คำเทศนาเรื่อง คุณได้รับพระพร
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม อฟซ. 1:3 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ทรงโปรดประทานพระพรฝ่ายวิญญาณแก่เรา นานาประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า คุณได้รับพระพร ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่น้องที่รักครับ มีใครเคยได้รับจดหมายในลักษณะที่เนื้อความเขียนว่า คุณคือผู้โชคดี หรือคุณได้รับรางวัล อะไรประมาณนี้ไหมครับ ?
ข้าพเจ้าเองก็เคยได้รับจดหมายในลักษณะดังกล่าว ตอนแรกที่ได้รับจดหมายก็รู้สึกดีใจ รู้สึกตื่นเต้น แต่พออ่านไป อ่านมา ก็รู้ว่ามันมีเงื่อนไขหลายอย่างกว่าที่เราจะได้เป็นผู้ได้รางวัลนั้น มันช่างเป็นรางวัลแห่งความตื่นเต้นบนความว่างเปล่าเสียจริงๆ
แต่รางวัลหรือพระพรที่พระเจ้าทรงมีพระสัญญามาถึงผู้เชื่อในพระองค์ทุกคนนั้น มันไม่ได้เป็นความตื่นเต้นบนความว่างเปล่า ( อาเมนไหมครับพี่น้อง ) ให้เราหันไปบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาของเราว่า คุณเป็นผู้ที่ได้รับพระพรนั้นจริงๆ
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 1 เราพบธรรมชาติของพระพร
พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.2 :7 ตรัสดังนี้ว่า “ พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดินระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต”พี่น้องฟังดีๆนะครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงระบายลมปราณเข้าทางจมูกมนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต และชีวิตที่ว่านี้คือชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
ดังนั้นพระพรที่พวกเราจะได้รับนั้นเป็นพระพรอะไรครับ ? เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณ
พี่น้องฟังให้ดีๆนะครับ พระพรฝ่ายวิญญาณเป็นพระพรที่ตาของมนุษย์นั้นมองไม่เห็น แต่นำไปสู่พระพรที่ตามองเห็นได้ ตัวอย่างเช่น ต้นไม้ ที่เติบโตมาจากระบบรากต่างๆที่อยู่ใต้ดินเป็นสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่นำไปสู่โลกที่ตามองเห็นได้นั่นก็คือลำต้น , กิ่งก้าน หรือ ดอกใบ เป็นต้น
ทำนองเดียวกันกับพระพรฝ่ายวิญญาณ เป็นพระพรที่ตาของเรานั้นมองไม่เห็น เป็นพระพรที่หลบซ่อนอยู่ในชีวิตของเรา แต่นำไปสู่โลกที่ตามองเห็นได้นั่นก็คือ ทรัพย์สิน เงิน ทอง การมีสุขภาพดี เป็นต้น
อาจจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า พระพรฝ่ายวิญญาณนี้มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับพระพรทางด้านวัตถุ ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของพระพรที่เราจะได้รับ และเมื่อเราเข้าใจแล้ว เราจะเป็นคนที่ไม่ขาดพระพร และเราจะเป็นท่อแห่งพระพรที่ส่งพระพรต่อไปยังผู้คนอีกมากมาย (อาเมน)
พระคำของพระเจ้าใน มธ.6 :33 กล่าวถึงธรรมชาติของพระพรที่เราจะได้รับว่า “ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ ”
คำว่า แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้าหมายความว่าอะไร ?
