความเบิกบานที่เกิดขึ้นในบ้านของซีโมน

แต่สิ่งที่ลึกลงไปกว่านั้นนั่นก็คือว่า เมื่อแม่ยายของซีโมนได้รับการรักษาให้หายไข้แล้ว ทำไมนางถึงลุกขึ้นไปปรนนิบัติพระเยซูกับสาวก หรืออะไรเป็นเหตุจูงใจ ที่ทำให้นางลุกขึ้นไปปรนนิบัติพระเยซูกับสาวกอันนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

ในทัศนของผมนั้น ผมคิดว่าแม่ยายของซีโมนนั้นมีทัศนคติในทำนองที่ว่า

เพราะนางได้รับการปรนนิบัติจากพระเยซู นางจึงอยากที่จะปรนนิบัติพระองค์

ผมเคยถามเพื่อนศิษยาภิบาลคนไทย คนหนึ่งว่า ทำไมคุณถึงรับใช้พระเจ้า

เขาตอบผมว่า เพราะเขาได้รับการรักษาจากโรคบาปให้หายเขาจึงรับใช้

มีสมาชิกของคริสตจักรในต่างประเทศคนหนึ่ง เขาถามศิษยาภิบาลของเขาว่าทำไมอาจารย์ถึงรับใช้พระเจ้า ศิษยาภิบาลท่านนี้ตอบว่า Saved to Serve รอดเพื่อรับใช้

มีหลายคนถามผมว่า ทำไมผมถึงรับใช้พระเจ้า ?

คำตอบของผมก็คือว่า ผมรับใช้พระเจ้าเพราะผมได้รับการปรนนิบัติจากพระองค์

เขาถามผมต่อไปว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงปรนนิบัติผมตรงไหน

คำตอบก็คือ ที่ไม้กางเขนไง ด้วยเหตุนี้ผมจึงรับใช้พระองค์

พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะถามพี่น้องในเช้าวันนี้ว่า ท่านได้รับความรอดเพื่อที่ต้องการจะรับใช้พระเจ้า หรือเพื่อที่พี่น้องไม่ต้องการที่จะตกไปอยู่ในบึงไฟนรกเท่านั้น

โดยส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าคริสเตียนไทยทุกคนต่างมีทัศนคติเหมือนกับแม่ยายของซีโมน นั่นก็คือ เพราะนางได้รับการปรนนิบัติจากพระเยซูนางจึงอยากที่จะรับใช้

ผมคิดว่าถ้าคริสเตียนไทยมีทัศนคติอย่างนี้นะครับ การรับใช้พระเจ้าจะไม่ใช่เป็นเรื่องของ

1)ส่วนที่เราจะเลือกทำหรือไม่ทำ        2)กิจกรรมของผู้เชื่อเหมือนในเวลานี้

3)เออวันนี้พี่ว่างนะที่โบสถ์มีอะไรให้พี่ทำหรือเปล่า

4)ส่วนหนึ่งของชีวิตคริสเตียน แต่เป็นหัวใจของคริสเตียน

ดังนั้นขอหนุนใจพี่ - น้องทั้งหลายที่จะมีวิญญาณจิตที่ดี เหมือนกับแม่ยายของซีโมนในตอนนี้ที่รอดจากปัญหาแล้วรับใช้ โดยสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 5 เราพบความสมดุลภาพของพระเจ้า

            จากพระคำของพระเจ้า ที่ผมได้แบ่งปันกับพี่น้องไปตั้งแต่ตอนต้น ทำให้เราทราบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงงานอย่างเต็มที่ กล่าวคือ ตั้งแต่รุ่งอรุณไปถึงยามเช้า สาย บ่าย เย็น ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนพระอาทิตย์ตกดินหรือตอนพลบค่ำและหรือตอนตะวันกำลังลับฟ้า ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรง Work Hard

แต่โดยส่วนของผม ผมมองว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น กำลังเต็มที่กับงานมากกว่า

แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงเต็มที่กับงานมากเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะต้องพัก พระองค์ก็พัก

พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า พระเยซูเสด็จไปที่สงบเงียบ ซึ่งนั่นหมายความว่า

1 ) เป็นเวลาที่พระองค์ทรงไม่ให้ใครเข้ามารบกวนพระองค์โดยเด็ดขาด

2 ) พระองค์ทรงมีเวลาที่จะพักหรือนอน และมีเวลาที่จะตื่นเพื่อทำงาน

ข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า ทุกๆครั้งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทำงานกับมนุษย์นั้น พระองค์จะมีเวลาที่จะแยกตัวออกจากมวลชน เพื่อไปพบกับพระเจ้าเสมอ และภายหลังจากที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้พบกับพระเจ้าพระบิดาแล้ว พระองค์จะกลับเข้าไปหามวลชนเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ใหม่อีกครั้ง

อาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือรูปแบบการทำงานขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่มีความสมดุลภาพทั้งในฝ่ายร่างกายกับฝ่ายจิตวิญญาณ เปรียบเสมือนกับลูกตุ้มนาฬิกา ที่แกว่งไปทางซ้ายและไปทางขวาอย่างละเท่าๆกัน คือ ไปและกลับอย่างสมดุลยกัน

สิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะบอกกับเราและเตือนเราในเช้าวันนี้ นั่นก็คือว่า ขอให้พี่น้องได้เต็มที่กับงาน แต่อย่าได้ให้งานประจำวันของพี่น้องเข้ามาในชีวิตของพี่น้องมากจนเกินไป

1)จนพี่น้องไม่มีเวลาที่จะเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าหรือขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

2)จนพี่น้องบางคนกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่สงบนิ่ง พี่น้องบางคนทำงานเกือบจะเป็นโรคประสาทก็มี อาการของคนที่เป็นโรคนี้เขาเรียกว่าโรค Job Lism คือ ต้องทำงานให้เครียดก่อนถึงจะนอนได้ และถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆพี่น้องก็อาจจะเป็นโรคประสาทได้

ผู้รับใช้ของพระเจ้าคนหนึ่งที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือท่านมาร์ตินลูเธอร์ ก็เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะเป็นโรคนี้

ที่สำคัญนั่นก็คือว่า อาการป่วยชนิดนี้กำลังเป็นกันมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ยิ่งถ้าเราต้องการอยากที่จะได้นู่น ได้นี่ เห็นคนอื่นเขามี เร่งรีบเพื่ออยากที่จะมีเหมือนกับเขาบ้าง

พระคำของพระเจ้าใน อสย.57:20 ตรัสดังนี้ว่า แต่คนอธรรมนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบ เพราะมันอยู่นิ่งไม่ได้ และน้ำของมันก็กวนเลนตมขึ้นมา พระธรรมข้อนี้เป็นภาพของคนที่มีไข้หนัก

ดังนั้นผมจึงขอหนุนใจว่า ให้พี่น้องได้เต็มที่กับงานในแต่ละวันและอย่าเอางานกลับมาทำที่บ้านไม่เช่นนั้นพี่น้องจะอยู่ในภาวะที่เหนื่อยซ้อนเหนื่อยและอาจจะกลายเป็นคนที่ต้องเครียดก่อนถึงจะนอนได้ก็เป็นได้

เมื่อพี่น้องได้จัดระเบียบชีวิตของท่านอย่างสมดุลยภาพและมีเวลาเหลือพอในแต่ละวันพี่น้องก็ไม่ควรที่จะเอาที่เหลืออยู่ไป Chit Chat หรือไป Face Book จนทำให้พี่ น้องไม่ได้หลับไม่ได้นอน อันนี้ก็เป็นการไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน แต่เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปรับใช้พระเจ้า

พี่น้องทราบไหมครับว่า คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ ผบห.ระดับสูงของ CentralGroup เมื่อท่านเลิกงานแล้วและถ้าท่านไม่ติดงานศพนะครับ ท่านจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชม.หลังเลิกงานรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ไป Face book หรือไป Chit Chat กับสิ่งที่ไม่ค่อยที่จะมีคุณค่าอะไรสักเท่าไหร่ และที่ผมต้องพูดอย่างนี้ก็เพราะว่า เวลานี้คนไทยเป็นจำนวนมากเป็นโรค Face book Lism กันค่อนประเทศ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราต้องช่วยกันบริหารเรื่องนี้ให้ดีด้วย

จากพระวจนะคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 6 เราพบอุปสรรคในการทำพันธกิจ

พระคำของพระเจ้าใน ลก.4:42 ตรัสว่า พอรุ่งเช้าพระเยซูเสด็จไปที่สงบเงียบ ประชาชนเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วก็พยายามหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ทรงไปจากพวกเขา แต่พระองค์ตรัสว่า เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วยเพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง

ผมอยากให้พี่น้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนนะครับว่า เมื่อวานนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงทำการอัศจรรย์โดยการรักษาคนป่วยให้หาย แต่พอรุ่งเช้าของวันใหม่ภายหลังจากที่พระองค์ทรงปลีกตัวออกมาอธิษฐานเพื่อที่จะออกไปประกาศ ในเรื่องแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร แต่ก็ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากพยายามที่จะติดตามหาพระองค์

ซึ่งนั่นหมายความว่าในเช้าวันนี้มีคนป่วยปรากฏตัวมากขึ้นกว่าเมื่อวาน พี่น้องลองคิดดูนะครับว่ายิ่งคนป่วยมีมากขึ้นเท่าไหร่ การใช้เวลาในการรักษา ก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นพี่น้องว่าจริงไหม ? นี่เป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นในเวลานั้น

แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสว่า เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามที่จะหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ให้ทรงไปจากพวกเขา

สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่าคนกลุ่มนี้พยายามตามหาหรือแสวงหาพระองค์และหรือหน่วงเหนี่ยวพระองค์เอาไว้ ซึ่งลึกๆแล้วพี่น้องคิดว่าคนกลุ่มนี้ เขาต้องการพระเยซูอย่างแท้จริงหรือไม่ครับ ?

