โครงสร้างของสิทธิอำนาจ

คำเทศนาเรื่อง โครงสร้างของสิทธิอำนาจ

    

            ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ปฐก.1 :1 , คลส.1:16,มธ.28 :18

พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1 :1 “ ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน ”

พระคำของพระเจ้าใน คลส.1:16 “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักษ์ หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ   สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์เพื่อพระองค์”และพระคำของพระเจ้าใน มธ.28 :18 “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว”และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า โครงสร้างของสิทธิอำนาจ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1:1 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าพระเจ้า พระบิดานั้นทรงเป็นแหล่งของฤทธิ์อำนาจทั้งปวง

จากพระคำของพระเจ้าใน คลส.1:16 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของสิทธิอำนาจทั้งมวลที่พระองค์ทรงตั้งไว้

จากพระคำของพระเจ้าใน มธ.28:18 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระบิดา การปรนนิบัติการรับใช้มวลชนขององค์พระเยซูคริสต์ ไม่ได้ดำเนินการอย่างอิสระหรือดำเนินการตามความต้องการของตนเอง แต่พระองค์ทรงรับใช้พระเจ้า พระองค์ทรงปรนนิบัติมวลชน ภายใต้สิทธิอำนาจของพระบิดา

นอกเหนือจากนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจอะไรอีกครับ ?

อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของครอบครัวในฐานะบุตรของนางมารี

อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในการปกครองซึ่งจะต้องเสียภาษีให้กับโรม

อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในธรรมศาลา ในฐานะที่พระองค์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมศาลา

พระองค์ทรงเป็นช่างไม้ในฐานะที่ถูกจ้างให้ทำงานพระองค์ต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ว่าจ้างโดยที่พระองค์จะต้องทำงานนั้นๆให้สำเร็จ

อาจจะกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงวางโครงสร้างของสิทธิอำนาจ ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณเอาไว้อย่างเป็นระบบ ระเบียบ สิทธิอำนาจเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

            ถ้าพี่น้องปรารถนาที่จะมีอำนาจฝ่ายร่างกาย โดยที่เราไม่ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของใครอย่างสมควร นั่นก็เท่ากับว่าพี่น้องกำลัง กบฏ

กบฏต่ออะไร ? กบฏต่อโครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงวางไว้

ถ้าพี่น้องปรารถนาที่จะมีอำนาจฝ่ายวิญญาณ โดยที่พี่น้องไม่ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของใครอย่างสมควร นั่นก็เท่ากับว่าพี่น้องกำลังหยุดการไหลฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่จะเทลงมาเหนือชีวิตของเรา

ดังนั้นพี่น้องก็ไม่สามารถที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นออกไปได้ เพราะสิทธิอำนาจทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณนั้นถูกแต่งตั้งโดยพระเจ้า

คำถามคือว่า โครงสร้างของสิทธิอำนาจอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ?

โครงสร้างแรก คือ โครงสร้างของสิทธิอำนาจในครอบครัว

พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.1 - 3 นี่โครงสร้างแรกที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.5 :22 พระคัมภีร์สอนว่า ภรรยาต้องอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจแห่งความรักของสามี

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.5 :23 - 25 พระคัมภีร์สอนว่า สามีควรเป็นศีรษะของครอบครัว เสมือนองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร สิทธิอำนาจของสามีในครอบครัวต้องตั้งอยู่บนความรักเสมือนองค์พระเยซูคริสต์ทรงรักคริสตจักร ความสัมพันธ์ของสามีกับครอบครัวต้องดีเสมือนความสัมพันธ์ของพระเยซูกับคริสตจักร นี่คือโครงสร้างของสิทธิอำนาจในครอบครัว ซึ่งเป็นโครงสร้างแรกที่พระเจ้าได้ทรงวางเอาไว้อย่างมีระบบ ระเบียบ อย่างเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่โครงสร้างของสิทธิอำนาจนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้หรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือไม่ได้ถูกนำไปใช้เลยและเลือกที่จะใช้วิธีของตนเองที่เห็นว่าดีนั่นก็เท่ากับว่าเราไม่ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า นั่นก็เท่ากับเรากำลังกบฏต่อพระเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจนั้นออกไปได้

