คำเทศนาเรื่อง คุณคือต้นไม้ชนิดไหน
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม วิวรณ์ 22 : 2
ให้ที่ประชุมเปิด และอ่านพระคำของพระเจ้าอย่างช้าๆ พร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ท่ามกลางถนนในเมืองนั้นและริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย”และผมจะให้เรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า คุณคือต้นไม้ชนิดไหน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
มีบทเพลงหลายบทเพลง ที่ไม่ใช่เป็นบทเพลงเพลงคริสเตียนนะครับ ที่ผมชื่นชอบ และหนึ่งในหลายๆบทเพลงนั่นก็คือบทเพลงที่ คุณ เสกสรรชัยเจริญหรือหนุ่มเสก ได้ขับร้องเอาไว้นั่นก็คือบทเพลงที่มีชื่อว่า รักเหมือนดั่งต้นไม้ โดยเฉพาะท่อนสร้อยที่ร้องว่า
..แต่ รักฉัน เปรียบดังต้นไม้ งอกงาม ต้องเลี้ยง ต้องดู ให้น้ำ
..แม้ ผลิใบ กิ่งเสีย หักลง งอกเสริม เติบโต รักเป็น ดั่งต้นไม้
..หมั่นเพียรดูแลต้นไม้ของเรา ไม่เปรียบเอารักเป็นแก้วบางใส
แตกหักลงคงด้วยพลั้งไป ยังออกกิ่งใบเติบโตสูงงาม
ผมเชื่อว่าพี่น้องหลายท่าน โดยเฉพาะคนรุ่นราวคราวเดียวกับผม คงจะคุ้นเคยกับท่อนสร้อยนี้กันเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในพระคำของพระเจ้า ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและในพระคัมภีร์ใหม่นั้น ก็ได้มีการกล่าวถึงต้นไม้เอาไว้มากมายหลายชนิด เช่นในหนังสือ ปฐก. ได้มีการพูดถึงต้นไม้แห่งชีวิต เช่นใน 1 พศก. 19 : 5 ได้มีการกล่าวถึง ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ 1 พศก. 4 : 33 ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน และพระคัมภีร์ยังมีการกล่าวถึงต้นไม้อื่นๆอีก เช่น ต้นผักหนาม ต้นมะกอก ต้นมะเดื่อ ต้นองุ่น ต้นหนาม ต้นไม้เลว เป็นต้น แต่ในเช้าวันนี้พระคำของพระเจ้าอยากที่จะหนุนนำให้พี่น้องได้มารู้จักกับต้นไม้ 4 ชนิดนี้ด้วยกัน
ชนิดที่ 1 นั่นก็คือ ต้นมะกอก 21 ข้อ
คนอิสราเอลจะเอามะกอกไปแปรสภาพเป็นน้ำมัน และน้ำมันมะกอกที่ได้นี้ คนอิสราเอลที่ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตย์ประจำการพระวิหารในแต่ละปีนั้น เขาจะนำไปจุดในพระวิหาร เพื่อให้พระวิหารนั้นมีความสว่างตลอด 24 ช.ม.อีกทั้งปุโรหิตย์ประจำการในพระวิหาร จะทำหน้าที่ในการคอยเติมน้ำมันมะกอกเพื่อไม่ให้ไฟในตะเกียงในพระวิหารนั้นดับ
ซึ่งถ้าเราจะดึงเอาภาพของน้ำมันมะกอก ที่ถูกนำไปใช้จุดเพื่อให้ความสว่างในพระวิหารนั้นมาเปรียบเทียบกับชีวิตคริสเตียนของเราในเวลานี้ก็คงจะเปรียบได้กับคำอธิษฐานของธรรมิกชนในเวลานี้ ที่จะต้องอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ
และเมื่อใดก็ตามที่พี่น้องรู้สึกอ่อนกำลัง อ่อนเรี่ยวแรงในการที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า นั่นก็เท่ากับว่า น้ำมันมะกอกมันกำลังพร่องลงจากภาชนะดิน เพราะฉะนั้นพี่น้องจะต้องทำหน้าที่ในการเป็นปุโรหิตย์ที่คอยเติมน้ำมันมะกอกลงในชีวิตของพี่น้องอยู่ตลอดเวลาเสมอ เพื่อให้ไฟแห่งการอธิษฐานของพี่น้องจะได้ลุกโชติช่วงชัชวาลอยู่เสมอ ให้เราพูดพร้อมกัน 3ครั้งว่า “ถ้าคริสเตียนไม่อธิษฐานมารแทรกความคิด ถ้าคริสเตียนไม่ติดสนิทชีวิตมีปัญหา” แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆพี่น้องที่รัก
นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้วพี่น้องที่รักครับ ผลของมะกอกที่ผ่านการแปรสภาพมาเป็นน้ำมันมะกอกนั้น คนอิสราเอลเขายังสามารถนำเอามาใช้ในการรักษาบาดแผลหรือทาแผลได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าอะไร ?
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการให้ชีวิตของพระองค์ที่อยู่ในเราทั้งหลายนั้น เป็นเสมือนกับน้ำมันมะกอกที่จะคอยบำบัด เยียวยา และรักษาผู้คนในสังคมที่เจ็บไข้ได้ป่วยทั้งในฝ่ายร่างกาย และจิตวิญญาณให้หาย
ดังนั้นพี่น้องไม่ต้องรู้สึกโกรธใครถ้าจะมีใครมาพูดกับพี่น้องในทำนองที่ว่า Olive Christian หรือ คริสเตียนน้ำมันมะกอก เพราะพระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้ที่จะสมานแผลกายสมานใจให้กับผู้อื่น อาเมนไหม
นอกเหนือจากนี้ ผลของมะกอกที่ถูกนำไปแปรสภาพเป็นน้ำมันมะกอกนั้น ยังถูกนำไปใช้เป็นเครื่องประทินผิว เพื่อให้ผิวพรรณของผู้คนดูเปล่งปลั่งสวยงามอีกด้วย
ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ยอมแปรสถานภาพจากพระเจ้าลงมารับสภพากายมนุษย์ เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับชีวิตนิรันดร์ พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระคริสต์ยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
ไฉนเลย เราถึงไม่ยอมสละการดำเนินชีวิตไม่ใช่สละชีวิตนะครับ ของเราเพื่อพระองค์ สละชีวิตของเราเพื่อพระเยซูกับสละการดำเนินชีวิตของเราเพื่อพระเยซูสละอันไหนง่ายกว่า ?
สละการดำเนินชีวิตของตัวเราเองเพื่อให้คนอื่นได้เห็นพระเยซูในชีวิตของเรานั้นง่ายกว่า พี่น้องตอบถูก แต่เราก็ยังทำกันไม่ได้เลยและเราจะไปสละทรัพย์สิ่งของที่มีอยู่หรือสละชีวิตของเราเพื่อพระเยซูได้อย่างไร
ขอพระเจ้าเมตตาที่เราทั้งหลายนั้น จะสละวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆของเรามาสู่ในบริบทใหม่ เพื่อที่เราทั้งหลายจะเป็นผู้ที่ ออกผลทั้ง 12 ชนิด และออกผลในทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หายหรือที่ชีวิตของเราจะเป็นพระพรแก่ผู้อื่น
ต้นไม้ชนิดที่ 2 นั่นก็คือ ต้นมะเดื่อ 36 ข้อ
ซึ่งใบของต้นมะเดื่อนั้นจะมีใบที่ใหญ่ สามารถที่จะให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ใช้บังแดดหรือใช้เป็นร่มเงาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ?
ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตของธรรมิกชนทั้งหลายนั้น ถึงแม้ว่าเราเองจะไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ตาม แต่คนที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้ามานาน จะต้องเป็นผู้ที่สามารถบรรเทาเหตุแห่งความทุกข์ยากลำบากหรือเป็นที่ปรึกษาให้กับคนอื่นได้
คำถามก็คือว่า วันนี้พี่น้องได้เป็นร่ม เป็นเงา ให้ใครได้พักพิง หรือพี่น้องได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการให้คำพยานที่หนุนใจและอธิษฐานเผื่อ และหรือพี่น้องได้เป็นผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งพระคำของพระเจ้าแก่ผู้คนที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากใจบ้างมากน้อยแค่ไหน
ในขณะเดียวกันพี่น้องที่รักครับ ภายในผลของมะเดื่อนั้นมีเม็ดมากมาย ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า ถ้าเม็ดมะเดื่อมันตกลงตรงไหนเกิดการขยายพันธุ์และงอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมาที่นั่น
ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตคริสเตียนของเราทั้งหลาย ที่จะต้องเกิดมรรคเกิดผลในแผ่นดินของพระเจ้าหรือในอาณาจักรของพระองค์ และการมีชีวิตที่เกิดผล ก็ถือได้ว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างหนึ่ง ที่มีมาเหนือชีวิตของเราทั้งหลายด้วยเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนการเกิดผลก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วย
ดังนั้นขอให้พี่น้องที่มีความเชื่อในพระเจ้าทั้งหลาย ที่จะมีชีวิตที่เป็นเหมือนกับต้นมะเดื่อนี้ คือ นำข่าวประเสริฐของพระเจ้าออกไปยังคนที่หลงหาย นำเขารับเชื่อด้วยตัวของพี่น้องเอง และสอนให้เขาถือรักษาสิ่งสารพัดตามที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสสั่งเราทั้งหลายเอาไว้ อีกทั้งสนับสนุนให้เขาที่จะเติบโตขึ้นและมีชีวิตที่เกิดผล และไม่ใช่เกิดผลเฉพาะบางที่บางแห่งเท่านั้น แต่เกิดผลในทุกหนและในทุกแห่ง
พี่น้องที่นี่รู้จักท่าน อ.สวนีย์ กันเป็นอย่างดี อาจารย์เป็นข้าราชการครู ซึ่งจะต้องมีการย้ายไปสอนที่นั่น ที่นี่อยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าท่านอาจารย์จะย้ายไปสอนที่ เพชรบูรณ์ สุรินทร์ นครปฐม สมุทรสงคราม หรือจะเป็นที่ไหนก็ตามแต่ ท่านอาจารย์ก็มักที่จะไปเกิดมรรคเกิดผลในที่นั่นเสมอ ผ่านการรักษาชีวิตและสำแดงชีวิตคริสเตียนของท่าน ที่ท่านจะต้องอดทนกับเพื่อนอาจารย์และอดทนกับนักศึกษาของท่านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
จนกระทั่งท่านอาจารย์สามารถที่จะนำนักศึกษา 5 คนมารับเชื่อด้วยตัวของอาจารย์เอง อีกทั้งสอนให้เขาเติบโตและเป็นผู้ที่มีชีวิตที่เกิดผล ซึ่ง 1 ใน 5 คน ปัจจุบันนี้ถวายตัวเป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์
ดั่งเช่น ชีวิตของมิชชันนารีหลายต่อหลายคน ที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากผลของมะเดื่อนี้ ที่ไม่ว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน หรือไม่ว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ประเทศอะไรก็ตาม เขาก็จะนำข่าวประเสริฐของพระเจ้าออกไปยังคนที่หลงหายที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆเสมอ
คำถามคือว่า พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกอะไรกับพี่น้องผ่านต้นไม้ชนิดที่ 2 นี้
คำตอบก็คือว่า พระเจ้าต้องการที่จะบอกกับพี่น้องว่า
1)ให้พี่น้องได้เป็นผลมะเดื่อที่จะขยายแผ่นดินของพระเจ้าให้งอกงามในที่ๆพี่น้องอยู่อย่างเกิดผล
2)ให้พี่น้องเป็นมิชชันนารีทีจะต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากในดินแดนนั้นๆเพื่อที่ผู้อื่นจะได้รับความรอดหรือจะได้รับพระพรเพราะท่าน
ต้นไม้ชนิดที่ 3 นั่นก็คือ ต้นองุ่น 4 ข้อ
รสชาติของผลองุ่นที่ผมเข้าใจว่า อร่อยที่สุด น่าจะเป็นรสชาติของผลองุ่นที่ถูกปลูกขึ้นในประเทศอิสราเอล ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นผลองุ่นไร้เม็ดและมีขนาดใหญ่เท่านั้นแต่มีรสชาติที่หวานแบบธรรมชาติด้วย
กลับมาที่ประเทศไทยของเรา ซึ่งไม่นานมานี้ผมก็ได้มีโอกาสซื้อองุ่นในบ้านเรามารับประทานกิโลหนึ่ง
ผมถามแม่ค้าว่า กิโลละเท่าไหร่
เขาตอบผมว่า กิโลละ 250-
ผมถามเขาว่า แล้วทำไมมันถึงกิโลละตั้ง 250- ล่ะ
เขาตอบผมว่า มันไร้เม็ดและรสชาติมันก็อร่อยด้วย
ผมถามเขาว่า แล้วทำไม่รสชาติมันถึงอร่อยล่ะ
เขาตอบผมว่า ก็เพราะมันติดอยู่กับเถาองุ่นนานไง
ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรครับ ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่ผลขององุ่นติดอยู่กับเถาองุ่นนานในเวลาที่พอเหมาะนั้นมีความสำคัญไหมครับ ? มีอย่างแน่นอน เพราะทำให้รสชาติ 1) ดี 2) อร่อย 3)ขายได้ราคา
ยน. 15 : 1 - 8 ให้ที่ประชุมเปิดพระคำของพระเจ้าและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พระคำของพระเจ้าใน ยน. 15 : 1 - 8 ทำให้เราทราบว่าองค์พระเยซูคริสต์ได้พูดถึงเถาองุ่นกับผลที่ยึดกับแขนง ?
รูปภาพ เถาองุ่นกับแขนง
คำถามคือว่า ใครเป็นเถาองุ่นและใครเป็นผลที่ยึดกับแขนงครับ ?
และพี่น้องเห็นอะไรอีก
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าบอกว่า ถ้าธรรมิกชนของพระองค์ไม่เพียงแค่ต้อนรับพระองค์เพียงเพราะแค่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่หากเขาได้ดำเนินชีวิต ที่อยู่ในพระคำของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ หรือดำเนินชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตของเขานั้นจะมีคุณค่า มีราคา ในสายพระเนตรของพระเจ้า
ซึ่งการที่ธรรมิกชนจะมีชีวิตอย่างนี้ได้ นั่นหมายความว่า เราจะต้องมีการวางชีวิตของเราในแต่ละวันลงที่ชีวิตของพระเยซู หรือวางชีวิตของเราลงกับคนในชุมชนของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนพระกายของพระคริสต์ในการที่เราทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกัน เราถึงจะมีชีวิตที่มีคุณค่า มีราคา ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้
และยิ่งถ้าพี่น้อง ได้วางชีวิตของพี่น้องลงกับพระคริสต์มากขึ้นในทุกๆวัน อีกทั้งวางชีวิตแห่งการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ร่วมกับคนในชุมชนของพระเจ้ามากขึ้นในทุกๆวัน ชีวิตนั้นก็ยิ่งมีคุณค่า มีราคา เป็นพระพรกับผู้คนมากหลาย เปรียบเสมือนกับผลขององุ่นที่มีรสชาติดี หวาน อร่อย
ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการให้ธรรมิกชนของพระองค์มีชีวิตแบบผลองุ่นนี้ และออกผลในทุกๆเดือน เพื่อเป็นพระพรแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลาย ให้พี่น้องบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า เราจะไม่เป็นคริสเตียนที่มีรสชาติเปรี้ยว แต่เราจะเป็นคริสเตียนที่รสชาติดี หวานอร่อยเพื่อที่เราจะเป็นพระพรแก่ผู้อื่น
