ความสง่างามของชีวิต

คำเทศนาเรื่อง ความสง่างามของชีวิต

        

            ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ.25:1-13 เป็นคำอุปมาของพระเยซูเกี่ยวกับสาวพรหมจารีสิบคน ให้ที่ประชุมเปิดแล้วเราอ่านจากพระคำของพระเจ้าในคำอุปมานี้ร่วมกัน

มธ.25:1-13 "เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าวในพวกเธอเป็นคนที่มีปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคนพวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วยเมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไปพอเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องขึ้นว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว ออกมาเถิด”บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน พวกที่โง่พูดกับพวกที่ฉลาดว่า แบ่งน้ำมันให้เราสักหน่อยตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้วพวกฉลาดตอบว่า ไม่ได้หรอกน้ำมันไม่พอสำหรับและท่านไปซื้อจากคนขายน้ำมันเองเถิดเมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น แล้วประตูก็ปิดหลังจากนั้นอีกห้าคนก็มาร้องเรียก ท่านเจ้าข้า ท่านเจ้าข้า เปิดประตูให้เราด้วยแต่เขาตอบว่า เราบอกความจริงแก่เจ้าว่าเราไม่รู้จักเจ้าเลยเหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”

Key Word ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ตรงคำว่า สาวพรหมจารี กับคำว่า น้ำมัน และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ความสง่างามของชีวิต” ให้ที่ประชุมได้ร่วมใจกันอธิษฐานครับ

มีกี่คนที่มีความเชื่อว่า พระคัมภีร์ทุกตอนนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า อีกทั้งช่วยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขและพัฒนาเราให้ดียิ่งขึ้นได้ มีกี่คนที่มีความเชื่ออย่างนั้นช่วยยกมือขึ้นหน่อยครับ ? และยิ่งถ้าเรานำเอาจิตวิญญาณของเราออกมาอ่านพระคัมภีร์มากขึ้นชีวิตของเราก็จะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

เช่นเดียวกันกับการฟังเทศนา ถ้าพี่น้องเอาร่างกายของพี่น้องมาฟังพระคำของพระเจ้า นั่นเท่ากับพี่น้องกำลังฟังคำบรรยายธรรม แต่ถ้าพี่น้องนำเอาจิตวิญญาณของพี่น้องออกมาฟัง พระคำของพระเจ้าแม้จะลึกที่สุด สูงที่สุด ละเอียดที่สุด แต่ถ้าพี่น้องนำเอาจิตวิญญาณของพี่น้องออกมาฟังพี่น้องก็จะได้รับการสำแดงและเปิดเผยจากพระเจ้า

เช่นเดียวกับพระคำของพระเจ้าใน มธ.25 ที่พระคำของพระเจ้าในบทนี้ต้องการที่จะสอนเราเกี่ยวกับความสง่างามของชีวิต ซึ่งถ้าเราอ่านเรื่องนี้จากฝ่ายกายภาพแล้วมันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับความสง่างามของชีวิตได้เลย แต่ถ้าเราอ่านในมิติของฝ่ายวิญญาณแล้ว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยกเอาเรื่องหญิงพรหมจารีขึ้นมาสอนเราถึงเรื่องความสง่างามของชีวิต

ดังนั้นในเช้าวันนี้ เราจะมาเรียนรู้ด้วยกันว่า หญิงพรหมจารีในทัศนะของพระคัมภีร์นั้นเป็นอย่างไร พวกเขาทำตัวอย่างไรจึงถือว่าสง่างาม และน้ำมันที่หญิงพรหมจารีควรมีนั้นคืออะไร เราจะมาเรียนรู้ด้วยกัน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านรวมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบความสง่างามของชีวิตจากหญิงพรหมจารี

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์หรือแผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนกับหญิงพรหมจารี

คำว่า เมื่อถึงวันนั้น นั่นก็คือวันที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เสด็จกลับมาเป็นครั้งที่ 2 อาณาจักรแห่งสวรรค์หรือแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ๆองค์พระเยซูคริสเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนนั้น จะเปรียบเหมือนกับหญิงพรหมจารี ซึ่งนั่นแปลว่า สถานที่แห่งนั้นจะต้องมีความบริสุทธิ์มาก มากขนาดไหน ? อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะมาเรียนรู้กันในเช้าวันนี้ผ่านคำว่า “หญิงพรหมจารี”

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือคำว่า “หญิงพรหมจารี” คำนี้ ถ้าพี่น้องอ่านและมีการตีความในฝ่ายกายภาพ พี่น้องก็จะเข้าใจในความหมายที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นยังไม่เสียพรหมจรรย์ให้กับใคร แต่ในการอ่านและการตีความในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นมากพี่น้องที่รัก คำถามคือว่า ลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.1 อยู่ใน ลก.1:26 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธมาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่งที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นคนในวงศ์วานดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์มาถึงหญิงพรหมจารีนั้นแล้วว่า "เธอผู้ซึ่งเป็นที่ทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ เธอได้รับพระพรท่ามกลางสตรีทั้งปวง"

            พี่น้องที่รักครับ มารีย์เธอเป็นหญิงพรหมาจารี ถ้าตีความในฝ่ายเนื้อหนัง แปลว่า ถ้าไม่เคยเสียพรหมจารีให้กับใคร แต่ถ้าแปลความหรือตีความหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ มารีย์คนนี้เธอนอกจากไม่เคยเสียพรหมจารีให้กับใครเท่านั้น แต่เธอเป็นหญิงที่ถ่อมใจ เมื่อพระเจ้าจะทรงใช้เธอ เธอเชื่อฟังพระเจ้า อีกทั้งเธอไม่ได้โอ้อวดกับใครๆว่า เธอเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ในพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่

คำว่า “หญิงพรหมจารี”คำนี้ ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.2 อยู่ในหนังสือ ยก.1:26-27 , รม.12:2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า

ยก.1:26-27 “ถ้าผู้ใดในพวกท่านดูเหมือนว่าเคร่งครัดในความเชื่อ และมิได้เหนี่ยวรั้งลิ้นของตนไว้ แต่ล่อลวงใจของตนเอง การเคร่งครัดในความเชื่อของผู้นั้นก็ไร้ประโยชน์ การเคร่งครัดในความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าพ่อและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก”

รม.12:2 “อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            ลักษณะของผู้หญิงพรหมจารีในการตีความตามหลักการพระคัมภีร์ในยก.1:26 บอกกับเราอย่างชัดเจนนะครับว่า หญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เขาจะต้องเป็นคน สงบปากสงบคำ ไม่พูดมากไร้สาระ

            มีพี่น้องบางคนถามผมว่า อาจารย์อย่างดิฉันนี้ถือว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ไหม ? คือ ดิฉันเป็นคน สงบปากสงบคำ ไม่พูดมากไร้สาระ เห็นคนทำผิดทำบาปทำไม่ถูกต้อง ดิฉันก็ไม่พูด อย่างนี้ถือว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ไหมค่ะ ?

พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า หญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า มิใช่เพียงแค่สงบปาก สงบคำ ไม่พูดมากไร้สาระเท่านั้น แต่เขาจะต้องพูดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นด้วย

ดังนั้นกับคำถามเมื่อสักครู่นี้ที่ถามว่า แม้กระทั่งเห็นความผิด ความบาป ความไม่ถูกต้องของคนอื่นแล้ว คุณยังสงบปาก สงบคำ ไม่พูด คุณเป็นหญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรขอพระเจ้าไหม ? คำตอบคือไม่ใช่ คุณจะต้องพูดเตือนเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นด้วย ส่วนเขาเมื่อฟังแล้วจะเชื่อหรือไม่มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณแล้ว

ลักษณะของผู้หญิงพรหมจารีในการตีความตามหลักการของพระคัมภีร์

ใน ยก.1:27 บอกกับเราอย่างชัดเจนนะครับว่า เขานั้นจะต้องมีใจในการเมตตาสงสารผู้อื่นโดยเฉพาะการเยี่ยมเยียนหญิงม่ายและเด็กกำพร้าที่มีความทุกข์ร้อน

            มีพี่น้องบางคนถามผมว่า อาจารย์อย่างดิฉันนี้ถือว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ไหม ? คือ ดิฉันไม่เคยเดือดร้อนใครแต่ดิฉันก็ไม่เคยช่วยเหลือใครด้วยเช่นกัน

พี่น้องคิดว่าอย่างนี้คือ หญิงพรหมจรรย์ในสายพระเนตรของพระเจ้าไหมครับ ? นอกจากจะไม่ใช่แล้ว คุณยังเป็นคนบาปในคราบของนักบุญด้วย

            ลักษณะของผู้หญิงพรหมจารีในการตีความตามหลักการของพระคัมภีร์

ใน รม.12:2 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เขาจะต้องมีท่าทีที่หลีกเลี่ยงต่อการมีทัศนคติหรือค่านิยมและหรือแนวคิดอย่างโลกด้วย

คำว่า “หญิงพรหมจารี”คำนี้ ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.3 อยู่ใน ฟลป. 1:21 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร”

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนนะครับว่า หญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นคือการอยู่เพื่อพระคริสต์

คำถามคือว่า พระคริสต์อยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรและเพื่อใคร? เพื่อรับใช้พระบิดา เพื่อผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ

ดังนั้นคนที่จะเป็นหญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่เพียงจะไม่เสียความบริสุทธิ์ให้กับใครเท่านั้น แต่เขาจะต้องอยู่เพื่อรับใช้พระคริสต์ และอยู่เพื่อที่จะเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรให้กับพี่น้องในพระคริสต์และผู้ที่ยังไม่ได้รู้จักพระคริสต์

คำว่า “หญิงพรหมจารี”คำนี้ ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.4 อยู่ใน วว. 4:4 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และข้าพเจ้าได้เห็นผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มเสื้อสีขาว และสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ”

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า หญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้าจะต้องเป็นผู้นุ่งห่มขาวภายในจิตใจไม่ใช่ภายนอก

            การนุ่งห่มขาวภายในจิตใจคืออะไร ? การนุ่งห่มขาวภายในจิตใจคือ

1 ) รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

2 ) ท่าที แรงจูงใจ ในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าอย่างถูกต้อง ไม่ว่าเรานั้นจะมีสถานะอย่างไร จะรวยหรือจน จะมีตำแหน่งไม่มีตำแหน่งในคริสตจักร จะถูกชมหรือถูกว่าและหรือถูกด่า จะมีรถขับหรือไม่มีรถขับ จะมีเงินเดือนหรือไม่มีเงินเดือน แต่เขาก็ยังรับใช้พระเจ้าอยู่ นี่คือหญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้า

คำว่า “หญิงพรหมจารี”คำนี้ ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.5 อยู่ใน 1ยน.3:6 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรักของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงยอมปล่อยวางชีวิตของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะปล่อยวางชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง”

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยทำผิด แต่การที่พระคำของพระเจ้าพูดแบบนี้นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าสนับสนุนให้มีการทำผิดนะครับ

แต่เมื่อเราผิดพลาดแล้ว พระเจ้าก็พร้อมที่จะอภัยในความผิดพลาดนั้นให้กับเราเสมอ และการที่เราตั้งใจในการดำเนินชีวิตใหม่กับพระเจ้าโดยการที่เราไม่กลับไปทำความบาปนั้นอีก นั่นคือหญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้า

แต่เมื่อเราผิดพลาดแล้ว และเรายังมีนิสัยในการทำความผิดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเป็นหญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้าไหมครับ ? แต่เขาคือใครครับ ? เขาคือคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพราะคนที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์เขาจะหันหลังให้กับความบาปอย่างสิ้นเชิง

คำว่า “หญิงพรหมจารี”คำนี้ ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วมันลึกซึ้งขนาดไหน ?

ประการที่ 1.6 อยู่ใน รม.8:5-6 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งของต่างๆซึ่งเป็นของพระวิญญาณด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข”

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า หญิงพรหมจารีในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เขาจะต้องผูกพันกับพระวิญญาณไม่ใช่เนื้อหนัง

            สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า “คำว่าผูกพันกับพระวิญญาณ” ในที่นี้ นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่กิน ไม่เที่ยว ไม่เล่น ไม่สนุกสนานร่าเริง ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

ตราบใดก็ตามที่พี่น้องและผมยังเป็นมนุษย์อยู่ในโลกใบนี้ พี่น้องและผมยังคงจะต้องกิน ต้องเที่ยว ต้องเล่น ต้องสนุกสนานร่าเริงอยู่ แต่เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า แก่นสารของชีวิตของเรานั้นไม่ได้อยู่เพื่อสิ่งนี้ แต่แก่นสารของชีวิตของเรานั้นอยู่ที่ไหนครับ ?

พระคำของพระเจ้าใน รม.14:17 ตรัสดังนี้ว่า “เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พระคำของพระเจ้าใน รม.14:17 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าแก่นสารของชีวิตเรานั้นอยู่ที่การ แสวงหาความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ดังนั้นคนในฝ่ายวิญญาณต้องสนใจในเรื่องฝ่ายวิญญาณมากกว่าที่จะสนใจในเรื่องของวัตถุสิ่งของ แน่นอนเราต้องทำงานหาเงิน แต่คนในฝ่ายวิญญาณไม่ใช่คนที่หิวเงิน

หญิงพรหมาจารีที่พระเจ้าทรงพอพระทัยคือคนที่ให้คุณค่าในเรื่องความชอบธรรมมากกว่าให้คุณค่าในการหาเงิน และความคิดหนึ่งในการหาเงินของหญิงพรหมจารีนั่นก็คือก็เพื่อที่เขาจะเป็นพระพรกับผู้อื่นด้วย

และที่กล่าวมาทั้งหมด เพียงแค่ประการเดียวเท่านั้นนะครับ แต่แบ่งออกเป็น 6 ข้อย่อยๆด้วยกัน ซึ่งพี่น้องและผมสามารถที่จะมีความสง่างามของชีวิตผ่านคำว่า “หญิงพรหมจารี” คำนี้ได้ ซึ่งเมื่อพี่น้องฟังแล้วในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณหรือการตีความหมายในพระคำของพระเจ้าแล้วคำว่า“หญิงพรหมจารี” คำนี้ลึกซึ้งมากไหมครับ ? ลึกซึ้งมากจริงๆ

จากพระคำของพระเจ้าใน มธ.25:1-13 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 2 เราพบคำว่าน้ำมัน

            พี่น้องที่รักครับ “หญิงพรหมจารี” ตามหลักการของพระคัมภีร์นั้นมิใช่เพียงแค่คนที่ถ่อมใจให้พระเจ้าใช้ มิใช่เพียงแค่สงบปากสงบคำหรือมิใช่มีใจเมตตาสงสารเด็กกำพร้าและหญิงม่ายเท่านั้น

อีกทั้ง “หญิงพรหมจารี” ตามหลักการของพระคัมภีร์ก็มิใช่เพียงแค่นุ่งขาวห่มขาวภายใน มิใช่เพียงแค่ไม่คิดจะทำผิดทำบาปและก็ไม่ใช่เพียงแค่มีชีวิตผูกพันกับฝ่ายวิญญาณเท่านั้น

แต่ “หญิงพรหมจารี” ตามหลักการของพระคัมภีร์ นั้นจะต้องมีน้ำมันด้วย อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า “หญิงพรหมจารี” ตามหลักการของพระคัมภีร์แล้วจะดีอย่างเดียวไม่ได้แต่เขาจะต้องมีน้ำมันด้วย

คำถามคือว่า “น้ำมัน” คืออะไร ? พระคำของพระเจ้าใน สภษ.1:2-6 ตรัสดังนี้ว่า “เพื่อให้บรรลุปัญญาและคำสั่งสอน เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำแห่งความเข้าใจเพื่อให้รับคำสั่งสอนในเรื่องสติปัญญา ในเรื่องความเที่ยงธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงเพื่อให้ความหยั่งรู้แก่คนเขลา ให้ความรู้และความเฉลียวฉลาดแก่คนหนุ่มทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้ และคนที่มีความเข้าใจจะได้คำปรึกษาที่ฉลาดเพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและปริศนา ทั้งถ้อยคำของปราชญ์และปริศนาที่ลึกลับของเขา”

ดังนั้นคำถามที่ว่า น้ำมัน คือ อะไร ? คำตอบก็คือ น้ำมันก็ คือ ปัญญานั่นเอง

คำถามต่อมาก็คือว่าแล้ว ปัญญา มาจากไหน ? สภษ.20:12 ตรัสดังนี้ว่า “หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเยโฮวาห์ทรงสร้างมันทั้งสอง” พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า

หูที่ได้ยินนั้นมีมาก แต่หูที่ได้ฟังนั้นมีน้อย และการที่เราได้ฟังพระคำของพระเจ้าผ่านการอ่านพระคำ ผ่านการฟังคำเทศนา ฟังผ่านการแบ่งปันของพี่น้องในกลุ่มเซลล์หรือกลุ่มอธิษฐานนั้นแหละทำให้เกิดปัญญา

ตาที่ได้มองนั้นมีมาก แต่ตาที่ได้เห็นนั้นมีน้อย และตาที่ได้เห็นถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่กำลังเคลื่อนไหวนั้นแหละที่ทำให้เรานั้นเกิดปัญญา

อาจจะกล่าวได้ว่า น้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้านั้นก่อให้เกิดปัญญา ดังนั้น หญิงพรหมจารี ตามหลักการของพระคัมภีร์แล้วจะดีอย่างเดียวไม่ได้ แต่เขาจะต้องมีน้ำมันของพระเจ้าด้วย

ซึ่งเรื่องพวกนี้เขาจะต้องหาเติมเอาเอง หยิบยืมกันไม่ได้ เหมือนกับความรอด ตราบใดก็ตามที่คุณเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อนั้นคุณก็จะได้รับความรอด จะไปขอยืมขอรอดนี้จากใครไม่ได้นอกจากคุณต้องเชื่อเอง