โครงสร้างที่ 2 คือ โครงสร้างสิทธิอำนาจในการทำงาน

พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งโครงสร้างของสิทธิอำนาจสำหรับผู้ที่ทำงานไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำงานระดับ นายจ้างหรือลูกจ้าง โครงสร้างของผู้ที่อยู่ในสิทธิอำนาจนี้ พระคัมภีร์ได้สอนไว้อย่างชัดเจน

ใน อฟซ.5:5 - 8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริง เหมือนที่กระทำแก่พระคริสต์ ไม่เหมือนอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนที่ทำให้ชอบใจคน แต่จงทำเหมือนอย่างทาสของพระคริสต์ คือกระทำตามชอบพระทัยพระเจ้าด้วยความเต็มใจ จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบาน เหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์ เพราะว่าท่านรู้อยู่แล้วว่า ผู้ใดกระทำความดีประการใด ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไท”

พระคัมภีร์ได้สอนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าลูกจ้าง คือ คนงานที่ถูกจ้างและมีความรับผิดชอบที่จะต้องทำงานนั้นๆ และพระคัมภีร์ยังสอนต่อไปอีกว่า ลูกจ้างต้องปฏิบัติงาน หรือทำงานของ นายจ้างหรือเจ้านายเหมือนทำให้กับใครครับ ? เหมือนทำให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

คำถามคือว่า ทำไมพระคัมภีร์ถึงได้สอนเราอย่างนี้ว่า ลูกจ้างต้องทำงานของนายจ้าง เหมือนทำให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

คำตอบก็คือว่า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งฤทธิ์อำนาจทั้งมวล

ดังนั้น ลูกจ้างต้องปฏิบัติงานหรือทำงานให้กับนายจ้างเหมือนทำให้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.6 :9 ตรัสดังนี้ว่า “ ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขาเพราะท่านก็รู้แล้วว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย”

พระคัมภีร์ ได้สอนอย่างชัดเจนว่า นายจ้างคือผู้ที่เป็นเจ้านายหรือผู้ที่รับผิดชอบคนงาน และพระคัมภีร์ยังได้สอนต่อไปอีกว่า นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างยุติธรรม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติกับทุกคนอย่างยุติธรรม

นี่คือโครงสร้างของสิทธิอำนาจในการทำงาน ที่พระเจ้าไดทรงวางไว้ อย่างมีระบบระเบียบ อย่างเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่โครงสร้างของสิทธิอำนาจนี้ได้ถูกทำลายลง การที่ นายจ้าง ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ นั่นก็เท่ากับว่า นายจ้างนั้นๆกำลังกบฏต่อพระเจ้า

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราจึงเห็นมีการประท้วงของคนงานตามสถานที่ต่างๆ เราจึงเห็นคนงานยื่นข้อเรียกร้องสวัสดิการด้านต่างๆจากนายจ้าง การที่นายจ้างไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ คุณก็ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจนั้นออกไปได้

โครงสร้างที่ 3 คือ โครงสร้างของสิทธิอำนาจในคริสตจักร

เมื่อเราพูดถึงโครงสร้างของสิทธิอำนาจในคริสตจักร เราไม่ได้พูดถึงโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น เราไม่ได้พูดถึงวิธีที่มนุษย์คิดขึ้นมา เช่นวิธีการจ้างหรือลงมติเลือกผู้รับใช้แต่เรากำลังพูดถึงโครงสร้างของคริสตจักรในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.4 :11 “ ของประทานของพระองค์ก็คือ ให้บางคนเป็นอัครฑูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ ”โครงสร้างของสิทธิอำนาจในคริสตจักรพระเจ้าทรงตั้งไว้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อพระราชกิจของพระเจ้าและทำให้ผู้เชื่อจำเริญขึ้นในทางของพระเจ้า

ดังนั้นเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรท้องถิ่น เราควรที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้โครงสร้างสิทธิอำนาจของคนที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ให้เป็นผู้นำที่นั่น