หมายความว่า ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ถูกกำชับให้เริ่มต้นหรือถูกให้จดจ่อที่พระพรฝ่ายวิญญาณก่อน แล้วคำว่า พระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ หมายถึง แล้วพระพรที่ตามองเห็นหรือพระพรทางด้านวัตถุเช่น ทรัพย์สิน เงินทอง การมีสุขภาพที่ดีจะตามมา
แต่ในความเป็นจริง ที่เราขาดพระพร เพราะอะไร ? เพราะเราไม่ได้เริ่มต้นหรือเราไม่ได้จดจ่อที่พระพรฝ่ายวิญญาณก่อน การที่เราจดจ่อเรื่องของเราก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าไอ้นู้น ค่าไอ้นี่ หรือค่าอะไรก็ตาม เสร็จแล้วเอาเรื่องของพระเจ้าไปว่าทีหลัง
นั่นก็เท่ากับว่า เราไม่เข้าใจธรรมชาติของพระพร
การที่เราขาดพระพรเพราะอะไร ? เพราะเราไม่ได้เริ่มต้นหรือเราไม่ได้จดจ่อที่พระพรฝ่ายวิญญาณก่อน การที่เราจดจ่อเรื่องของเราก่อนไม่ว่าจะเป็นเรืองอะไรก็ตาม เสร็จแล้วเอาเรื่องของพระเจ้าไปว่าทีหลัง นั่นก็เท่ากับว่าเราไม่ได้แสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน ทำให้พระเจ้าอวยพระเราไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราทำมันสวนทางกับทางของพระเจ้า ดังนั้นเช้าวันนี้ขอที่เราจะกลับใจใหม่ เพื่อที่เราจะไม่ขาดพระพร (อาเมน)
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 2 เราพบผู้ประทานพระพร
ใครเป็นผู้ประทานพระพรให้กับเราครับพี่น้อง ? พระเจ้า
แล้วพระองค์ทรงมีฐานะอย่างไร ?เป็นผู้ทรงฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกพระองค์ทรงมีฐานะที่มั่งคั่ง แล้วพระองค์ทรงมีพระทัยอย่างไรกับเรา ?
พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1: 22 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้น” และพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1 : 28 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ”
คำถามเมื่อสักครู่นี้ที่ถามว่า แล้วพระองค์ทรงมีพระทัยอย่างไรกับเราพี่น้องทราบหรือยังครับ ?พระเจ้าต้องการอวยพรเราทุกคนให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า “ พระเจ้าผู้มั่งคั่งต้องการอวยพรชีวิตคุณ ”
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกอย่างในจักรวาลนี้ เพราะจักรวาลนี้พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างมันขึ้นมาดังนั้นพระองค์จึงทรงมั่งคั่ง
ความมั่งคั่งของพระองค์ ไร้ขอบเขตจำกัด
ความมั่งคั่งของพระองค์เกินกว่าความรู้สึกของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้
ความมั่งคั่งของพระองค์เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะจินตนาการได้
ข่าวดีก็คือว่า ทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์เป็นพระพรสำหรับเรา ให้เราพูดพร้อมกัน “ทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์ เป็นพระพรสำหรับเรา” ขอบคุณพระเจ้า
พระพรของพระเจ้า เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณ เป็นพระพรที่ตามองไม่เห็น
2 คร.4 :18 “ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์ ”
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระพรที่ตามองเห็นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ แก้วแหวน เงินทอง เสื้อผ้าที่เราใส่ บ้านที่เราอาศัยอยู่ รถที่เราขับนั้นเป็นพระพรชั่วคราวทั้งสิ้น
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระพรของพระเจ้าที่ตามองไม่เห็นนั้น เป็นพระพรที่ถาวรนิรันดร
คำว่า ถาวรนิรันดร์หมายความว่ามีอยู่ก่อนแล้วและจะมีตลอดไป
พระพรที่ถาวรนิรันดรที่ว่านี้มีมาก่อนที่เราจะเกิดมา
พระพรที่ถาวรนิรันดรที่ว่านี้มีมาก่อนที่เราจะมาเป็นลูกของพระเจ้า
เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้ว หรือเมื่อเรามาเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงใส่พระพรฝ่ายจิตวิญญาณที่ถาวรนิรันดรทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงมีอย่างครบบริบรูณ์เข้ามาในจิตวิญญาณของเรา
พี่น้องทราบหรือไม่ว่า พระพรฝ่ายจิตวิญญาณที่ถาวรนิรันดรได้อยู่ภายในชีวิตของท่านเรียบร้อยแล้ว เราได้รับพระพรฝ่ายจิตวิญญาณที่ถาวรนิรันดรนี้ โดยใครเป็นผู้ประทานให้ครับ ? โดยองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา
พระคำของพระเจ้าใน ยากอบ 1:17 ตรัสดังนี้ว่า “ ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ”จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ทำให้เห็นได้ว่าของประทานอันดีทุกอย่างมาจากพระเจ้า พระพรที่ถาวรนิรันดรนานานัปการมาจากพระเจ้า
