คำเทศนาเรื่อง ความเร่งรีบ 1 ในปัญหาของคนยุคในโลกาภิวัฒน์
ขอพระคุณ ความรัก และสันติสุขขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ดำรงอยู่ท่ามกลางพี่ - น้องที่รักทุกท่านและในเช้าวันนี้พี่ - น้องพร้อมที่จะฟังพระคำของพระเจ้าแล้วหรือยังครับ ถ้าพี่ - น้องพร้อมแล้วผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าซึ่งเป็นถ้อยคำที่ศักดิ์สิทธิ์ จากพระธรรม อสย.30:15 และ สดด.46:10 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
อสย.30:15 โดยการกลับใจและหยุดพักเจ้าจะรอด กำลังของเจ้าอยู่ที่การสงบนิ่งและการวางใจแต่เจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย สดด.46:10 จงนิ่งสงบและรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า
และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ความเร่งรีบ 1 ในปัญหาของคนในยุคโลกาภิวัฒน์ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ เราต่างอยู่ในสังคมที่อะไรๆต่อมิอะไรนั้นมันดูเร่งรีบไปซะหมด และถ้าพี่ - น้องได้กลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาถึงสิ่งพูดที่ผมได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ผ่านชีวิตประจำวันของพวกเราในแต่ละวัน พี่ - น้องก็จะพบว่าคำที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่นี้นั้นเป็นคำที่จริง
เพราะอะไรครับ ? เพราะอะไรหลายอย่างๆ ที่ถูกผลิตหรือถูกสร้างออกในเวลานี้นั้น ต่างที่จะสนองตอบต่อความ รีบเร่ง หรือสนองตอบต่อ เร่งรีบ ของมนุษย์ทั้งสิ้น มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่ถูกออกแบบและถูกผลิตขึ้นมาในเวลานี้แล้วเขาทำให้มันช้าลงและคนในยุคนี้ พ.ศ. นี้ต่างก็ชอบๆ
อาจจะกล่าวได้ว่าในเวลานี้ มันไม่มีอะไรเลยพี่ - น้องที่รักครับ ที่ถูกออกแบบหรือถูกผลิตขึ้นมาแล้ว ทำให้มันช้าๆลง แต่ในทางตรงกันข้ามมันมีแต่จะเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจริงหรือไม่จริงครับพี่ - น้อง
ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ความเร่งรีบ หรือ ความรีบเร่ง จึงเป็นปัญหาหนึ่งของคนในยุคโลกภิวัฒน์หรือเป็นปัญหาหนึ่งของสังคมไทยในเวลานี้ เหตุเพราะชีวิตที่ เร่งรีบ หรือ รีบเร่ง นั้นเป็นชีวิตที่มนุษย์นั้นไม่มีเวลาที่จะได้สงบจิตใจ การที่มนุษย์ไม่มีเวลาที่จะได้สงบจิตสงบใจ อาจทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้นเสียได้
เช่นเมื่อไม่นานที่ผ่านมาพี่ - น้องคงจะได้ยินข่าวว่า มีคุณพ่อคนหนึ่งต้องรีบไปประชุม พอจอดรถได้ก็รีบขึ้นไปเลยจนลืมใครไว้ในรถครับ ? ลูกของตนเองกลับมาที่รถอีกทีตอนเลิกประชุม ปรากฏว่าลูกสาวของเขานั้นได้เสียชีวิตอยู่ภายในรถแล้ว เพราะอากาศภายในรถมันร้อนมาก เด็กจึงขาดอากาศที่จะหายใจ และนี่ก็ไม่ใช่เป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้น แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายๆประเทศ และมันได้เกิดขึ้นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง
หลายคนอาจจะกล่าวโทษคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ หรือคนขับรถอย่างเดียวซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่ามันคงจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่นักสิ่งที่ผมคิดในกรณีที่เกิดขึ้นนี้นั่นก็คือว่า เราควรที่จะต้องกล่าวโทษระบบของโลกด้วยเช่นกันที่มัน รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ จนเกินไป
แต่ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้นั่นก็คือว่า ความเร่งรีบ หรือ ความรีบร้อน อาจทำให้เราลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด หรืออาจทำให้เราสูญเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไปจากชีวิตของเราก็เป็นได้ เพราะอะไรครับ ?
