คำเทศนาเรื่อง คำอธิษฐานของหญิงม่าย
สวัสดีครับพี่ - น้องที่รักครับ 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีพี่ - น้องคนไหนบางครับที่ติดตามฟังการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ?
โดยส่วนตัวผมคิดว่า พวกเราน่าจะติดตามเรื่องที่สำคัญอย่างนี้กันบ้างนะครับ อย่าเลือกที่จะติดตามเฉพาะไอ้เซียนกับไอ้ปลาวาฬ หรือเลือกที่จะติดตามเฉพาะพี่อาทิตย์กับน้องดารุณีเท่านั้นและที่ผมถามก็ไม่ใช่อะไรหรอกก็เพื่อพี่ - น้องที่ติดตามจะได้จินตนาการหรือมองเห็นภาพในการเทศนาของผมในเช้าวันนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้นในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมลก.18 : 1 - 8 (ขอเชิญที่ประชุมได้ยืนขึ้น) ให้สุภาพสตรีอ่านข้อ 1 - 4 และสุภาพบุรุษอ่านในข้อที่ 5-8 อ่านอย่างช้าๆพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 1 ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 1 พร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังอีกครั้งหนึ่ง (ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน)
พี่ - น้องที่รักครับ ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ยอร์จ มูลเล่อร์ เขาเป็นผู้หนึ่งที่เมื่อได้อธิษฐานกับพระเจ้าแล้วเขาจะมอบในทุกๆเรื่องเอาไว้แก่พระเจ้า
Gorge เขาได้ตั้งเป้าหมายอย่างแรงกล้าที่จะอธิษฐานเผื่อเพื่อนรักของเขา 5 คนนี้อยู่เสมอๆ เพื่อที่จะให้เพื่อนรักทั้ง 5 คนนี้ได้มีโอกาสต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเขา
พี่ - น้องทราบไหมครับว่าใน 5 ปีแรกที่ Gorge ได้ตั้งเป้าอธิษฐานเผื่อเพื่อนของเขานั้นมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
อีก 5 ปีต่อมา ได้มีเพื่อนคนที่ 2 คนที่ 3 มารับเชื่อในพระเจ้า
และในอีก 5 ปีถัดมาคนที่ 4 ก็ได้มารับเชื่อในพระเจ้า
ส่วนเพื่อนคนที่ 5 นั้นเขายังไม่สนใจ แต่ Gorge ก็ยังอธิษฐานเผื่อเพื่อนคนที่ 5 นี้อย่างไม่อ่อนระอาใจ แล้ววันหนึ่งพระเจ้าก็ได้รับ Gorge กับไปอยู่กับพระองค์ ในวัยที่ Gorge นั้นมีอายุ 70 ปี
ภายหลังจากการที่ Gorge จากไปอยู่กับพระเจ้าได้ไม่กี่วันเพื่อคนที่ 5 คนที่ Gorge ได้ตั้งเป้าอธิษฐานเผื่อเขาและใช้เวลานานถึง 25 ปี ก็ได้เปิดใจและต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต
พี่ - น้องที่รักครับ เรื่องที่ผมเล่าให้พี่ - น้องฟังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและเป็นเรื่องเล่าที่นักเทศน์คนแล้วคนเล่าชอบที่จะใช้เล่าประกอบคำเทศนาของตนมานับครั้งไม่ถ้วนรวมถึงผมด้วย และทุกครั้งที่เล่าให้กับพี่ - น้องฟังพี่ - น้องคริสเตียนหลายคนได้มาเป็นพยานให้ฟังนะครับว่า เขาได้รับพระพรจากเรื่องเล่าเรื่องนี้ อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเขาเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องนี้หรือเปล่าไม่ทราบแต่ก็ขอบคุณพระเจ้า
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น กำลังสอนสาวกของพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องของการอธิษฐานซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญไหมครับ ?