พระคำของพระเจ้าใน วว.10: 6 ตรัสดังนี้ว่า “ พระนามของพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ”ดังนั้นพระพรของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป เพราะพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
พระคำของพระเจ้าใน ปญจ.3:14ตรัสดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้ หรือจะชักออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์ ”
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระพรของพระเจ้าจะไม่ขึ้นๆลงๆ ไม่มีการแปรปรวน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามพระเยซูผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้อำนวยพร ทรงตรัสสอนไว้ใน
มธ.6 :19 - 21 “อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกิน และไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”
พี่น้องที่รักครับ ไม่ว่าเราจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ ที่เป็นแก้วแหวน เงินทอง หรือทรัพย์สมบัติสิ่งของต่างๆในรูปแบบใดก็ตาม แต่เราต้องไม่ลืมว่าทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่และมีค่ามากกว่าสิ่งเหล่านั้นคือทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าดังนั้นขอพระเจ้าช่วยปกป้องจิตใจและความคิดของเราที่เราจะรักษาลำดับความสำคัญของชีวิตได้อย่างถูกต้อง
ให้พี่น้องพูดตามข้าพเจ้าด้วยเสียงดังพร้อมกันว่า “ ทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งของเราควรจะอยู่ในพระเจ้าไม่ใช่ในสิ่งของ ”
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร
ประการที่ 3 ผู้รับพระพร
ใครเป็นผู้รับพระพรครับพี่ - น้อง? เรา , ผู้ที่เชื่อในพระเยซู , คุณได้รับพระพร
ผู้ที่จะได้รับพระพรที่ถาวรนิรันดรนานานัปการในสวรรค์สถานได้นั้น ต้องเป็นคนที่อยู่ในพระคริสต์เท่านั้นและที่สำคัญต้องดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อด้วย
พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.15:6 ตรัสดังนี้ว่า “อับราฮัมก็เชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน ”
ทำไมคนอิสราเอลส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญา เพราะเขาขาดความเชื่อและความไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้า
ทำไมโยชูวาได้เข้าแผ่นดินแห่งพระสัญญา ? เขาอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนพระเจ้าบอกว่าแผ่นดินคานาอันอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ จงข้ามไปยึดครองเถิดเพราะว่า “ทุกๆตำบลถิ่นที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้แก่เจ้าทั้งหลายดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส”
โยชูวาเชื่อ เขาข้ามแม่น้ำ เขาโจมตีเมือง เขายึดเมืองได้ เขาเป็นเจ้าของแห่งแผ่นดินแห่งพันธสัญญา
ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกห่วงใย บางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกวิตกกังวล ให้เราเลือกที่จะติดต่อกับพระเจ้าไม่ใช่เลือกที่จะติดต่อกับมนุษย์
ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกห่วงใย บางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกวิตกกังวล ให้เราเลือกที่จะติดต่อกับพระเจ้าไม่ใช่เลือกที่จะทำตามใจปรารถนา
ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกห่วงใย บางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกวิตกกังวล ให้เราเลือกที่จะนมัสการ อธิษฐานกับพระเจ้า เพื่อที่เราจะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
เมื่อเรามอบความเชื่อและความไว้วางใจของเราไว้กับพระเจ้าแล้ว มันจะเป็นเหมือนกุญแจที่ Start รถยนต์ครั้งเดียวติด
เมื่อเรามอบความเชื่อและความไว้วางใจของเรา ความเชื่อของเราได้จุดพระทัยของพระเจ้า นำมาซึ่งการอวยพระพรในชีวิตของเราได้โดยง่าย
เมื่อเรามอบความเชื่อและความไว้วางใจของเรา ความเชื่อของเราได้เคลื่อนพระหัตถ์แห่งการอวยพระพรของพระเจ้ามาสู่ชีวิตของเรา
ดังนั้นความเชื่อและความไว้วางใจในพระเจ้าของเรา ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับพระพรฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น
ในเช้าวันนี้ถ้าเราขาดความเชื่อ ขาดความไว้วางใจในพระองค์ และเป็นเหตุทำให้เราขาดพระพรที่ควรได้รับจากพระองค์ ขอพระคุณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเรา สร้างเรา ช่วยเราทุกคนที่จะเข้มแข็งในความเชื่อมากขึ้น เพราะถ้าเรามีความเชื่อมากเท่าไหร่ เราก็จะได้รับพระพรมากเช่นกัน ทั้ง 3 ประการที่กล่าวมานั้นเป็นเนื้อแท้แห่งพระพร ที่พระเจ้าทรงตรัสกับท่านทุกคนในเช้าวันนี้ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน