คำเทศนาเรื่อง ความเพียรอดทน
ในเช้าวันนี้ จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้า จากพระธรรม ฮบ. 5:2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ท่านแสดงใจอดทนนานด้วยความรักต่อคนเขลาและคนหลงผิดได้ เพราะท่านเองก็มีความอ่อนแอเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน และ Wording หรือ คำ ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจหรือจะเน้นกับพี่น้องมากเป็นพิเศษในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ตรงที่คำว่า อดทนนาน และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ความเพียรอดทน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ผีเสื้อเป็นสัตว์มีปีกชนิดหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่ามีความสวยงามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มันกำลังบินหรือเกาะอยู่บนดอกไม้
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า กว่าที่มันจะมาเป็นผีเสื้อที่มีปีกอันสวยงาม และบินไปมาอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนั้นได้ ผีเสื้อเขาจะต้องผ่านการเป็นตัวหนอนมาก่อน ผีเสื้อกว่าจะบินออกจากการเป็นดักแด้ได้นั้น มันจะต้องอดทนในการที่จะต้องดิ้นรน อีกทั้งมันจะต้องใช้ความพยายามหาทางออกผ่านทางรูเล็กๆของดักแด้
และความเพียรอดทนและความพยายามดิ้นรน อยู่เป็นระยะๆของผีเสื้อที่อยู่ข้างในดักแด้ ก็เพื่อที่จะทำให้สารบางชนิดนั้นหลั่งออกจากตัวของหนอน เข้าไปสู่ปีกที่กำลังงอกทำให้ปีกผีเสื้อค่อยๆพัฒนา เติบใหญ่และแข็งแรงขึ้น เมื่อรูของดักแด้ขยายเป็นรูใหญ่ ผีเสื้อก็สามารถบินออกมาได้อย่างง่ายดายและสามารถบินออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
เราพบว่าพระคัมภีร์ในตอนนี้พูดถึง การอดทนนาน และยังมีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่พูดถึงการทรหด อดทน หรือ ความเพียรทน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นอยู่ในกรอบแห่งความหมายเดียวกันทั้งสิ้น
อ.เปาโล ได้กล่าวกับคนชาวฮีบรูและบอกกับเราในเช้าวันนี้ด้วยเช่นกันว่า คุณสมบัติพิเศษของคริสเตียนอย่างหนึ่งที่จะต้องมีนั่นก็คือ การรู้จักอดทนนานหรือเพียรอดทน
คำถามคือว่า อดทนนาน หรือ การเพียรอดทนนั้น หมายถึงอะไร ?
อดทนนานหรือการเพียรอดทนนั้น หมายถึง การอดทนอยู่ตลอดเวลา การอดทนอยู่เสมอ อดทนอย่างไม่มีวันหยุด
คำถามต่อมานั่นก็คือว่า แล้วคริสเตียนจะต้องอดทนกับอะไรบ้าง ?
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อเราตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้าหรือมาเป็นคริสเตียนแล้ว
เราจะต้องอดทนกับ : การทดลองของมาร ซาตาน
เราจะต้องอดทนกับ : คริสเตียนกับคริสเตียนด้วยกันเอง
เราจะต้องอดทนกับ : สามี - ภรรยาของเราที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยถอยลงไป
เราจะต้องอดทนกับ : เพื่อนร่วมงานของเราที่เพื่อนร่วมงานของเราบางคนมีท่าทีแปลกๆกับเราเมื่อเขาทราบว่าเราเป็นคริสเตียน
เราจะต้องอดทนกับ : พ่อ , แม่ , ญาติ , พี่น้องของเรา ที่เขานั้นยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า บางครอบครัวถึงขนาดประกาศตัดสัมพันธ์ทางเครือญาติก็มี เช่น ครอบครัวของผมเป็นต้น นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้วเราจะต้องอดทนอะไรอีกครับพี่ - น้อง
ประการที่ 1 เราต้องอดทน หรือว่าเพียรอดทนนาน ต่อคำเตือนสติ
พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.13:22ตรัสว่าดูก่อนพี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้ เพราะข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านทั้งหลายแต่เพียงย่อๆเท่านั้น
อ.เปาโล ได้บอกให้เราว่า ให้ผู้เชื่อทุกคนนั้นอดทนนานหรือเพียรอดทนต่อการฟังคำเตือนสติ ซึ่งหมายถึง ให้เรานั้นมีความอดทนที่จะรับฟังคำเตือนสติกันและกัน รวมทั้งให้เราทั้งหลายนั้นได้มีความอดทน ที่จะฟังคำเตือนสติจากคนอื่นๆ โดยเฉพาะจากผู้ชอบธรรม หรือ จากผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
แต่สิ่งที่ผมพบหรือพี่ - น้องอาจจะพบด้วยตนเองนั่นก็คือว่า เมื่อมีคนมาเตือนสติหรือมาให้ข้อแนะแนวคิดกับเรา เราจะรู้สึกไม่ชอบ เราจะรู้สึกไม่พอใจ เราจะรู้สึกไม่อยากฟัง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคำพูดในทำนองที่ว่า “มนุษย์มักเกลียดคำพูดที่ตรง แต่หลงใหลในคำพูดที่หลอกลวง ทั้งๆที่ไม่ชอบให้ใครมาหลอก”
Ex.เช่น มีหัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่ง ท่านได้รับความไว้วางใจจากเพื่อน ส.ส.ในสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ
วันหนึ่ง...ท่านนายกได้ให้เลขาไปหาเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆและรักมากที่สุดเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งของเขาซึ่งบรรยากาศในงานเป็นไปแบบค๊อกเทล คือ เดินไปคุยกันไป อยากทานอะไรก็ทาน พอเพื่อนสนิทคนนี้เจอท่านนายกครั้งแรกก็พูดว่า
เพื่อนสนิท : เพื่อนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนต้องรับใช้ประชาชนนะ
ท่านนายกตอบว่า : ครับ
พอเพื่อนสนิทคนนี้เจอท่านนายกครั้งที่ 2 ก็พูดว่า
เพื่อนสนิท : เพื่อนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนต้องรับใช้ประชาชนนะ
ท่านนายกตอบว่า : กูรู้แล้ว
พอเพื่อนสนิทคนนี้เจอท่านนายกครั้งที่ 3 ก็พูดว่า
เพื่อนสนิท : เพื่อนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนต้องรับใช้ประชาชนนะ
ท่านนายกตอบว่า : มึงจะพูดอะไรขอมึงนักหนาวะ
เพื่อนสนิทคนนี้ก็เลยพูดว่า :นี่ผมเตือนสติท่านนายกแค่ 3 ครั้งเองนะ
ท่านก็ไม่ฟังผมแล้วเหรอ
ผมอยากจะเรียนกับพี่ - น้องอยากสัตย์ซื่อว่า การเตือนสติไม่ใช่เป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรแต่เพียงฝ่ายเดียวแต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
แต่การเตือนสติในเรื่องที่สำคัญนั้น โดยเฉพาะท่านที่อาวุโสหรือเป็นผู้ใหญ่กว่าผมนั้น ผมเองในฐานะศิษยาภิบาลต้องยอมรับกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ว่า ผมเองก็ต้องพึ่งพาการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามากเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราต้องฟังซึ่งกันและกัน อาเมนไหมครับพี่ - น้องโดยเฉพาะคำเตือนสติของ 1) ผู้ชอบธรรม 2 ) ผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้
เมื่อวานนี้ผมไปบรรยายในหัวข้อ พระศาสนากับทางออกของประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งถามว่า ท่านวิทยากรบอกว่า ให้เราเลือกคนดีเข้าสภานั้น คำถามก็คือว่า คนดีนั้นเขาดูกันอย่างไรซึ่งผมก็ตอบของผมไป
เช่นเดียวกันพี่น้องบางท่านอาจจะอยากถามว่า อ.ก้องภพ บอกว่าให้พี่ - น้องฟังคำเตือนสติของผู้ชอบธรรมหรือผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณแล้วจะให้เราดูอย่างไร
คำตอบคือ เขามาโบสถ์สม่ำเสมอไหม เขาพูดพระคำมากน้อยแค่ไหน ชีวิตกับพระคำไปด้วยกันไหม ฉากหน้าฉากหลังของชีวิตเป็นอย่างไร เป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์ด้วยความมุ่งมั่นบากมากน้อยเพียงไร เขาวางชีวิตของเขาเอาไว้กับธรรมิกชนหรือกับคนไม่เชื่อมากน้อยแค่ไหน สัตย์ซื่อในการถวายทศางค์อย่างเคร่งครัดเพียงใด อีกทั้งยังมีข้อสังเกตอื่นๆอีกมากมาย
สิ่งต่างๆเหล่านี้นี่คือ ดัชนีชี้วัดความเป็นผู้ชอบธรรมหรือความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณของคนๆนั้น ซึ่งถ้าคนเหล่านี้เตือนสติท่าน ขอให้ท่านจงฟังเขา เพราะสิ่งที่เขาพูดหรือเขาเตือนนั้น เป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองทั้งสิ้น และนี่เป็นพระพรอย่างหนึ่งในชีวิตของการเป็นคริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน
ประการที่ 2 เราต้องอดทน หรือเพียรอดทนต่อคำสอนที่มีหลัก
พระคำของพระเจ้าใน 2 ทมธ4 :3 -4 ตรัสว่า เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟังเพื่อบรรเทาความอยากเขาจะเลิกฟังความจริงและจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ
พี่ - น้องที่รักครับ อ.เปาโล บอกกับเราผ่านทางพระคัมภีร์ว่า ให้เราอดทน หรือ เพียรอดทนต่อคำสอนสอนที่มีหลัก อีกทั้งเตือนสติเราด้วยว่าในยุคสุดท้ายนี้ พวกเขาจะเลิกฟังคำสอนที่มีหลัก ซึ่งก็พอจะแปลความได้ว่า วันไหนที่ศิษยาภิบาลมีคำเทศน์ คำสอน ที่สนุกสนานหรือว่าโดนใจเรา
พี่ - น้องก็จะรู้สึกชอบ อีกทั้งสามารถที่จะนั่งและฟังคำเทศนาในทำนองอย่างนั้นได้นาน โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เข้าท่า เรื่องไม่แท้ เช่น เรื่องนิยาย เรื่องหนัง เรื่องละครที่ไร้สาระ ฟังแล้วหัวเราะคิกๆคักๆ ซึ่งคำเทศนาทำนองนี้แหละที่พี่ - น้องอุตสาห์อดทนฟังได้นาน
แต่พอเป็นคำสอนที่เป็นพระกิตติคุณจริงๆ เป็นคำสอนที่ถูกต้องมีหลัก มีเกณฑ์ พี่ - น้องบางคนฟังแล้วเจ็บจี๊ด พี่ - น้องบางคนฟังแล้วถึงกับสูญเสียความอดทน
ด้วยเหตุนี้พี่ - น้องจึงไม่อดทนต่อคำสอนที่มีหลักเกณฑ์นั้น เราจึงพบว่าพี่ - น้องบางคนมานมัสการ พอนมัสการเสร็จก็กลับ เพราะอะไรครับ ?
เพราะฟังคำเทศนาทีไร ก็เหมือนถูกพระคำของพระเจ้าตำหนิอยู่ตลอดเวลา เขาจึงรู้สึกเจ็บ เขาจึงไม่อยากฟัง
พี่ - น้องครับ ถ้าเราเดินไปเหยียบตะปูแล้วเราเดินต่อไปเราก็เจ็บและก็จะเจ็บมากขึ้น แต่ถ้าเราทนเจ็บครั้งเดียวและดึงมันออกมา เราก็จะไม่เจ็บอีกเลย
เช่นเดียวกับพระคำของพระเจ้า ถ้าพี่ - น้องยังเดินอยู่ในความบาป กี่ครั้งที่ฟังพระคำของพระเจ้าเราก็จะรู้สึก 1 ) เจ็บ 2 ) ถูกตำหนิ
แต่ถ้าเรายอมแก้ไขโดยไม่เดินอยู่ในความผิดบาปนั้นอีกต่อไปเราก็จะพบว่าแท้จริงพระคำของพระเจ้านั้นมิได้ตำหนิเราเลย แต่ตรงกันข้ามพระคำของพระเจ้ากับให้สติปัญญากับเรา ด้วยเหตุนี้เองท่าน อ.เปาโล จึงเตือนเราให้อดทนหรือเพียรอดทนต่อคำสอนที่มีหลักเกณฑ์
ประการที่ 3 เราต้องอดทน หรือเพียรอดทนต่อพี่ - น้องด้วยกัน
พระคำของพระเจ้ารม.2:4 ตรัสดังนี้ว่า หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัยและความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่
พระธรรมในข้อนี้ อ.เปาโล ได้ชี้ให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า
3 พระลักษณะด้วยกัน ซึ่งโดยแท้จริงพระลักษณะของพระเจ้ายังมีมากกว่านี้นะครับ
อ.เปาโล ได้ชี้ให้เราเห็นผ่านทางพระธรรมในข้อ รม.2 :4 พระคัมภีร์ใช้คำว่า 1) พระกรุณาคุณอุดม 2 ) ความอดทนของพระองค์ 3 ) พระคุณของพระเจ้า ซึ่งนั้นหมายความว่า เมื่อเราทำบาป พระเจ้าจะยังไม่ลงโทษเราทันทีแต่พระองค์จะทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพื่ออะไรครับ ?
เพื่อให้เรานั้นสารภาพบาปและได้กลับใจใหม่กับพระองค์ และอย่าทำบาปนั้นซ้ำอีก และถึงแม้ว่าจะทำบาปนั้นซ้ำอีกแต่ด้วยพระลักษณะของพระองค์ที่ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง พระองค์ก็จะยังไม่ลงโทษเรา แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้เราสารภาพกับ และกลับใจใหม่กับพระองค์
มีเรื่องเล่าว่า มีศบ.แห่งหนึ่ง เมื่อ ศบ.เทศนาเสร็จ ศบ.ก็จะเชิญคนออกมารับเชื่อ อีกทั้งเชิญผู้เชื่อเก่าให้ออกมาสารภาพบาปที่ด้านหน้าห้องประชุม
ก็ปรากฏว่ามีสมาชิกเก่าคนหนึ่งเดินออกมาสารภาพความผิดบาปของเขา เมื่อเขานึกถึงความผิดบาปของเขา เขาก็ร้องไห้แล้วพูดว่า
ผมจะไม่ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย เพราะผมรู้ว่าผมต้องทำบาปอีก
ศิษยาภิบาล ถามสมาชิกคนนั้นว่า : คุณรู้ไหมว่าคุณพูดอะไร
ชายคนนั้นตอบว่า : รู้ครับ แล้วเขาก็พูดต่อไปอีกว่า ผมออกมาสารภาพบาปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 20 แล้วและทุกครั้งที่ผมออกมาผมก็จดไว้ทุกครั้งด้วยว่า ผมทำบาปอะไร และอาจารย์ก็อธิษฐานเผื่อผมทุกครั้ง
ในทันใดนั้นเอง พระวิญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้ดลใจศิษยาภิบาลให้พูดกับสมาชิกคนนั้นว่า
19 ครั้งที่แล้วของเจ้านั้นมันที่ไหนกันเล่า นี่มันเป็นครั้งแรกของเจ้าที่สารภาพความผิดบาปต่อเราต่างหาก และนี่คือพระลักษณะของพระเจ้าที่ อ.เปาโลได้อธิบายไว้ใน รม.2:4
ดังนั้นให้เราทั้งหลายอดทน ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่นหรือเพียรอดทนต่อความผิดบาปของพี่ - น้องคริสเตียนที่มีต่อเรา แม้ว่าความผิดบาปที่พี่ - น้องจะกระทำต่อเราจะสักกี่ครั้ง หรือรุนแรงสักกี่หน ก็ขอให้เราเพียรอดทนเหมือนกับที่พระเจ้าให้อภัยต่อเรา
ประการที่ 4 เราต้องอดทน หรือเพียรอดทน ต่อการดำเนินชีวิต
พระคำของพระเจ้าใน 2 ธส.1:3-4 ตรัสว่า ดูก่อนพี่ - น้องทั้งหลาย เราต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ และเป็นการสมควรเพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย ฉะนั้นเราเองจึงอวดท่านทั้งหลายต่อบรรดาคริสตจักรของพระเจ้า ในเรื่องการทรหด และความเชื่อของท่านในยามที่ท่านถูกข่มเหงนานาประการ และที่ท่านอดทนต่อความยากลำบากนั้น
พี่ - น้องครับ สังคมสมัยปัจจุบันนี้เป็นสังคมสมัยใหม่ เป็นสังคมทันสมัย ภารกิจประวันต้องทำอย่างรีบเร่งหรือว่ารวดเร็วไปซะหมด เมื่อเจออะไรช้าในบางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย และหลายครั้งที่พร่ำบ่นต่างๆ นาๆ
คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมีอะไรที่ไม่พอใจเขาก็พูด หรือแสดงออกมาเลย เพราะถ้าไม่ได้พูดหรือไม่ได้ระบายออกมาจะรู้สึกว่าเก็บกดและหรือเขากำลังใกล้บ้า ซึ่งจริงๆแล้วพระเจ้าไม่ชอบคนขี้บ่น
จากประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์เดิมเราพบว่าเมื่อพระเจ้าทรงใช้โมเสส ให้นำคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ เมื่อชาวอิสราเอลต้องเผชิญกับความยากลำบากในถิ่นทุรกันดารเพียงเล็กน้อย เค้าก็บ่นว่าโมเสส
เท่านั้นไม่พอ เขายังตัดพ้อต่อว่าไปถึงพระเจ้า ซึ่งโดยแท้จริงแล้วพระเจ้าได้ปลดปล่อยให้เขาได้รับอิสระภาพจากการเป็นทาส แต่เขากับบ่นว่าผู้รับใช้พระเจ้าและต่อว่าพระเจ้าในที่สุดพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ชนชาติอิสราเอลพวกเขาก็พบกับการวิบัติ
พี่ - น้องรู้จักเรื่องราวของโยบใช่ไหมครับ โยบเขาอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เขาอดทนต่อการเจ็บป่วย เขาอดทนต่อการสูญเสีย เขาอดทนต่อการถูกเยาะเย้ย
พระคำของพระเจ้าในยากอบ 4:1 ตรัสว่า จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด บั้นปลายที่สุดของโยบเป็นอย่างไรครับ ? ได้รับพระพรจากพระเจ้าถึง 2 เท่า
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงใช้โมเสส ให้นำคนเหล่านั้นออกมาจากการเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ และสามารถอดทนได้จนถึงที่สุดเหมือนกับโยบ
คำถามของผมก็คือว่า มากสักเท่าไหร่พี่ - น้องที่รักครับ ที่ชนชาติอิสราเอลจะได้รับพระพรจากพระเจ้า
อ.เปาโล บอกกับเราว่า ให้เราได้เห็นคุณค่าแห่งการอดทนหรือเพียรอดทน เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคริสเตียน และคุณสมบัตินี้ที่สำคัญมันกำลังจะสูญหายไปจากชีวิตของพวกเรา
พระดำรัสของพระเจ้าในกลท.5 : 22 ตรัสว่า ฝ่ายผลของพระวิญญานนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ
ซึ่งนั่นหมายความว่า การอดทนหรือเพียรอดทนนั้น เป็นการงานหรือเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานมอบให้กับเรา ซึ่งคนที่อดทน หรือ เพียรอดทนนั่นแหละจะเป็นผู้ที่พระเจ้าจะใช้การได้
สรุปคำเทศนาในเช้าวันนี้ คือ
ความอดทนนานหรือการเพียรอดทนเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคริสเตียนซึ่งเราจะต้องอดทน
1.ต่อคำเตือนสติ
2.ต่อคำสอนที่มีหลัก
3.ต่อผู้อื่นโดยเฉพาะต่อผู้เชื่อด้วยกัน
4.ต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา