ความผิดหวัง ความรู้สึกที่อาจเป็นพรในชีวิตของเรา

     คำเทศนาเรื่อง ความผิดหวัง ความรู้สึกที่อาจเป็นพรในชีวิตของเรา

          

พี่ - น้องที่รักครับ ในสภาพของสังคม , เศรษฐกิจของโลกและของหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยของเราที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ผมเชื่ออย่างเหลือเกินว่า น่าจะมีคนที่รู้สึกผิดหวังมากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคน 2 กลุ่มนี้ คนกลุ่มแรก ก็คือ กลุ่มคนที่ถูก Lay Off หรือให้ออกจากงาน อีกกลุ่มหนึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผิดหวังกับการสอบเข้าสถานศึกษาตามที่ต่างๆ ผมเชื่อว่าในช่วงเวลาอย่างนี้ คนทั้ง 2 กลุ่มนี้น่าจะเป็นคนที่มีความผิดหวังมากเป็นพิเศษ พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่ครับ ?

เพื่อให้เป็นการสอดรับและสอดคล้องกับช่วงเวลาดังกล่าว ที่ผู้คนในสังคมกำลังผิดหวังกันมากเป็นพิเศษอย่างนี้ ดังนั้นคำเทศนาของผมในเช้าวันนี้ ผมจึงให้ชื่อเรื่องว่า ความผิดหวังความรู้สึกที่อาจเป็นพรในชีวิตของเรา โดยจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ปัญญาจารย์ บทและข้อที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในหนังสือปัญญาจารย์ 1:2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ปัญญาจารย์กล่าว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นคู่รักที่รักกันมาก แต่เนื่องจากฝ่ายชายนั้นมีฐานะที่ด้อยกว่าฝ่ายหญิงมาก ทำให้พ่อ - แม่ฝ่ายหญิงจึงรู้สึกเป็นห่วงบุตรีของตน

ในความเป็นห่วงของพ่อ - แม่ฝ่ายหญิงนั้น เขาก็ได้เตรียมชายหนุ่มที่ดูมีฐานะมั่นคงกว่าให้กับบุตรีของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อทราบเรื่องดังกล่าว ก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจที่จะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ

และชีวิตในต่างแดนทำให้ชายหนุ่มคนนี้ ได้มีโอกาสทบทวนความรักระหว่างเขากับเธออีกครั้ง ครั้นเมื่อสำเร็จการศึกษา ชายหนุ่มก็ได้กลับมายังประเทศของตน และมีโอกาสได้พบกับอดีตคู่รักของเขา

คำสนทนาของเขา ทำให้เราทราบว่าฝ่ายชายรู้สึกโกรธฝ่ายหญิงมากในตอนแรก

แต่ชีวิตในต่างแดน ทำให้เขาได้มีโอกาสใคร่ครวญความรักของเขาและเธอ อย่างแท้จริง

ฝ่ายชายจึงพบว่า แท้จริงแล้วเขาเองนั้นก็ยังไม่มีความพร้อม ที่จะดำเนินชีวิตคู่กับใครคนหนี่งอย่างแท้จริง และถ้า 20 กว่าปีที่ผ่านมาเขาทั้งสองขืนดันทุรัง เขาเชื่อว่าครอบครัวของเขาทั้ง 2 ครอบครัวนั้น ก็คงจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือคงจะไม่มีโอกาสที่จะมานั่งพูดคุยกันอย่างนี้แน่นอน ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้ง 2 คนนี้ คงสภาพความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเอาไว้ได้ และทั้ง 2 ครอบครัวนี้ ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกันอีกทั้งสามารถที่จะไปมาหาสู่กันได้ แน่นอนพี่ - น้องที่รักครับ นี่คือความผิดหวัง แต่เมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวเมื่อสักครู่นี้แล้ว เรารู้สึกว่าเป็นพระพรมั้ยครับพี่ - น้อง ? เป็นความผิดหวังที่เป็นพระพร

คำถามก็คือว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียน เราจะให้ความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของเรานั้น เป็นพระพรในชีวิตของเราและเป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร ?