เพราะ ความรีบเร่ง หรือ ความเร่งรีบ ของชีวิต เป็นเรื่องที่ทำให้เรานั้นไม่มีเวลาที่จะได้พักสงบทางจิตใจ โดยเฉพาะการที่เรานั้นจะได้มีโอกาสที่จะพบความสงบทางจิตใจกับพระเจ้าในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคริสเตียนของเรา
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในภาคพันธสัญญาใหม่ เราพบว่ามีผู้รับใช้ของพระเจ้าท่านหนึ่งนั่นก็คือ อ.เปาโล ท่านได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ ฟลป. 3:13 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ครับว่า แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่า อ.เปาโลและคนในสมัยของท่านนั้นทำทีละอย่างหรือทำเพียงอย่างเดียว พระคัมภีร์ไม่ได้มีการบันทึกว่า อ.เปาโลและคนในสมัยของท่านนั้นเป็นคนที่ทำอะไรๆทีละหลายๆอย่างเหมือนกับคนในยุคนี้
ในขณะเดียวกัน พระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม ก็ได้มีการกล่าวเอาไว้เช่นเดียวกันอยู่ในหนังสือ 1พศก.20:40 ว่าผู้เผยพระวจนะได้เล่าให้กษัตริย์อาหับฟังถึงเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ผู้เผยพระวจนะจะต้องดูแลมิให้หนีไป แต่สุดท้ายชายคนนี้ก็หนีไปได้
พระคัมภีร์ได้ตรัสเอาไว้อย่างนี้ครับว่า เมื่อข้าพระบาทติดธุระที่นั่นที่นี่เขาก็หายไป ผู้เผยพระวจนะท่านนี้ได้ตรัสกับกษัตริย์อาหับว่า ข้าพระองค์ได้ระวังอย่างดีแล้ว แต่เพราะว่าธุระที่นั่นที่นี่มันมีมากจนเกินไปพอหันหลังมาอีกทีชายคนนั้นก็หนีไปเสียแล้ว
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า ถ้าเรามีกิจธุระที่จะต้องทำมากเกินไป บางครั้งพี่ - น้องอาจจะสูญเสียในสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าธุรกิจหรือการงานนั้นก็เป็นได้ หรือพี่ - น้องอาจจะพลาดโอกาสงามๆ ที่ผ่านมาและก็ผ่านไป โดยที่พี่ - น้องเองอาจจะไม่ได้รับโอกาสที่งามๆนั้นอีกก็เป็นได้
ดังนั้นพี่ - น้องจะต้องเรียนรู้ที่จะต้องถอนตัวของพี่ - น้องเองออกจากขอบเขต ความรับผิดชอบหรือหน้าที่ๆ รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ โดยการหยุดพักบ้างไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไรก็ตาม
พระคำของพระเจ้าในหนังสือ กท.6:9 ตรัสไว้ดังนี้ว่า อย่าให้เรานั้นเมื่อยล้าในการทำดี ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่เราทำในสิ่งที่ดี มันก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้เรานั้นเมื่อยล้าได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราก็จะต้องมีการหยุดพักในสิ่งที่ดีนั้นบ้าง แล้วมาพักสงบในพระเจ้าอย่างแท้จริงผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ในวันอาทิตย์
ไม่ใช่วันอาทิตย์มาคริสตจักรของพระเจ้า เพียงเพื่อที่จะให้ศิษยาภิบาลหรือพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรพอเห็นหน้าเห็นตาท่านเท่านั้น โดยที่พี่ - น้องไม่ได้มีเวลาอยู่นมัสการหรือฟังพระคำของพระเจ้าแล้วก็ขอตัวกลับบ้าน เพราะมันมีไอ้นั่นทำค้างอยู่ เพราะมันมีไอ้นี่ทำค้างอยู่ ถ้ามาอย่างนั้นมันไม่ได้อะไรหรอกพี่ - น้องที่รักนอกจากเสียตังค์