เมื่อหญิงพรหมจารีได้รับน้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญาไปแล้วนั้น เขาไม่ใช่รับไปเพื่อก่อให้เกิดความรู้เฉยๆเท่านั้น แต่เขาจะต้องนำไปใช้งาน เช่น ก่อให้เกิดการแก้ไข , ก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องในน้ำพระทัยของพระเจ้าและอื่นๆอีกมากมาย

เช่นใน กจ.6:3 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาไว้ดูแลการงานนี้”

น้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญาในกจ.6:3 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ถ้าคริสตจักรจะต้องมีการเลือกผู้นำขึ้นมา คุณสมบัติ 3 ประการที่ผู้นำในคริสตจักรจะต้องมี นั่นคือ ต้องเป็นคนดี มีธรรมะและประกอบด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าด้วย

เช่นใน 1 คร. 9:19-22 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสคนทั้งปวงเพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้นต่อพวกยิว ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้พระราชบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้พระราชบัญญัตินั้นต่อคนที่อยู่นอกพระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนคนนอกพระราชบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกพระราชบัญญัตินั้น (แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระราชบัญญัติแห่งพระคริสต์)ต่อคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนคนอ่อนแอ เพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง”

เช่นใน 1 คร. 9:19-22 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ความสามารถอย่างหนึ่งที่พระเจ้าได้มอบให้กับมนุษย์นั่นก็คือ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น หรืออยู่ร่วมกับคนทุกๆระดับถึงแม้ว่าคนๆนั้นเขาจะอ่อนแอกว่าก็ตามแต่เราจะต้องไม่อ่อนแอตามเขาอาเมนไหมครับพี่น้อง ?

น้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญาใน ปญจ.3:1-8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้นมีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำมีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอดมีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไปมีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูดมีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ”

น้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญาใน ปญจ.3:1-8 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ทุกอย่างมีวาระของมันเอง วันนี้คนที่รักเราแต่วันหน้าเขาอาจจะไม่ได้รักเราเหมือนในวันนี้ วันนี้คนที่เกลียดเราแต่วันหน้าเขาอาจะไม่ได้เกลียดเราเหมือนในวันนี้

ดังนั้นหญิงพรหมจารีที่มีน้ำมันจะเข้าใจอย่างนี้ ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม เขาจะไม่โอนไปเอนมาตามปากหรือตามคำพูดของคน เวลานี้ที่คนส่วนใหญ่ขาดความสุขเพราะอะไรครับ ?

เพราะเราขาดน้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้า เราจึงขาดสันติสุข ขาดความชื่นชมยินดีพี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

            เช่นใน ยน.2:25 และ ใน รม.14:10 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคนและไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์” “แต่ตัวท่านเล่า เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือเหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์”

            น้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญาใน ยน.2:25 และ ใน รม.14:10 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาดังนั้นพระองค์จึงให้คุณค่าทั้งภายในและภายนอกของการเป็นมนุษย์ทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

            ดังนั้นมนุษย์คนไหนจะดีหรือไม่ดี พระเจ้าที่เขาถึงมนุษย์องค์นี้แหละจะเป็นคนนั่งบัลลังก์แห่งการพิพากษาและตัดสิน ดังนั้นหญิงพรหมจารีที่มีน้ำมันแห่งความรู้ในพระเจ้านั้นเขาจะไม่ตัดสินใคร

            ก่อนจะจบคำเทศนาที่เราได้อ่านร่วมกันในมธ.25:1-13 ในเช้าวันนี้ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องว่า ถ้าพี่น้องนำเอาฝ่ายเนื้อหนังพี่น้องมาอ่านพระคำของพระเจ้าในเรื่องนี้ พี่น้องก็อาจจะเข้าใจว่าพระคัมภีร์กำลังสื่อสารกับผู้หญิงเท่านั้น

แต่ถ้าพี่น้องอ่านพระคำของพระเจ้าในเรื่องนี้ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ พี่น้องก็จะพบว่า หญิงพรหมาจารีที่พระเยซูพูดถึงนั้น หมายรวมถึงผู้ที่เป็นผู้ชายด้วย

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

เราพบความสง่างามของชีวิตผ่านคำว่า “หญิงพรหมจารี” ซึ่งจำแนกออกเป็น 6 ข้อย่อย และเราพบความสง่างามของชีวิตผ่านคำว่า “น้ำมัน” ซึ่งเปรียบเสมือนกับความรู้ในพระเจ้าซึ่งก่อให้เกิดปัญญา ซึ่งหญิงพรหมจารีจะดีอย่างเดียวไม่ได้ แต่เขาจะต้องมีปัญญาที่มาจากพระเจ้าด้วย ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City