มีบางคนกล่าวเอาไว้อย่างนี้นะครับว่า “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติฉันใดการอธิษฐานก็คือกระดูกสันหลังของคริสเตียนฉันนั้น”
และมีบางคนกล่าวเอาไว้อย่างนี้ด้วยนะครับว่า “คริสเตียนไม่อธิษฐานมารแทรกความคิดคริสเตียนไม่ติดสนิทกับพระเจ้าชีวิตมีปัญหา”
ดังนั้นการอธิษฐานสำคัญไหมครับ ? สำคัญมาก (ให้พี่ - น้องบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวา การอธิษฐานสำคัญมาก อาเมน)
ให้พี่ - น้องกลับมาที่พระวจนะของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นกำลังสอนสาวกของพระองค์ เกี่ยวกับเรื่องของการอธิษฐานซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ พระองค์ทรงสอนสาวกว่าเราควรที่จะอธิษฐานอยู่อย่างสม่ำเสมอ และเราควรที่จะอธิษฐานอย่างไม่อ่อนระอาใจ
พูดแบบเข้าใจง่ายๆนั่นก็คือ ได้หรือไม่ได้ ก็ให้เรานั้นขอเอาไว้ก่อน และในเช้าวันนี้ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ที่นี่ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็จะทรงสอนพวกเราอย่างเดียวกันกับที่พระองค์ทรงสอนสาวกของพระองค์เมื่อสองพันกับอีกสิบสองปีที่ผ่านมา นั่นก็คือให้พวกเราอธิษฐานอยู่สม่ำเสมอและอย่างไม่อ่อนระอาใจ (อาเมน)
พี่ - น้องที่รักครับ ในการสอนของพระเยซูคริสต์เจ้าเกี่ยวกับเรื่องของการอธิษฐานในครั้งนี้นั้น พระองค์ทรงสอนโดยการใช้คำอุปมา
สิ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คำอุปมาของพระเยซูเจ้านั้น แตกต่างจากคำอุปมาของโลกอย่างสิ้นเชิง
คำอุปมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า หมายถึง
การยกตัวอย่างเรื่องราวในโลกนี้ แต่มีความหมายของแผ่นดินสวรรค์
การยกตัวอย่างจากโลกธรรมชาติแต่แสดงความหมายในฝ่ายวิญญาณ
การสอนเรื่องการอธิษฐานในครั้งนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงยกคำอุปมาเรื่องของหญิงม่ายกับผู้พิพากษาขึ้นมา พระองค์ทรงอุปมาว่าอย่างไร ในข้อที่ 2 - 3 พระองค์ทรงอุปมาว่า “ในนครแห่งหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่มิได้เกรงกลัวพระเจ้า และมิได้เห็นแก่มนุษย์ ในนครนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้น พูดว่า ขอให้ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าในการสู้ความเถิด”
สิ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า ศาลที่ใช้ในการพิจารณาคดีในสมัยนั้น ไม่ได้เหมือนกับศาลที่ใช้พิจารณาคดีเหมือนในสมัยนี้นะครับ
ศาลที่ใช้ในการว่าความสมัยนั้น เป็นเพียงแค่เต้นท์ที่สามารถขนย้ายหรือว่าเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้ เมื่อตั้งเต้นท์เสร็จเรียบร้อยแล้วผู้พิพากษาจะเป็นผู้กำหนดวาระการพิพากษาคดีความต่างๆ
โดยผู้พิพากษาจะนั่งอยู่ตรงกลางของเต้นท์ และล้อมรอบไปด้วยผู้ช่วยของเขา หรือไม่ก็เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิในการนั่งร่วมพิจารณาคดีต่างๆ ส่วนชาวบ้าน ประชาชนคนทั่วไปจะมองเห็นกระบวนการการพิพากษาคดีต่างๆของศาลจากภายนอกเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก จึงสบโอกาสให้มีการติดสินบนผู้ช่วยผู้พิพากษาหรือผู้ที่ได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมพิจารณาคดี เพื่อที่จะทำให้ผู้พิพากษานั้นมีความสนใจในคดีของคนๆ นั้นมากยิ่งขึ้น
ในข้อที่ 2 และ 3 เราพบว่ามีหญิงม่ายคนหนึ่ง องค์พระเยซูคริสต์เจ้าอุปมาว่าอย่างไรครับ ? พระองค์ทรงอุปมาว่า หญิงม่ายคนนี้เธออยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง หญิงม่ายคนนี้เธอต้องการได้รับความยุติธรรมแต่เธอไม่ได้รับ
ในขณะเดียวกันหญิงม่ายผู้นี้ เธอต้องเผชิญกับผู้พิพากษาที่ยากแก่การจะรับมือ เพราะผู้พิพากษาคนนี้เป็นคนที่มิได้เกรงกลัวพระเจ้าและมิได้เกรงกลัวต่อมนุษย์คนใด
เพราะฉะนั้นการเรียกร้องความยุติธรรมของหญิงม่ายคนนี้ ธรรมดาไหมครับพี่ - น้อง ? ไม่ธรรมดา
เธอต้องต่อสู้มากมั้ยครับพี่ - น้อง ? เธอจะต้องต่อสู้กับอุปสรรคหรือปัญหานาๆ นับประการ
พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 4 ตรัสเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ฝ่ายผู้พิพากษาไม่ยอมทำจนช้านาน”
สาเหตุที่ผู้พิพากษาไม่ยอมทำจนช้านานนั่นก็เพราะว่า
A. เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีสิทธิตามธรรมบัญญัติ เพื่อให้พี่ - น้องเกิดความเข้าใจมากขึ้น ผมอยากที่จะอธิบายเพิ่มเติมอย่างนี้ครับว่า ในสมัยของเธอนั้น ผู้หญิงจะไม่ไปศาลโดยลำพังเพียงคนเดียว แต่เนื่องด้วยเพราะเธอเป็นม่าย เธอจึงไม่มีสามีไปยืนร่วมกับเธอในศาล ด้วยเหตุนี้ผู้พิพากษาจึงไม่ค่อยที่จะสนใจ เพราะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีสิทธิตามธรรมบัญญัติ
สาเหตุที่ผู้พิพากษาไม่ยอมทำจนช้านานนั่นก็เพราะว่า
B. หญิงม่ายเธอมาที่ศาลด้วยความยากไร้ เธอเป็นคนยากจน เธอไม่มีปัญญาที่จะจ่ายสินบนให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษา (ถึงแม้ว่าใจของเธออยากจะจ่ายก็ตาม) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่การร้องขอความยุติธรรมของเธอนั้น ทำไมถึงไม่ได้รับความสนใจจากท่านผู้ช่วยผู้พิพากษาในการนำเสนอต่อศาล
อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ หญิงม่ายที่ดูจะสิ้นหวังคนนี้เธออ่อนระอาใจมั้ยครับ ? เธอยอมเลิกความตั้งใจนี้มั้ยครับ เธอยอมแพ้หรือท้อถอยมั้ยครับพี่ - น้อง ? เธอไม่อ่อนระอาใจ เธอไม่ยอมเลิก และเธอไม่ยอมแพ้ที่จะเรียกร้องขอความยุติธรรมจากผู้พิพากษาพูดกันแบบภาษาเข้าใจง่ายก็คือ มีช่องทางไหนที่จะทำให้ผู้พิพากษาสนใจในคดีของเธอได้ หญิงม่ายคนนี้เธอทำทุกช่องทางหรือเธอทำทุกอย่าง
Ex. เช่น ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลนั้น หญิงม่ายคนนี้อาจจะร้องตะโกนเข้าไปในศาลอยู่ตลอดเวลาด้วยถ้อยคำที่ว่า ขอความยุติธรรมแก่ฉันด้วย ซึ่งในตอนแรกๆ ผู้พิพากษาอาจจะไม่สนใจหรือดูเหมือนว่าไม่มีผลอะไรเลย แต่บ่อยครั้งเข้า นานเข้า พี่ - น้องคิดว่ามีผลไหมครับ ?
พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 5 ตรัสว่า“แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบากใจเราจะให้ความยุติธรรมแก่นาง”มีผลอย่างแน่นอน จนทำให้ท่านผู้พิพากษานั้นรู้สึกถูกรบกวนใจ ซึ่งถ้าหญิงม่ายมาทำอย่างนี้ในยุคนี้ พ.ศ.นี้ได้ไหมครับ ? ได้แต่โดนข้อหาก่อกวนศาลอย่างแน่นอน
พี่ - น้องที่รักครับ ผู้พิพากษาที่ไม่ได้เกรงกลัวพระเจ้าและมิได้เห็นแก่มนุษย์ผู้ใด แต่ตอนนี้ทำไมครับ กับอนุญาตให้หญิงม่ายคนนี้เข้ามาสู้คดีในศาลได้ ซึ่งแปลความว่าใครแพ้ใครครับ ? ในที่สุดผู้พิพากษานั้นแหละจะต้องยอมพ่ายแพ้ต่อเธอ
คำถามก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอุปมาเรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษานั้นเพื่ออะไรหรือพระองค์ต้องการที่จะบอกอะไรแก่เรา
คำตอบที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะบอกกับเรา ผ่านคำอุปมาในเรื่องนี้ พระองค์ต้องการที่จะบอกกับเราว่าสำหรับแล้ว “เราไม่จำเป็นต้องตะโกนเข้าไป จนทำให้พระเจ้าของเรานั้นต้องรู้สึกถูกรบกวนใจ แล้วพระเจ้า
ของเราจึงอนุญาตให้เราเข้าไปร้องทูลต่อพระองค์ได้”
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอุปมาเรื่องนี้ เพื่อต้องการจะบอกกับเราว่า “ถ้าหญิงม่ายไร้ที่พึ่งผู้น่าสงสารคนนี้ เธอยังได้รับสิ่งที่เธอควรได้รับจากผู้พิพากษาแล้ว และเหตุผลใดเล่าครับพี่ - น้องที่เราในฐานะบุตรของพระเจ้าจะไม่สมควรได้รับสิ่งที่ดีจากพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์”
ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้า ที่จะเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณเพื่อเราทั้งหลายจะได้รับพระเมตตาและจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่เราต้องการฮบ.4 :16
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ อฟซ. 3 : 12 แล้วอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้า ตรัสเอาไว้ “ในพระองค์นั้นเราจึงมีใจกล้า และมีโอกาสที่จะเข้าไปให้ถึงพระองค์ ด้วยความไว้ใจและความเชื่อในพระองค์”
พี่ - น้องที่รักครับ ดังนั้นเราในฐานะบุตรี - บุตราหรือเราในฐาะบุตรชายบุตรหญิงของพระเป็นเจ้า เราจึงควรที่จะมีใจกล้าในการที่จะเข้ามาขอรับพระคุณหรือขอรับความช่วยเหลือจากพระองค์ ผ่านการอธิษฐานและการทูลขอตามที่เราต้องการได้ตลอดเวลาเสมอ ( อาเมน )
อย่างไรก็ตามในปลายข้อที่ 5 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆ ให้เรารำคาญใจ” คำนี้ใครเป็นคนพูดครับ ? ผู้พิพากษา
คำๆนี้ทำให้เราทราบว่า ผู้พิพากษาได้ช่วยหญิงม่ายคนนี้ด้วยความไม่เต็มใจอีกทั้งผู้พิพากษาคนนี้เขาเกรงด้วยว่าถ้าเขาไม่ช่วยหญิงม่ายคนนี้แล้ว ก็จะทำให้เขานั้นถูกคำครหาหรือถูกนินทาได้
ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของผู้พิพากษาได้รับความเสียหาย ผู้พิพากษาคนนี้จึงช่วยหญิงม่ายในลักษณะให้เรื่องยุ่งๆนั้นมันจบไปซึ่งท่าทีการช่วยเหลือแบบนี้ดีหรือไม่ครับพี่ - น้อง
แต่องค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระบิดาของเรานั้น พระองค์ทรงเต็มพระทัยในการช่วยเหลือพวกเราทุกคน และพระองค์ไม่ได้ปรารถนาที่จะช่วยพวกเราทั้งหลายในลักษณะเพียงให้เรื่องนั้นมันจบๆไปเท่านั้น แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้จบลงอย่างสวยงาม และให้เป็นที่ถวายพระเกียรติยศแด่พระองค์ด้วย
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อท่านผู้พิพากษาได้อนุญาตให้หญิงม่ายคนนี้เข้าไปสู้ความในศาลได้
หญิงม่ายคนนี้เธอเดินไปที่บัลลังฆศาลเพียงลำพังคนเดียว เธอไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเธอ อีกทั้งเธอไม่มีทนายที่จะไปต่อสู้คดีความให้กับเธอและเธอก็ไม่มีใครที่จะไปเป็นพยานให้กับเธอ แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จะทรงเดินไปเป็นเพื่อนเรา และพระองค์จะยืนอยู่เคียงข้างเราที่บัลลังค์ศาล
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อท่านผู้พิพากษาได้อนุญาตให้หญิงม่ายคนนี้เข้าไปสู้ความในศาลได้