แต่ถ้าพี่ - น้องมาพักสงบในฝ่ายจิตวิญญาณกับพระเจ้าผ่านการนมัสการอธิษฐาน ผ่านการฟังถ้อยคำของพระองค์ที่คริสตจักรของพระองค์อย่างแท้จริง โดยพระคุณของพระเจ้าพี่ - น้องที่รัก พระองค์จะทรงโปรดประทานพละกำลังและเรียวแรงใหม่ให้แก่ท่านใหม่อย่างแน่นอน
พี่ - น้องที่รักครับ ปีนี้ผมมาเป็นคริสเตียนได้ประมาณปีที่ 13 ซึ่งว่าไปแล้วผมก็ยังเป็นผู้เชื่อใหม่ เหตุเพราะผมต้องกลับใจใหม่กับพระเจ้าในทุกๆวัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมักจะได้ยินพี่ - น้องคริสเตียนที่เป็นผู้เชื่อเก่าหลายต่อหลายคน ชอบที่จะพูดในทำนองอย่างนี้ครับว่า การที่เขามานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในวันอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เขาได้มา Chart Battery ซึ่งผมก็ไม่ทราบนะครับว่าพี่ - น้องจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้หรือไม่
แต่ถ้าสมมติว่าพี่ - น้องเห็นด้วยกับคำพูดเมื่อสักครู่นี้ ผมก็อยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่า เราเองก็ควรที่จะต้องดึงตัวของเราเองนั้น ให้ออกมาจากขั้วหรือออกมาจากวงจรของมนุษย์มาสู่ขั้วหรือมาสู่วงจรของพระเจ้า เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้มีเวลาในการที่จะ พักสงบทางจิตใจ หรือเพื่อที่เราจะได้มีโอกาสฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าบ้างในแต่ละวันหรือในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งพี่ - น้องทราบไหมครับว่า สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่นี้นั้น ต่างมีผู้เชื่อหลายคนที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้กันดีพอสมควร แต่พอถึงภาคที่จะต้องปฏิบัติจริงๆ กับดูเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้เชื่อหลายคนด้วยเช่นกัน
คำถามก็คือว่าเพราะอะไร ?
คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือว่า เพราะว่าผู้เชื่อหรือคริสเตียนหลายคนนั้น
1. ชอบในการที่จะลงมือทำและก็ทำ 2. ชอบที่จะอยู่ในการมีชีวิตที่วุ่นวาย
3. ชอบการที่จะให้มีเสียงของการสั่งงานขึ้นถี่ๆดังเป็นระยะๆ
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากถึงยากมากๆ พี่ - น้องที่รัก ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนประเภทนี้จะฝึกตัวเองให้นิ่งสงบหรืออยู่ในความเงียบได้
ประการที่สำคัญก็คือว่าผู้เชื่อหรือคริสเตียนประเภทนี้หลายคนพอมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรแล้วเขารู้สึกไม่ค่อยชอบ สาเหตุที่ไม่ค่อยชอบเพราะจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้นำมักจะพูดว่า ให้เราอยู่ท่าทีของการนมัสการพระเจ้า และให้เราได้เงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าด้วยกันสักครู่หนึ่ง คริสเตียนประเภทรีบเร่งหรือเร่งรีบพวกนี้จะไม่ค่อยชอบ เพราะเข้าใจว่าคริสตจักรของพระเจ้าที่อยู่ในคณะนิกายโปรแตสแตนท์นั้น จะต้องเสียงดังตลอด อธิษฐานก็จะต้องเสียงดัง นมัสการก็จะต้องเสียงดัง
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยชอบ ในการที่เขานั้นจะได้พักสงบทางจิตใจกับพระเจ้าสักเท่าไหร่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพี่ - น้องที่รัก พอกษัตริย์เสด็จมาทุกๆคนจะต้องทำไมครับ ? ทุกๆคนจะต้องหมอบกราบและอยู่กันอย่างเงียบๆมิใช่หรือ ใช่หรือไม่ครับพี่ - น้อง ?
ในขณะเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ผมก็พบว่ามีพระคำของพระเจ้าอยู่ในหลายๆข้อ ด้วยเช่นกันที่ให้คุณค่าและให้ความสำคัญกับ การนิ่งในความเงียบ เช่น
สดด.46:10 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าเราเป็นพระเจ้า
อสย.30:15 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า โดยการกลับใจและการหยุดพักเจ้าจะรอดกำลังของเจ้าอยู่ในความสงบและความไว้วางใจ
1ธสก.4:11 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Study to be quiet ซึ่งนั่นหมายความว่า ในการนิ่งเงียบนั้นพี่ - น้องที่รัก เราก็จะต้องศึกษาหรือเรียนรู้ในการนิ่งเงียบนั้นด้วย เพื่อที่เราจะอยู่อย่างมีความสุขหรืออยู่อย่างมีความสงบได้
ผมขอให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระธรรม 1 ธสก.2:2 และ 1ทมธ.2:2 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
1ธสก.2:2 อย่าหวั่นไหวง่ายๆ หรือตื่นตระหนกไปกับคำพยากรณ์ รายงานหรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ระบุว่าวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว
1ทมธ.2:2 เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้อยู่อย่างสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆในทางพระเจ้าและความบริสุทธิ์ทุกอย่าง
ตัวอย่างเช่น ไม่กี่เดือนมานี้พี่ - น้องที่รัก ที่มีผู้เชื่อหรือมีพี่ - น้องคริสเตียนของเราหลายคนทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาสามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนิ่งเงียบได้ แต่พอมีใครคนหนึ่งมาบอกว่าวันที่ 21 / 5 / 2011 พระเจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษาโลกเท่านั้นแหละ เขากลับไม่สามารถที่จะอยู่อย่างนิ่งเงียบต่อไปได้
ตรงกันข้ามเขากับ รีบเร่ง หรือ รีบเร่ง ในการที่จะทำสิ่งนั้น สิ่งนี้จนเสียบุคลิกภาพในฝ่ายวิญญาณไปอย่างน่าเสียดาย พี่ - น้องคริสเตียนของเราบางท่าน
1.เป็นถึงอาจารย์ผู้สอนพระคัมภีร์ในโรงเรียน
2.เป็นถึงผู้เขียนวรรณกรรมหรือหนังสือคริสเตียนที่มีผลงานหลายเล่ม
3.สามารถที่จะจำและท่องพระคำของพระเจ้า ตั้งแต่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายมาถึงเล่มแรกของพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ได้
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักพระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเอาไว้ใน 1ธสก.4:11 อย่างชัดเจนว่าให้เรา จงตั้งเป้า ซึ่งหมายความว่า ในความนิ่งเงียบนั้นเราก็จะต้องศึกษาหรือเรียนรู้ในพระวจนะคำของพระเจ้าด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะมีใครมาเผยอะไรหรือพยากรณ์อะไรให้กับเราและหรือไม่ว่าจะมีใครพูดอะไรออกมาก็ตามแต่ แต่ถ้ามันมีความขัดแย้งกับพระคำของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า เราอย่าได้ไปให้ความสนใจอะไรกับมันมากจนทำให้เรารู้สึกขาดความสงบสุขในชีวิตของเรา
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 1ธสก.3:12 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เราขอสั่งกำชับในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้คนเช่นนี้ เขาทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวและหาเลี้ยงตัวเองด้วยใจสงบ
1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีพี่ - น้องของเราบางคนโทรศัพท์มาหา อ.ดา บอกกับ อ. ดาว่า ให้ อ.ก้อง ช่วยพูดกับสามีของเขาให้หน่อยว่าอย่าขายเรือเพื่อเอาเงินไปลงทุน
ซึ่งผมบอกกับ อ. ดา ว่าถ้าผมสั่งพี่ - น้องได้ ผมก็จะสั่งให้เขาได้ลองสร้างเนื้อสร้างตัวและหาเลี้ยงตัวเองด้วยใจที่สงบเงียบๆกับพระเจ้า
แต่เมื่อผมสั่งพี่ - น้องไม่ได้ ผมก็ให้ อ. ดา พูดถ้อยคำนี้กับเขาและก็หนุนใจเขาว่าอย่า รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ ที่จะขายเรือ แต่ให้เขาลองสงบเงียบกับพระเจ้าดูจริงๆสักครั้งหนึ่งดูสิว่าพระเจ้าจะตรัสอะไรกับเขา เพราะเรือลำที่ว่านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานมอบให้กับเขา
ดังนั้นพระเจ้าจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือที่แท้จริงไม่ใช่คุณ ซึ่งผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าเขาได้ฟังคำแนะนำของผมหรือไม่ถ้าฟังผมก็ขอบพระคุณพระเจ้า แต่ถ้าไม่ฟังผมๆก็จะไม่ รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ ที่จะร้อนใจที่จะต้องทราบคำตอบต่อการตัดสินใจของพี่ - ของเราในเรื่องนี้
ดังนั้นการเงียบสงบต่อการฟังเสียงของพระเจ้านั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งในชีวิตฝ่ายวิญญาณหรือในชีวิตคริสเตียนของพวกเรา ซึ่งคนที่พระเจ้าทรงใช้หลายต่อหลายคน ทั้งพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่ ต่างก็เป็นคนที่ถูกพระเจ้าสอนให้คอยท่าพระเจ้า อยู่ในความเงียบสงบทั้งสิ้น
โมเสสต้องไปเก็บตัวในถิ่นทุรกันดารนานถึง 40 ปี
อิสยาห์ต้องคอยท่าพระเจ้าเขาจึงได้พบกับพระองค์ในพระวิหาร
ยอห์นบัพติสมาต้องเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเตรียมชีวิตของตน
เปาโลต้องไปเข้าเงียบอยู่ที่อารเบียนานถึง 3 ปี
ยอห์นสาวกที่พระเยซูทรงรักต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่บนเกาะ ปัทมอส อย่างเดียวดายเพื่อที่จะได้รับนิมิตจากพระเจ้า
มาร์ติน ลูเธอร์ ต้องเก็บตัวอยู่ในพระวิหารวิทเทริ์นเบริ์ก
จอห์น บันยัน ต้องถูกจองจำอยู่ในคุก
โจน ออฟ อาร์ค สตรีผู้กอบกู้ฝรั่งเศสกล่าวว่า กำลังและอำนาจของเธอไม่ได้อยู่ที่กองทัพ แต่อยู่ในความเงียบสงบกับพระเจ้าในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสและที่นั่นเธอได้ยินเสียงของพระเจ้า
ดังนั้นชีวิตคริสเตียนของเราทุกๆคนต่างมีความจำเป็นครับพี่ - น้องที่รัก ที่จะต้องออกจากชีวิตประจำวันที่ รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ ไปสู่บ้านแห่งการอธิษฐานหรือขึ้นภูเขาไปอธิษฐานและหรือไปในที่ๆมันเงียบและสงบ ซึ่งนั่นเป็นสถานที่แรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาคือ ที่ไหนครับพี่ - น้อง ? ที่สวนเอเดน
เพราะฉะนั้นในสังคมยุคโลกภิวัฒน์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสังคมใหม่เป็นสังคมที่ทันสมัย เป็นสังคมที่ รีบเร่ง และ เร่งรีบ ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องก้าวออกมาสู่การพักสงบ ในด้านจิตใจและจิตวิญญาณกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ
และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้ให้กับเราด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ภายหลังจากที่พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์มักจะดึงชีวิตของพระองค์ออกไป
1. จากการเข้าหามนุษย์สู่การเข้าหาพระบิดา
2. อยู่เงียบๆสักพักหนึ่งแล้วค่อยกับมาหาฝูงชนใหม่
3. จากฝูงชนเพื่อพักสงบและสอนสาวกของพระองค์เสมอ
4. จากการที่จะต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ ไปสู่การเผชิญหน้ากับพระเจ้า
ซึ่งถ้าเราจะเปรียบวิถีชีวิตของพระเยซูเป็นเสมือนกับลูกตุ้มแกว่งนาฬิกา ชีวิตของพระเยซูต้องมีเวลาที่จะ
1. สนทนากับพระเจ้าพอๆกับที่จะพูดกับมนุษย์
2. อธิษฐานกับพระเจ้าพอๆกับการที่จะออกไปรับใช้
ดังนั้นถ้าพี่ - น้องปรารถนาที่จะมีชีวิตคริสเตียนที่จะจำเริญขึ้น หรือเติบโตในทางของพระเจ้ามากขึ้นโดยเฉพาะในด้านมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ พี่ - น้องก็จะต้องพาตัวของพี่ - น้องเองให้ออกมาจากสังคมที่รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ นี้ โดยการบริหารจัดการชีวิตของพี่ - น้องให้มีความสมดุลระหว่าง
1. ทางโลกกับทางธรรม 2. ทางของฝ่ายเนื้อหนังกับทางของฝ่ายจิตวิญญาณ พี่ - น้องก็จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้ในท่ามกลางโลกที่มันมีแต่ความสับสนวุ่นวายหรือในท่ามกลางสังคมที่มัน รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ แต่เมื่อใดก็ตามที่
1.ภาคการรับกับภาคการส่งไม่สมดุล 2.การทำงานกับการพักผ่อนไม่สมดุล
3. การนำเข้ากับการส่งออกในฝ่ายวิญญาณไม่มีความสมดุล
4. พลังแห่งบัญชีรายรับกับพลังแห่งบัญชีรายจ่ายฝ่ายวิญญาณไม่สมดุล มันก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆพี่ - น้องที่รัก ที่เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้า เพราะชีวิตคริสเตียนต้องการความสมดุล
พระคำของพระเจ้าในหนังสือ อพยพ 20:9 ตรัสไว้ดังนี้ว่าเจ้าจงทำงาน 6 วัน วันที่ 7 ทรงให้หยุดพัก แต่ในความเป็นจริงแล้วพี่ - น้องทราบไหมครับว่า มีคริสเตียนหลายคนที่เขานั้นเก่งกว่าพระเจ้า และแกร่งกว่าพระเยซูที่ทรงถูกตรงบนไม้กางเขนเสียอีก และคริสเตียนที่เก่งกว่าพระเจ้าและแกร่งกว่าพระเยซูที่ว่านี้คือ คริสเตียนที่เร่งรีบ หรือ รีบเร่ง ที่จะทำงานทั้ง 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ ให้เราบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่า เรารู้ว่า อ. ก้อง กำลังพูดถึงคุณ
ผมขอออกตัวก่อนนะครับพี่ - น้องที่รักว่าผมเองนั้นไม่ใช่ผู้พยากรณ์และผมเองก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าด้วย แต่ถ้าสมมติพี่ - น้องอนุญาตให้ผมพยากรณ์ถึงพยากรณ์คริสเตียนที่ชอบทำงานใน 7 วันต่อสัปดาห์ ผมขออนุญาตพยากรณ์ว่า ชีวิตในบั้นปลายของคนประเภทนี้หรือคริสเตียนพวกนี้ เขาจะเป็นโรค Panic Attack ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นแม่บ้านหรือมักจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ค่อยจะปล่อยวาง อาการของคนที่เป็นโรคนี้ก็คือ จะหายใจไม่ค่อยสุดเหมือนกับว่ามันมีอะไรมาจุกอยู่ที่หน้าอก และเขาอาจจะเสียจริตไปในที่สุดก็เป็นได้
และสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่นี้ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งนะครับว่า พระคำของพระเจ้าไม่ได้มีการบันทึกไว้แต่อย่างใด แต่การที่ผมพูดอย่างนี้ได้ ก็เพราะผมรู้ว่าอย่างแน่ชัดว่า พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์ทุกๆคนนั้นมี กายวิภาค ที่มนุษย์นั้นจะต้องมีการหยุดพักใน 1 วัน / สัปดาห์ ดังนั้นมนุษย์จะมีชีวิตอยู่แบบ 1. สายกีตาร์ คือ ตึงตลอดไม่ได้ 2. เครื่องจักรกลไม่ได้
ดังนั้นการออกจากสังคมที่ รีบเร่ง หรือ เร่งรีบ เพื่อที่จะมาเข้าเฝ้าพระเจ้าในแต่ละวัน หรือเพื่อที่จะเข้ามาพักสงบยังพระนิเวศน์ของพระเจ้าในแต่ละวันหรือในแต่ละสัปดาห์จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างมาก
ผมมีเพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งที่ชอบอยู่คนเดียว ถึงจะชอบอยู่คนเดียวแต่เขาก็ไม่ได้ชอบที่จะอยู่แบบสงบสักเท่าไหร่นัก เดี๋ยวไม่เปิดเพลง ก็เปิดโทรทัศน์ หรือไม่ก็เปิดคอมพิวเตอร์
ผมเคยถามเขาว่า ชอบอยู่คนเดียวแต่ไม่ชอบอยู่แบบสงบๆเนี่ย เป็นเพราะกลัวใช่ไหม ? เขาตอบผมว่า จะตอบว่า กลัว ก็ไม่ใช่เพราะถ้ากลัวเขาก็คงไม่ออกมาอยู่คนเดียว ครั้นจะตอบว่า ไม่กลัว ก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าขอตอบอย่างนี้ดีกว่า เขาตอบว่า
เขากลัวที่จะได้ยินเสียงของพระเจ้า
เขากลัวที่พระเจ้าจะตรัสกับเขาว่าจงถ่อมใจลง
เขากลัวที่พระเจ้าจะตรัสกับเขาว่าให้ไปที่นั่นให้ไปที่นี่
เขากลัวว่าเมื่อพระเจ้าตรัสกับเขาแล้ว จะทำให้เขานั้นไม่มีความสุข
เขากลัวว่าถ้าพระเจ้าตรัสกับเขาแล้วชีวิตของเขานั้นจะต้องพลิกผัน
เขากลัวว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาหรือห้ามเขาว่าอย่าทำสิ่งนั้นหรืออย่าทำสิ่งนี้
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงขอซ่อนตัวอยู่ในธุรกิจอันวุ่นวายในทุกโมงยาม หรือซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนโดยวุ่นวายกับกิจกรรมต่างๆในสังคม หรือสาละวนกับงานอดิเรกในขณะที่อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง เพียงเพราะว่าเขาไม่อยากที่จะได้ยินหรือได้ฟังเสียงของพระเจ้าและเขาไม่อยากที่จะให้พระเจ้าทรงนำชีวิตของเขา
คำถามก็คือว่า...พี่ - น้องกลัวที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าไหมครับ
หรือพี่ - น้องกลัวที่พระเจ้าจะตรัสกับพี่ - น้องและนำพี่ - น้องไปในทิศทางที่พี่ - น้องรู้สึกไม่ชอบหรือพี่ - น้องไม่อยากที่จะไปไหมครับ ?
ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่า เวลานี้พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับพวกเราตรงๆด้วยเสียงที่ดัง เหมือนกับที่พระองค์ทรงตรัสในสมัยของพระคัมภีร์เดิม แต่เวลานี้พระเจ้าทรงตรัสกับเราด้วยเสียงที่แผ่วเบา ผ่านทางพระคำของพระองค์และพระองค์จะไม่ตรัสอะไรที่เกินเลยไปจากความเชื่อที่เรามีในพระองค์ เพราะฉะนั้นพี่ - น้องอย่าได้กลัวที่จะคอยท่าในการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในที่เงียบสงบ อาเมน
และผมจะจบคำเทศนาของผมในเช้าวันนี้ โดยการที่จะให้พวกเราทุกคนได้ สงบเงียบ กับพระเจ้าสักครู่หนึ่ง แล้วฟังในสิ่งที่พระเจ้าจะทรงตรัสกับเราเป็นการส่วนตัวหรือตรัสกับที่ประชุมผ่านพี่ - น้องเราในเช้าวันนี้ และกรุณาอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้ามารบกวนที่ประชุมในเวลานี้