ประการที่ 1 เรียนรู้สาเหตุของความผิดหวัง

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อความผิดหวังได้เข้ามาเยือนชีวิตของเรา มนุษย์จึงรู้จักกับความผิดหวัง แต่มีคนไม่มากนักที่จะเรียนรู้จักกับต้นเหตุหรือสาเหตุของความผิดหวังนั้น

สาเหตุความผิดหวังของมนุษย์เรานั้น มันไม่ได้มีสาเหตุอะไรมากมาย มันมีเพียงแค่สาเหตุเดียวเท่านั้นครับพี่ - น้อง ? และสาเหตุที่ว่านี้นั่นก็คือ เพราะว่าเราไปคาดหวังกับมัน เราคาดหวังกับระบบของงาน เราคาดหวังกับคน เราคาดหวังกับตัวของเราเอง เราคาดหวังกับคนที่เรารัก เราคาดหวังกับสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย

เราคาดหวังว่าสิ่งที่เราทำนั้น เจ้านายจะต้องชอบ หรือคนอื่นจะต้องมองเห็นในสิ่งที่เราทำ แต่เมื่อทำออกมาแล้วเจ้านายก็ไม่ได้ชอบ คนก็กับมองไม่เห็น แถมยังตำหนิเราอีกต่างหาก เราจึงรู้สึกผิดหวัง เพราะอะไรครับ ? เพราะเราคาดหวังกับมัน นี่คือสาเหตุของความผิดหวัง

เราคาดหวังว่า เมื่อเรารักเขาหรือทำดีกับเขา เขาก็จะต้องรักและทำดีตอบแก่เรา แต่เมื่อเขาไม่ได้รักเราและไม่ได้ทำดีตอบ บางคนแถมยังทำลายเราเสียอีก เราจึงรู้สึกผิดหวัง เพราะอะไรครับ ? เพราะเราคาดหวังกับคน นี่คือสาเหตุของความผิดหวัง

พ่อ - แม่หลายคนผิดหวังกับลูก ลูกหลายคนก็ผิดหวังกับพ่อ - แม่ พี่ผิดหวังกับน้อง น้องผิดหวังกับพี่ สามีผิดหวังกับภรรยา ภรรยาผิดหวังกับสามี เพราะเขาได้แสดงกริยาท่าทางเหมือนบอกว่าไม่รักเรา หรือเพราะคำพูดที่ทำให้เราต้องรู้สึกเจ็บกายและปวดใจอยู่เสมอ เราจึงรู้สึกผิดหวัง เพราะอะไรครับ ? เพราะเราคาดหวังกับมัน นี่คือสาเหตุของปัญหา

เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะเรียนให้ดี เพื่อสอบในสิ่งที่คิดหมายเอาไว้ในใจให้ได้ แต่เมื่อมันสอบไม่ติด เรียนไม่ได้ หรือเมื่อมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดเอาไว้ เราจึงรู้สึกผิดหวัง เพราะอะไรครับ ? เพราะเราคาดหวังกับตัวเอง นี่คือสาเหตุของปัญหา

เมื่อไอ้นู่นก็ผิดหวัง ไอ้นี่ก็ผิดหวัง หรือเมื่อความผิดหวังเกิดขึ้นบ่อยๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่มนุษย์โดยส่วนมากมักจะกระทำกัน นั่นก็คือ เราไม่อยากที่จะทำอะไร เราอยากหนีไปให้ไกลๆ เราไม่อยากจะเจอหน้าใคร บางคนก็อยากทิ้งทุกอย่าง บางคนก็อยากอยู่มันเฉยๆ บางคนก็อยากประชดชีวิตด้วยการพึ่งยาเสพติด บางคนอยากหาสามีใหม่ที่ไม่ใช่คนไทย คนพุทธบางคนก็โทษพระ คนจีนบางคนก็โทษเจ้า แต่ที่น่าเกลียดมากที่สุดก็คงจะเป็นคริสเตียนเราเนี่ยและ ที่โทษทั้งพระทั้งเจ้า และถ้าคริสเตียนคนใดโทษพระเจ้าอย่างนี้ เบื้องต้นจึงขอให้เรามองเอาไว้ก่อนเลยว่า เขาขาดการเชื่อฟังหรือขาดการติดสนิทชีวิตจึงมีปัญหา

พี่ - น้องที่รักครับ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราต้องมีทัศนคติในการมองความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของเรา ว่ามันเป็นเรื่องที่อนิจจัง

ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราต้องมีทัศนคติในการมองความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของเรา ในมุมมองของพระคัมภีร์

ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราต้องมีทัศนคติในการมองความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของเราว่าพระเจ้าต้องการที่จะสอนอะไรแก่เราหรือพระเจ้าต้องการที่จะให้เราเกิดผลในเรื่องนี้อย่างไร

เหมือนดั่งพระคำของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ใน รม.8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่โทษพระเจ้า

            ถ้าพี่ - น้องฝึก ที่จะมีทัศนคติในการมองความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของพี่ - น้องดังที่ได้กล่าวมาแล้วเมื่อสักครู่ ความผิดหวังนั้นจะเป็นพระพรในชีวิตของเรา หรือเป็นพระพรแก่ลูกหลานของพี่ - น้องเองในอนาคต หรือเป็นพระพรแก่น้องเลี้ยง และหรืออาจจะเป็นพระพรแก่ผู้คนในโลกนี้ก็ได้

ผมเองได้รับพระพรจากความผิดหวังของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะจากการเข้าสัมมนาของ Alma เมื่อปีที่ผ่านมา และถ้ามีโอกาสผมพยายามที่จะเลือกสรรและผลักดันให้คู่สมรสในคริสตจักรของเรา โดยเฉพาะคู่ของธรรมกิจหรือคู่ของผู้นำของคริสตจักร ได้เข้าสู่สัมมนานี้ในอนาคต ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าพี่ - น้องที่เข้าสู่สัมมนานี้ทุกคู่จะเข้าใจถึงคำว่า ความผิดหวังที่อาจเป็นพระพร ในชีวิตของเราได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียน เราจะให้ความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิตของเรานั้น เป็นพระพรในชีวิตของเราและเป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร ?

ประการที่ 2 เข้าใจความผิดหวัง

พระคำของพระเจ้าใน ปญจ. 1:14 ตรัสดังนี้ว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นการทั้งปวงซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิดสารพัดก็อนิจจัง คือ กินลมกินแล้ง

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งและทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ รวมทั้งความคาดหวังที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาด้วยนั้น มันเป็นอนิจจัง

เมื่อเราคาดหวังแต่ไม่ได้อย่างที่หวัง ความผิดหวังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เป็นสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ประสบการณ์ที่กินลมกินแล้งหรือที่เป็นสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์นั้น มันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน

ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นจักรพรรดิหรือยากจก   

ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นเศรษฐีหรือเป็นขอทานตามท้องถนน

ไม่ว่าคนๆนั้นจะมีการศึกษาสูงหรือไร้การศึกษา

ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่และไม่ว่าคนๆนั้นจะเกิดมานับถือในศาสนาใดๆก็ตาม ทุกๆคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ล้วนแต่ต้องเคยผิดหวังมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น (ใครที่เกิดมาไม่เคยผิดหวังอะไรเลยยกมือขึ้นสิครับ )

แตกต่างกันตรงที่ใครที่ดำเนินชีวิตโดย ไม่ใช้ ความคิดที่มาจากพระเจ้ามากนักก็อาจจะผิดหวังมาก ในทางตรงกันข้ามใครที่ดำเนินชีวิตโดย ใช้ ความคิดที่มาจากพระเจ้ามากก็อาจจะผิดหวังน้อยเท่านั้นเอง

จากการที่ได้อ่านในพระวจนะของพระเจ้าและจากการอ่านในหนังสืออื่นๆนั้น ผมพบว่าบุคคลในพระคัมภีร์เองก็ดีและรวมทั้งบุคคลสำคัญของโลกเองก็ดี ทุกคนต่างก็เคยผิดหวังมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น

ผมพบว่าอับราฮัมและครอบครัวได้เคยเดินทางผ่านคานาอัน ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาจะมอบให้แก่เขามาแล้ว ถึง 2 ครั้ง แต่เขาเองก็ยังไม่เคยได้ครอบครองแผ่นดินตามคำสัญญา พี่ - น้องคิดว่าเขาผิดหวังมั้ยครับ ? คงผิดหวัง

อับราฮัมและครอบครัว ได้เข้ามาครอบครองแผ่นดินคานาอันอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาได้เดินทางเข้ามาที่คานาอันในครั้งที่ 3 ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือปฐม.17:8

ผมพบว่าผู้รับใช้โมเสส ผิดหวังจากการที่เขาจะกอบกู้ชาวอิสราเอลหรือชาวยิว ให้พ้นจากการตกเป็นทาสของประเทศอียิปต์ เพราะเขาต้องระหกระเหินไปอยู่คนเดียวในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 ปี

ผมพบว่ากษัตริย์ดาวิดเขาผิดหวังจากการที่เขามีใจปรารถนาที่จะสร้างพระนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้าแต่เขาก็ทำสิ่งนี้ไม่ได้ในชีวิตของเขา

ผมพบว่าท่านอ. เปาโล ผิดหวัง เพราะท่าน อ. เปาโล อยากที่จะประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าให้กับคนยิวได้กลับใจใหม่แต่ อ. เปาโล ก็ต้องผิดหวังเพราะตัวเขาต้องถูกจับไปติดคุก

ผมพบว่า ฟิลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ผิดหวัง ที่เขาจะต้องหยุดเทศนากับคนหมู่ใหญ่เพื่อไปเป็นพยานกับขันทีชาวเอธิโอเปียเพียงคนเดียว

ผมพบว่า อัครทูตยอห์น เขาต้องผิดหวังที่ต้องถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เกาะปัทมอส

ผมพบว่า โคลัมบัส เขาผิดหวัง เพราะเขาไม่สามารถที่จะแล่นเรือรอบโลกได้สำเร็จตามทฤษฏีของเขา เหตุเพราะว่าเขาไปพบทวีปอเมริกาเสียก่อน

ผมพบว่า โทมัส เอดิสัน ต้องผิดหวังต่อการทดลองสิ่งประดิษฐ์นับเป็นร้อยๆครั้ง กว่าจะสำเร็จเพียงแค่ครั้งเดียว

ผมพบว่าท่าน อับราฮัม ลินคอร์น ต้องผิดหวังซ้ำๆซากๆหลายครั้งหลายหนกว่าที่เขาจะได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับในเรื่องของความผิดหวังนี้นั่นก็คือ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่รู้สึกผิดหวังอันนี้ผมไม่รู้จริงๆ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผมรู้อย่างชัดเจนและไม่ผิดพลาดนั่นก็คือ พี่ - น้องและผม ที่สวย รูปหล่อและหน้าตาดีไม่ใช่มนุษย์คนแรกของโลกที่รู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน

ดังนั้นขอให้เราได้มีความเข้าใจว่า ความผิดหวัง เป็นเรื่องที่เป็นสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ทุกคน และขอให้เราได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ต่อไปด้วยว่าในเมื่อเจ้าความผิดหวังนี้มันจะต้องดำรงอยู่กับเราต่อไปและเราเองก็ไม่สามารถที่จะหลบลี้หนีเลี่ยงในเรื่องความผิดหวังนี้ไปได้ เราเองก็ควรที่จะศึกษาหรือเรียนรู้ที่จะตอบสนอง ต่อความผิดหวังนี้อย่างถูกต้อง เพราะถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความรู้สึกนี้อย่างถูกต้องแล้วไซร้ ความรู้สึกนี้มันจะบั่นทอนชีวิตของเราและคนรอบข้างที่อยู่ใกล้ๆ เรา

ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อ เราจะให้ความผิดหวังนั้นเป็นพระพรในชีวิตของเราและเป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร ?

ประการที่ 3 ยอมรับความผิดหวัง

พระคำของพระเจ้าใน รม.10:11 ตรัสดังนี้ว่า เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย  

พี่ - น้องที่รักครับ โดยแท้จริงแล้ว ความผิดหวังโดยตัวของมันเองนั้น มันไม่เคยทำร้ายหรือทำลายใคร (โดยเฉพาะถ้าเราเรียนและรู้จักมัน) ปัญหาก็คือว่า มนุษย์ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะรู้จักในสิ่งนี้ มนุษย์จึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักหรือทำใจยากที่จะยอมรับกับความผิดหวัง

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราเรียนรู้ว่านี่คืออนิจจัง นี่คือ สัจจธรรมของชีวิต และปล่อยวางต่อตัวบุคคล ปล่อยวางต่อสถานการณ์หรือต่อเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวัง เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำร้ายใครหรือทำลายชีวิตของเรา

แต่สิ่งที่ทำให้คนที่รู้สึกผิดหวัง และต้องการที่จะทำร้ายคนอื่นหรือต้องการที่จะทำลายตัวเองนั่นก็คือ การไม่รู้จักปล่อยวาง

แต่สิ่งที่ทำให้คนที่รู้สึกผิดหวัง และต้องการที่จะทำร้ายคนอื่นหรือต้องการที่จะทำลายตัวเองนั่นก็คือทัศนคติของเราที่มีต่อบุคคลนั้นหรือมีต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้น

แต่สิ่งที่ทำให้คนที่รู้สึกผิดหวัง และต้องการที่จะทำร้ายคนอื่นหรือต้องการที่จะทำลายตัวเองนั่นก็คือ การที่เราไม่ยอมรับความผิดหวัง

เมื่อเราไม่ยอมรับความผิดหวังที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เราอยากที่จะจัดการกับตัวบุคคล และตัวบุคคลที่ว่านี้ก็คือใครครับ ? ตัวเรากับตัวเขา

ตัวเรา เป็นอย่างไรครับ ส่วนมากประชดชีวิต ผู้ชายก็ไปดื่มเหล้า ซื้อผู้หญิงนอน ผู้ชายบางคน ชีวิตเหมือนขับรถเข้าซอยตัน ต้องถอยหลังออก ผู้หญิงก็คิดถึงแต่ตัวเอง ปล่อยให้เพลงที่ร้องหายไปจากใจ ชีวิตที่เคยสดใสก็ดูจืดชืดไป ผู้หญิงหลายคนกลับตัวจากความจืดชืดไม่ทัน จึงถูกวิญญาณแห่งความผิดหวัง ครอบครองและครอบงำ จนกลายเป็นผีบ้าก็มี ผู้หญิงบางคนที่ผิดหวังกับสามีคนไทยก็พากันไปหาสามีที่เป็นฝรั่ง ผู้หญิงบางคนที่ผิดหวังก็มักที่จะหมกมุ่นอยู่กับคำถาม ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมอันนี้ขอแล้วไม่ได้อย่างนี้ ทำไมเข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ นี่คือตัวเรา

ตัวเขา เป็นอย่างไรครับ ส่วนมากเมื่อกูไม่ได้ ก็ต้องไม่มีใครได้ด้วยเหมือนกัน หรือฆ่ามันให้ตายทั้งคู่เนี่ยแหละ พี่ - น้องเห็นข่าวแบบนี้บ่อยไหมครับ ?

ผมเคยได้ยินพ่อ - แม่บางคน ถามลูกของตัวเองที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ว่าอย่างไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ?

พ่อ - แม่ ถามลูกว่า เอ็งผิดหวังอย่างเดียวยังไม่พอใช่ไหม เอ็งต้องการที่จะทำร้ายตัวเองให้ได้รับความอับอายด้วยใช่ไหม เอ็งถึงจะสะใจ ? พี่ - น้องเคยได้ยินพ่อ - แม่บางคน ถามคำถามนี้กับลูกของเขาบ้างไหมครับ ?

สิ่งต่างๆเหล่านี้นั่นเป็นเพราะเราไม่ยอมรับความผิดหวัง

สิ่งต่างๆเหล่านี้นั่นเป็นเพราะเรามีทัศนคติต่อบุคคล หรือต่อเหตุการณ์ และหรือสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง

แต่ถ้าเรายอมรับความผิดหวังนั้นด้วยสปิริตด้วยจิตวิญญาณที่ถูกต้องของพระเจ้านั่นคือ อ่อนน้อมต่อสิ่งที่เราไม่ได้ดั่งใจของเรา หรือใคร่ครวญสิ่งที่ขัดขวางหรือทำให้เราต้องผิดหวังหรือขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่ผิดหวังนั้น ความผิดหวังนั้นอาจจะเป็นพระพรแก่ตัวของเราและแก่คนอื่นๆ ได้ ( ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 2 ซมอ. 7 : 1 - 13 )

เราต้องไม่ลืมว่าก่อนที่ดาวิดจะเป็นกษัตริย์นั้นเขาเป็นใครมาก่อนครับ ? ดาวิดเขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ดาวิดเขาไม่เคยคิด ไม่เคยที่ฝัน ไม่เคยทะเยอทะยาน และก็ไม่เคยวางแผนที่จะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล  

แต่พระเจ้าทรงยกเขาขึ้น ให้เป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ต่อจากกษัตริย์ซาอูล   พระคัมภีร์บอกกับเราว่า ตัวของเขานั้นประทับอยู่ในบ้านที่ทำจากไม้สนสีดา ส่วนหีบพันธสัญญาของพระเจ้านั้นกลับประทับอยู่ที่เต้นท์ สิ่งที่กษัตริย์ดาวิดปรารถนาหรือมีความต้องการมากที่สุดนั่นก็คือ การสร้างพระวิหารถวายแด่พระเจ้า

แต่เมื่อเราอ่านมาถึงข้อที่ 13 เราพบว่านาธันซึ่งผู้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าในสมัยของดาวิดนั้น เขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า พระเจ้าให้นาธันไปบอกกับดาวิดว่า ไม่ใช่ดาวิดเป็นผู้สร้าง แต่บุตรของเขาต่างหาก ที่จะเป็นผู้สร้างพระวิหารถวายแด่พระเจ้า

เมื่อดาวิดได้ฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขาผ่านทางนาธัน แน่นอนในความเป็นมนุษย์ของกษัตริย์ดาวิดนั้น เขาจะต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน

เหตุเพราะว่าเขาคาดหวัง ความหวังของดาวิดจึงได้พังทลายลงในชั่วพริบตา และชีวิตของเราหลายๆคนก็อาจจะเป็นแบบนี้ได้

ความผิดหวังของดาวิดในครั้งนี้ มิได้เป็นพระพรแก่โซโลมอนแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นพระพรแก่เราเป็นอย่างมากด้วย ดาวิดเมื่อทราบข่าวนี้ผ่านนาธันแน่นอนในความเป็นมนุษย์ของเขานั้น เขารู้สึกเสียใจ แต่เขาก็ตอบสนองต่อความผิดหวังนั้นด้วยสปิริตหรือด้วยจิตวิญญาณที่ถูกต้องของพระเจ้า ดาวิดเขาไม่อิจฉาลูกของตัวเองหรือคนอื่น เขาปล่อยวาง เขาไม่ย้ำคิดหรือย้ำทำและเขาก็ไม่ดันทุรังหรือฝืนที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ใช้ให้เขาทำนั้นต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้นพี่ - น้องที่รักครับในพระคำของพระเจ้าในหนังสือ 1 พศด.22:5 (ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านร่วมกัน 1 พศด. 22 : 5 เพราะดาวิดตรัสว่า โซโลมอนของเรายังเด็กอยู่ และไม่เคยงาน และพระนิเวศซึ่งจะสร้างถวายพระเจ้านั้นต้องหรูหราอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงและศักดิ์ศรีในบรรดาประเทศทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงจะจัดเตรียมไว้ ดาวิดทรงจัดวัตถุเป็นจำนวนมาก ก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์

1พศด. 22:5 ทำให้เราทราบว่า นอกจากกษัตริย์ดาวิดเขาจะตอบสนองต่อความผิดหวังนั้นด้วยสปิริตหรือด้วยจิตวิญญาณที่ถูกต้องของพระเจ้าแล้ว ดาวิดเขายังมีใจที่กว้างขวางในงานของคนอื่นอีกด้วย

พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ดาวิดนั้นได้ให้ความร่วมมือโดยเขาได้ช่วยเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ในการก่อสร้างและรวมทั้งทุกสิ่ง ทุกอย่าง เอาไว้ให้กับผู้ที่จะมาสร้างพระนิเวศน์ให้กับพระเจ้าในภายหลัง และสิ่งที่เขาได้ช่วยในวันนี้ นั่นก็มิได้หมายความว่า เมื่อสร้างเสร็จแล้วเขาเองจะได้เห็นพระวิหารหลังนี้ในอนาคต

สปิริตหรือจิตวิญญาณของดาวิดในตอนนี้เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ พี่ - น้องอยากเห็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนไทย หรือคริสตจักรของพระเจ้าในประเทศไทย ดำเนินรอยตามสปิริตหรือมีจิตวิญญาณแบบนี้มั้ยครับ ? ง่ายนิดเดียว โดยเริ่มจากตัวของคุณเองก่อน

ซึ่งนั่นหมายความว่า

1)ความผิดหวังที่ดาวิดได้รับนั้นกับเป็นพระพรต่อผู้อื่น และกับเป็นพระพรต่อชนชาติของเขา และเป็นพระพรแก่ผู้คนในโลกนี้ด้วย

2)ความผิดหวังที่ดาวิดได้รับนั้นแต่ดาวิดก็ยังตั้งมั่นคงในพระเจ้าอยู่เสมอพี่ - น้องเป็นแบบนี้มั้ย

3)ความผิดหวังที่ดาวิดได้รับนั้น แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็คงยังได้รับเกียรติจากชีวิตของเขาอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง พี่ - น้องเป็นแบบนี้มั้ย ?

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก พระเจ้าจึงไม่ได้ให้ดาวิดนั้นต้องอับอายใคร เพราะเมื่อผู้เชื่อหรือคริสเตียนพูดถึงเรื่องนี้ทีไร เขาก็มักจะพากันพูดว่า ดาวิดเป็นคนเตรียม โซโลมอนเป็นคนสร้าง หรือ พ่อเตรียมลูกสร้าง  

ดังนั้นชื่อของเขาทั้งสองจึงเคียงข้างกันเสมอที่สำคัญก็คือมีนักเขียนบางคนเขียนเอาไว้ว่า ความผิดหวังของดาวิด คือ ความสมหวังของพระเจ้าและเป็นความสมปรารถนาของดาวิด

คำถามก็คือว่า วันนี้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนได้ยอมรับความผิดหวัง ด้วยสปิริตหรือด้วยวิญญาณจิตที่ถูกต้องของพระเจ้าหรือไม่

ถ้าวันนี้เราผิดหวังและเราตอบสนองอย่างที่ดาวิดได้ตอบสนองต่อพระเจ้า นั่นคือ ยอมรับความผิดหวัง และไม่ดันทุรังสูงที่จะทำในสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว พระคำของพระเจ้าใน รม 8:28 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

ซึ่งนั่นหมายความว่า 1 ) วิถีชีวิตที่พระเจ้าทรงนำเราอยู่นั้น หรือทรงร่วมด้วยกับเรา จะไม่ทำให้พี่ - น้องต้องผิดหวังเลย2 ) ความผิดหวังของเราในวันนี้ คือ ความสมหวังของพระเจ้าและความสมหวังของเราในอนาคต

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยเรื่องของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง มีเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งได้ขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตนลงเรือไปพร้อมกับครอบครัว ในขณะที่ใกล้จะไปถึงที่เกาะแห่งหนึ่ง ก็ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น กล่าวคือได้มีลมพายุใหญ่พัดมา ทำให้เรือของเขาต้องจมลงทะเล

ในทันใดนั้นเอง เขาก็ได้คว้าถุงทะเลที่บรรจุเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ และเขากับครอบครัวก็ได้ขึ้นไปยังบนเกาะที่รกร้างแห่งหนึ่งที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย หลังจากขึ้นมาอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งนี้แล้ว เขาจึงได้ทำเต้นท์ขึ้นมาเพื่อพักอาศัยอยู่กับครอบครัวและเก็บเงินที่บรรจุในถุงทะเลนั้นเอาไว้  

และก่อนที่เขาจะออกไปหาอาหาร เขาก็ได้ก่อไฟเอาไว้เพื่อเมื่อได้สัตว์มาแล้วจะได้ทำอาหาร ในขณะที่ออกไปหาอาหารนั้นเขาก็ได้สังเกตเห็นว่ามีควันไฟพุ่งขึ้นมาจากเต้นท์ของตนที่ได้สร้างเอาไว้

เขาจึงรีบกลับมาดู      ปรากฏว่าไฟได้ไหม้เต้นท์ของเขา พร้อมกับเงินที่อยู่ในถุงทะเลไปอย่างหมดสิ้น เขาจึงรู้สึกผิดหวังและเสียใจมาก เขาจึงบ่นและต่อว่าพระเจ้าว่า ทำไมพระเจ้าถึงไม่ปกป้องเงินในถุงทะเลของผมด้วย

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเรือลำหนึ่งมุ่งตรงมาที่เกาะร้างแห่งนั้นและรับเขาพร้อมกับครอบครัวขึ้นบนเรือ

ชายคนนี้จึงถามกัปตันเรือว่า ทำไมจึงมาที่เกาะแห่งนี้และคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมและครอบครัวอยู่ที่นี่

กัปตันเรือตอบว่า ผมเห็นควันไฟที่พุ่งขึ้น จึงคิดว่าคงจะมีคนติดอยู่บนเกาะผมจึงมาดูแล้วพบคุณกับครอบครัว

พี่ - น้องที่รักครับ ชายคนนี้ผิดหวังมั้ยครับ ผิดหวังที่ทรัพย์สมบัติของเขาทั้งหมดนั้นต้องจมหายไปรวมทั้งเงินก้อนสุดท้ายของเขาและของครอบครัวด้วย

แต่ความผิดหวังของเขานั้นเป็นพระพรมั้ยครับ ? เป็นพระพรต่อคนในครอบครัวของเขา เพราะครอบครัวของเขานั้นรอดชีวิต เขาได้ขึ้นฝั่ง จากควันไฟซึ่งมาจากกระดาษของเงินก้อนสุดท้ายในกระเป๋าของเขานั่นเอง

สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1) เรียนรู้สาเหตุของความผิดหวัง

2) เข้าใจความผิดหวัง และ

3) ยอมรับความผิดหวังด้วยการปล่อยวางและมีทัศนคติคติที่ถูกต้อง ต่อตัวบุคคล ต่อสถานการณ์หรือต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความผิดหวังที่พี่ - น้องได้รับนั้นจะเป็นพระพรแก่ตัวเอง ต่อผู้คนอีกมากมายให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City