ต้นไม้ชนิดที่ 4 นั่นก็คือ ต้นหนาม 9 ข้อ
คุณสมบัติของต้นไม้ชนิดนี้คือ มีต้นเป็นหนาม ไร้ใบเป็นไงครับ ไร้ใบก็ไร้ร่มเงา ชอบยืนต้นอยู่ในที่ๆไม่มีน้ำมาก ลักษณะการยืนต้นจึงเป็นไปแบบลำพัง เพราะฉะนั้นใครอย่ามาเข้าใกล้ เพราะถ้าใครเข้ามาใกล้แล้วจะต้องเจ็บตัวอย่างแน่นอน พอเราเห็นใครพลีพลามเดินเข้าไปใกล้ๆต้นหนามเราทำไมครับ ? เฮ้ยต้นหนาม
ชีวิตของธรรมิกชนหลายคนก็เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะธรรมิกชนที่ไปทำบาปและยังสนุกกับความบาปนั้นอยู่ ซึ่งเขาปรารถนาที่จะยืนต้นอยู่กับความบาปอย่างนั้นเพียงลำพัง
ดังนั้นเขาไม่ต้องการ ที่จะให้ใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายหรือซักไซ้ไล่เรียงอะไรชีวิตของเขามาก ดังนั้นใครก็ตามอย่ามายุ่ง เพราะเดี๋ยวมันจะทำให้เขาและเรานั้นแหละเดือดร้อน ธรรมิกชนประเภทนี้จึงไม่เพียงแต่ไร้ใบไร้ร่มเงาเท่านั้น แต่เขากำลังยืนรอต้นในฝ่ายวิญญาณตายด้วย
หน้าห้องน้ำในเวลานี้มีต้นไม้ต้นหนึ่งยืนต้นตายมา 2 - 3 อาทิตย์แล้วซึ่งก่อนที่มันจะยืนต้นตายนั้น ผมยังต้องทำอะไรๆตั้งหลายอย่าง เพื่อที่จะให้มันรอด แต่สุดท้ายถ้ามันจะไม่รอดเราก็ต้องปล่อยมันเหมือนในเวลานี้
คำถามก็คือว่าแต่ถ้ามันเป็นคนละพี่น้องแถมเป็นผู้เชื่ออีกต่างหากด้วย เราจะปล่อยให้คนนั้น ทำความบาปต่อไปเรื่อยๆหรือยืนต้นตายไปเองไหม ?
คำตอบก็คือ คงไม่ แต่เราคงจะต้องบอกเขาว่า ความบาปที่คุณทำอยู่นั้นมันเป็นเหมือนกับหนามในชีวิตของคุณ ซึ่งคนในชุมชนของพระเจ้าเมื่อเขารับรู้ รับทราบ คงจะไม่มีใครพูดว่าอย่าไปยุ่งกับมันเปลืองตัวเปล่าๆ
แต่ทำไมครับ ด้วยความรักของพระเจ้า ผมเห็นธรรมิกชนหลายคนพร้อมที่จะเจ็บปวดและให้อภัยกับคนที่ทำบาปนั้น ขอเพียงให้การตายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่ทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขนหรือให้ไฟแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นได้กำจัดบาปหนามในชีวิตของพี่น้องอย่างแท้จริง ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าธรรมิกชนหลายคนพร้อมที่จะเจ็บปวดและพร้อมที่จะให้อภัยกับคนที่ทำบาปนั้นได้
ปัญหาก็คือว่า คนทำความผิด ความบาปและไม่ยอมรับความผิดความบาป ไม่ยอมที่จะสำนึกผิดโดยการกลับใจใหม่กับพระเจ้าอย่างแท้จริง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องปล่อยเขา เพราะเขาได้เลือกที่จะยืนต้นตายในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม อย่าให้ความผิดความบาปของพี่น้องในคริสตจักรเป็นเหตุทำให้เราไม่ยกโทษหรือไม่ให้อภัยใคร ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่านกำลังปลูกหนามขึ้นมากลางใจของท่านด้วย เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องได้รักษาความคิดและจิตใจของพี่น้องด้วย
สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ท่านเป็นต้นไม้ชนิดไหน ขอที่เราทั้งหลายจะเป็นต้นไม้ 3 ชนิดแรกคือ ต้นมะกอก มะเดื่อ ต้นองุ่น ซึ่งออกผลทั้ง 3 ชนิดนี้ในทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับการรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย ซึ่งนั่นหมายความว่า เพื่อที่เราจะได้เป็นพระพรแก่ผู้อื่น