คำตอบคือ ไม่เลย แต่พวกเขาแสวงหาพระองค์ก็เพื่อที่จะให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นคิดจะแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับพวกเขาเท่านั้น

ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย

ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการที่พวกเขานั้นถูกวิญญาณชั่วมารบกวน เป็นต้น

ซึ่งการที่พวกเขาแสวงหาพระเยซูด้วยท่าทีอย่างนี้ อาจจะกล่าวได้ว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพวกที่ติดตามพระเยซู ซึ่งพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ใน ยน.6 ที่พระคำของพระเจ้าตรัสว่า คุณแสวงหามิใช่เพราะหมายสำคัญ แต่เพราะคุณได้กินขนมปังอิ่มท้อง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะบอกกับทุกคนๆที่ติดตามพระองค์ในเวลานั้นว่าโรคที่พระองค์ทรงรักษาให้หายนั้นเดี๋ยวมันก็เป็นขึ้นใหม่ได้

แต่โรคบาปที่พระองค์จะทรงรักษาให้นั้น มันจะทำให้พวกเขาได้รับชีวิตนิรันดรแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ค่อยที่จะสนใจในเรื่องนี้กันมากสักเท่าไหร่

อาจจะกล่าวได้ว่า พวกเขาสนใจที่จะให้พระเยซูรักษาโรคแต่เพียงฝ่ายร่างกายเท่านั้น ส่วนโรคทางฝ่ายจิตใจหรือโรคในฝ่ายจิตวิญญาณนั้นพวกเขากับไม่สนใจ

ซึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากกับคนในยุคนี้ ที่อยากจะมารู้จักกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะเป็นพระองค์ไหนหรือพระอะไรก็ได้ที่จะมาช่วยปลดเปลื้องความเจ็บปวดให้ออกจากชีวิตของเขาหรือมาทำให้เขาสมหวังในชีวิต

เช่นทำให้เขาสมหวังจากการ 1.ถูกหวยถูกเบอร์ 2.ขอกู้ธนาคารได้ 3. ไปขึ้นเช็คจากการขายที่ได้แล้วเช็คไม่เด้ง 4.ที่ลูกไม่ดื้อและสอบ Entrance ติด 5.ที่สามีไม่ทิ้งไปมีเมียใหม่ 6.ได้ขึ้นเงินเดือนขึ้นและได้โบนัสมากๆหรือได้เลื่อนตำแหน่งประจำปี รวมทั้งขอในเรื่องอื่นๆอีกมากมาย

อาจจะกล่าวได้ว่า คนในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับคนในสมัยนี้เหมือนกัน

เหมือนกันตรงไหน ? เหมือนกันตรงที่เขาสนใจในสิ่งที่เป็นอนิจจังมากกว่าพระพรนั่นก็คือชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าได้ประทานมอบให้กับเราทั้งหลาย

สิ่งที่ผมอยากจะเรียนกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อนั่นก็คือว่า คริสตชนคนใดก็ตามที่มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เพียงเพื่อที่จะใช้พระองค์เป็นเครื่องมือในการตอบสนองต่อความต้องการทางด้านวัตถุของตนผู้นั้นจะไม่ได้พบกับพระเจ้า

เพราะพี่น้องไม่ได้มีความซาบซึ้งใจ ในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำ เพื่อพวกเราบนไม้กางเขน อีกทั้งพี่น้องจะไม่มีวันที่จะเข้าใจในพระมหาบัญชาที่พระองค์ได้ทรงตรัสมอบไว้ให้กับเราทั้งหลาย

ซึ่งโดยส่วนตัวของผมนั้น ผมเชื่อว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเราได้ทรงประทานพระพรที่เหมาะสมให้กับมนุษย์ทุกคนได้อย่างแน่นอน แต่ความรอดต้องมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ทำหน้าที่ในการเทศน์ การสอนทุกคนจะต้องพึงระมัดระวังเรื่องนี้เอาไว้ให้ดีๆว่า ท่านจะต้องมีการเทศนาพระกิตติคุณของพระเจ้าก่อนที่จะทำการอัศจรรย์ใดๆหรือก่อนที่จะรักษาโรคเพราะฉะนั้นอย่าให้เราหลงประเด็น

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงงานอย่างเต็มที่

ประการที่ 2เราพบการอัศจรรย์เกิดขึ้นในบ้าน

ประการที่ 3 เราพบการรักษาแม่ยายของซีโมน

ประการที่ 4 เราพบข้อพิสูจน์ของการหายไข้

ประการที่ 5 เราพบความสมดุลภาพของพระเจ้า

ประการที่ 6 เราพบอุปสรรคในการทำพันธกิจ

Green City