หญิงม่ายคนนี้นั้นเขาไม่มีเอกสารหลักฐานหรือหนังสือสัญญาใดๆเลยที่เธอจะอ้างถึง เพื่อที่จะใช้โน้มน้าวให้ท่านผู้พิพากษานั้นฟังคำร้องของเธอ
แต่เรามีพระวจนะคำของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาเอาไว้กับเราอย่างมากมาย อีกทั้งพวกเราทั้งหลายนั้นยังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าที่จะเป็นผู้ช่วยเราอีกทางหนึ่งด้วย
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อท่านผู้พิพากษาได้อนุญาตให้หญิงม่ายคนนี้เข้าไปสู้ความในศาลได้
หญิงม่ายคนนี้ เธอเดินไปที่บัลลังคศาลเพื่อร้องขอความยุติธรรมให้แก่เธอ แต่ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคน ต่างเดินไปที่บัลลังค์ศาลแห่งพระคุณ โดยเรามีมหาปุโรหิตย์ที่ทรงประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบิดา ที่จะเป็นผู้ทูลขอหรือนำเสนอสิ่งต่างๆต่อพระบัลลังค์ของพระองค์แทนเรา ดั่งพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ใน
1 ยน.2 : 1-2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้นและพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกนี้ด้วย ”
พี่ - น้องที่รักครับ ในคำอุปมาที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสสอนเราในข้อที่ 3 และ 4 ว่า ผู้พิพากษาถ่วงเรื่องและไม่ยอมทำจนช้านาน เพราะไม่เห็นใจใครนั้น นั่นมิได้หมายความว่า พระเจ้าไม่สนใจฟังคำอธิษฐานของเรา
แต่พระเจ้าอาจจะทรงตอบคำอธิษฐานของเราช้าในบางครั้ง แม้ว่าคำอธิษฐานของเรานั้นจะถูกต้องต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าก็ตาม
แต่การที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราช้าในบางครั้งขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าพระองค์กำลังจัดเตรียมสิ่งที่ดีและดีที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ให้กับเรา(อาเมน) ดังนั้นให้เราได้อธิษฐานอย่างมีเป้าหมาย และเรียนรู้ที่จะควบคุมการรอคอยของตนเองเอาไว้ให้ได้ แม้คำตอบในการอธิษฐานอาจจะมาถึงเราช้าหรืออาจจะไม่ทันใจเราก็ตาม
ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ลงด้วยเรื่องของนางฮันนาห์ซึ่งได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมในหนังสือ
1 ซมอ.1 : 1 - 28 บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ นางฮันนาห์นั้นมีความทุกข์ใจมากเกี่ยวกับเรื่องของการที่เขานั้นไม่มีบุตร ในระหว่างปีนางฮันนาห์และนางเปนินนาห์(ซึ่งเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของเอลคานาห์) ต่างพักอาศัยอยู่กันคนละเต้นท์ซึ่งห่างกันไกลกันพอสมควร
แต่เมื่อพอถึงเวลา ที่พวกเขาจะต้องไปนมัสการพระเจ้าพระยาเวห์ทั้งครอบครัวร่วมกันที่เมืองชิโลห์ ทำให้พวกเขานั้นจะต้องมีการดื่ม มีการกินและมีการนอนอยู่ในเต้นท์ร่วมกัน ซึ่งทุกครั้งที่เดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่เมืองชิโลห์นั้น นางฮันนาห์แทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เหตุเพราะทุกครั้ง ที่ต้องกิน ต้องดื่มแถมตกกลางคืนต้องนอนร่วมกันคราวใด นางฮันนาห์ก็มักจะต้องถูกนางเปนินนาห์ภรรยาอีกคนหนึ่งคอยที่จะพูดจาส่อเสียด , ทิ่มแทงนางฮันนาห์อยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับเรื่องของการที่นางนั้นไม่มีบุตร
ซึ่งในเวลานั้นการไม่มีบุตรถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ไหมครับพี่ - น้อง ? สังคมยิวในสมัยนั้นถือว่าถ้าผู้หญิงคนไหนที่มีสามีแล้วแต่ไม่มีบุตรเขาถือว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า หนักไปกว่านั้นเขาถือว่าผู้หญิงคนนั้นได้ไปทำบาปมาพระเจ้าจึงปิดครรภ์หญิงนั้นเสีย ดังนั้นการที่ผู้หญิงมีสามีแล้วแต่ไม่มีบุตรจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากในเวลานั้น
ดังนั้นเมื่อนางฮันนาห์ รับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวเสร็จสิ้นลง พี่ - น้องคิดว่านางฮันนาห์จะนั่งรีรออยู่ตรงนั้นต่อไปหรือรีบออกไปจากที่นั่นในทันที ? นางรีบออกไปจากที่นั่นในทันที และนางรีบไปที่ไหนครับ ?
นางรีบตรงไปยังที่พลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเปรียบเทียบกับในเวลานี้นั่นก็คือที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าหรือคริสตจักร ซึ่งนี่เป็นท่าทีที่ดีและดีมากๆ และเป็นท่าทีที่พี่ - น้องคริสตชนทั้งหลายควรจะมีท่าทีอย่างเดียวกับนางฮันนาห์ในตอนนี้
และเมื่อแบ่งปันมาถึงตรงนี้ผมก็อยากที่จะขอบพระคุณพระเจ้านะครับ ที่มีอยู่วันหนึ่งที่คุณหมวยมีปัญหา กล่าวคือ ไม่มีลูกค้าโทรมาตามไปนวดตัวเลยและเจ้าหนี้ก็โทรมาทวงเงิน คุณหมวยได้เข้ามาที่คริสตจักรฯและระบายความทุกข์นี้ให้กับคนของพระเจ้าฟังอ.ดาก็เลยพาคุณหมวยนมัสการพระเจ้า
ตอนที่ผมเป็นคริสเตียนใหม่ ผมก็เห็นพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรที่ผมร่วมนมัสการอยู่ในเวลานั้นหลายคนเป็นอย่างนี้ที่มีปัญหาอ.ประนอม ก็พาพี่ - น้องที่มีปัญหาเหล่านั้นนมัสการอธิษฐานกับพระเจ้า
ตอนนั้นผมในฐานะผู้เชื่อใหม่ก็ได้แต่นึกในใจนะครับว่าพวกคริสเตียนนี่แปลกเน้อมีปัญหาอะไรก็ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า ไร้สาระสิ้นดี แต่เมื่อเดินกับพระเจ้ามากขึ้นรู้และเข้าใจในพระคำของพระเจ้ามากขึ้น
ผมจึงรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่ อ.ประนอม ได้พาพี่ - น้องสมาชิกที่มีปัญหาเหล่านั้นร้องเพลงนมัสการและอธิษฐานกับพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดังนั้นให้เราทั้งหลายต่างที่จะมีท่าทีอย่างเดียวกันกับนางฮันนาห์ในตอนนี้
คำถามคือว่า นางฮันนาห์ไปที่พลับพลาของพระเจ้านั้นเพื่ออะไร ?
คำตอบคือ นางไปเทใจและจิตวิญญาณของนางโดยการอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างมีเป้าหมาย และเป้าหมายในการอธิษฐานที่ชัดเจนที่สุดของนางฮันนาห์ในเวลานั้น นั่นก็คือ การทูลขอบุตรชายเพียงคนเดียวต่อพระเจ้าอีกทั้งนางได้ให้สัญญากับพระเจ้าหรือพระยาเวห์เอาไว้ด้วย ซึ่งในสมัยนี้เขาเรียกว่า “บน” ใช่ไหมครับ
นางฮันนาห์ ได้ให้สัญญากับพระเจ้าหรือพระยาเวห์เอาไว้ว่าถ้านางได้บุตรชาย นางจะถวายบุตรชายนั้นให้แด่พระเจ้าตลอดชีวิต และพระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อครอบครัวนี้เสร็จสิ้นการนมัสการพระเจ้าที่เมืองชิโลห์แล้ว เขาก็ได้กลับไปยังถิ่นฐานทำกินของเขาที่รามาห์ตามปกติ และเอลคานาห์ซึ่งเป็นสามีก็ได้สมสู่กับฮันนาห์ภรรยาของตน
พระคำของพระเจ้าก็ได้บันทึกต่อไปด้วยว่า และพระเจ้าก็ทรงระลึกถึงนาง อยู่มาเมื่อถึงกาลกำหนดนางฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์ คลอดบุตรชายคนหนึ่งและนางเรียกชื่อเด็กนั้นว่า ซามูเอล เมื่อลูกหย่านมแล้วและถึงเวลาประจำปีที่จะต้องเดินทางไปที่เมืองชิโลห์ นางฮันนาห์จึงนำซามูเอลไปด้วยและมอบซามูเอลให้อยู่ในการดูแลของเอลีผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระวิหาร
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อซามูเอลซึ่งอยู่ในบทบาทของการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าซามูเอลเขาได้เป็นผู้เจิมตั้งกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอลเอาไว้ถึง 2 พระองค์นั่นก็คือ กษัตริย์ซาอูล กับ King David
พี่ - น้องเห็นหรือยังครับว่า การที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราช้าเพราะอะไรครับ ? เพราะว่าพระองค์กำลังจัดเตรียมสิ่งที่ดีและดีที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดให้แก่เรา
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ รม. 8:28 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า 40 กว่าปีที่ผ่านมานั้น มีหลายองค์การ หลายหน่วยงานและหลายคริสตจักร ได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเข้ามาบุกเบิกและก่อตั้งคริสตจักรใน จ. สมุทรสงคราม แต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล
เมื่อผมกับ อ.ดาได้ถูกทาบทามจากท่าน ศจ.มนูญศักดิ์ พี่ - น้องทราบไหมครับว่า สิ่งแรกที่ผมเน้นมากเป็นพิเศษและในเวลานี้ก็ยังเน้นอยู่นั้นคือเรื่องอะไร ? การอธิษฐาน
ผม กับ อ.ดาและกับพี่ - น้องที่มีอยู่ในช่วงแรกซึ่งโดยส่วนมากอยู่ในฐานะเป็นผู้เชื่อใหม่ทั้งหมดในเวลานั้น ได้ตั้งเป้าหมายในการอธิษฐานเผื่อพระราชกิจของพระเจ้าในจังหวัดนี้ ในเมืองนี้ โดยขอให้พระเจ้าทรงโปรดพรวนดินในฝ่ายวิญญาณที่แข็งให้เป็นดินที่ร่วนเพื่อพระนามของพระองค์
ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่า การอธิษฐานอย่างมีเป้าหมายและอย่างเอาจริงเอาจังจากวันนี้เป็นเหตุทำให้เรามีวันนี้ได้
ในฐานะที่ผมเป็นพ่อของน้องปลื้ม ผมบอกกับน้องปลื้มก่อนนอนว่าพ่อไม่มีอะไรนอกจากคำอธิษฐาน และผมก็อธิษฐานอวยพรน้องปลื้มทุกคืน
ทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ
ในฝ่ายร่างกายผมอธิษฐาน ให้เขาเป็นเด็กที่เรียนดีโดยไม่ต้องไปเรียนกวดวิชา ให้เขาเป็นเด็กที่ไม่ต้องวิ่งหาทุนการศึกษาแต่ทุนการศึกษาต้องวิ่งหาเขา ให้เขาเป็นเด็กที่พูดได้อย่างน้อย 3 ภาษา
ในฝ่ายจิตวิญญาณผมอธิษฐานให้เขาเป็นเด็กที่รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจสุดกำลังสุดความคิด สุดๆๆๆ ให้เขาได้พบกับคริสเตียนที่ดี และไม่ให้เขาเข้าเทียมแอกหมายถึงไม่แต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ อันนี้เป็นคำอธิษฐานของผมซึ่งพี่ - น้องจะนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางของพี่ - น้องก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า
1. เวลานี้พี่ - น้องมีเป้าหมายในการที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าหรือยัง ?
2. (ถ้ามี)เป้าหมายในการอธิษฐานของพี่ - น้องในเวลานี้คืออะไร ?
ผมขอฝาก 2 คำถามนี้และขอให้พี่ - น้องได้กลับไปพิจารณาด้วย