พระคำของพระเจ้าใน 1 คร. 12 :27 ตรัสดังนี้ว่า “ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น”

ถ้าร่างกายฝ่ายธรรมชาติหรือฝ่ายเนื้อหนังต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน มือซ้ายไม่ยอมขาขวา มือขวาไม่ยอมหูซ้าย พี่น้องลองจินตนาการดูซิครับ ว่าภาพมันจะออกมาเป็นอย่างไร

ในทางตรงกันข้าม ถ้าร่างกายฝ่ายธรรมชาติหรือฝ่ายเนื้อหนัง ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน ภาพจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ?

เช่นกันสมาชิกของร่างกายฝ่ายวิญญาณ ต่างไม่ยอมรับคณะธรรมกิจ ต่างไม่ยอมรับผู้นำ ของคริสตจักร ภาพมันออกมาจะเป็นอย่างไรครับ

ในทางตรงกันข้าม ถ้าสมาชิกของร่างกายฝ่ายวิญญาณ ต่างยอมรับผู้นำ ต่างยอมรับคณะธรรมกิจของคริสตจักร ซึ่งมาจากโครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้อีกทั้งคอยสนับสนุนให้ผู้นำหรือคณะธรรมกิจของคริสตจักร ให้สามารถทำหน้าที่ในการปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มที่หรือได้อย่างมีประสิทธิภาพพี่น้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ

นี่คือโครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงวางเอาไว้อย่างมีระบบ ระเบียบและอย่างเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่โครงสร้างของสิทธิอำนาจนี้ได้ถูกทำลายลง บางคริสตจักรนะครับพี่น้องผู้รับใช้พระเจ้า ศิษยาภิบาลมีการฝากกันเข้ามา บางคริสตจักรคณะธรรมกิจไม่ได้มาจากโครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงวางเอาไว้ แต่มาจากการสร้างอิทธิพลทางการเงิน การถวาย

ด้วยเหตุนี้คริสตจักรไทยจึงมีนิมิตที่แปลกๆ เช่น พพอ. พพต. เป็นต้น ต่างประเทศคริสตจักรของเขาโตแล้วแตก คริสตจักรไทยแตกทั้งๆที่ยังไม่โต การที่เราไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างของสิทธิอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ นั่นก็เท่ากับเรากบฏ ต่อพระเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้านี้ออกไปได้

โครงสร้างที่ 4 โครงสร้างของสิทฺธิอำนาจในรัฐบาล

พระคำของพระเจ้าใน รม.13 :1- 4 ( เชิญที่ประชุมอ่านร่วมกันอย่างช้าๆ )

ข้อที่ 1 พระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของฤทธิ์อำนาจทั้งมวลและมนุษย์ทุกคนต้องขึ้นกับแหล่งของฤทธิ์อำนาจนี้ พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งสิทธิอำนาจให้รัฐบาล รัฐบาลเปรียบเสมือนผู้รับใช้พระเจ้า

ดังนั้นพวกเราแต่ละคนที่อาศัยอยู่ภายใต้บ้านนี้ เมืองนี้ ประเทศนี้ต้องขึ้นตรงต่อสิทธิอำนาจนี้ ผู้ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้โครงสร้างของสิทธิอำนาจนี้นั่นคือ กบฏ ผู้ที่กบฏ ผู้ที่ขัดขืน แปลว่า ผู้กระทำผิดกฏหมาย

ดังนั้นรัฐบาลนี้มีสิทธิอำนาจเหนือเรา เราจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เช่นกันพี่น้องที่รักครับ ถ้าโครงสร้างของสิทธิอำนาจในรัฐบาล ที่พระเจ้าได้ทรงประทานมอบให้กับผู้นำรัฐบาล ขัดแย้งกับพระคำของพระเจ้า ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ถูกนำไปใช้ในทางประพฤติมิชอบ นั่นก็เท่ากับว่าผู้นำคนนั้น เขาปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งของฤทธิ์อำนาจทั้งมวล การที่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งของฤทธิ์อำนาจทั้งมวลนั้น นั่นก็เท่ากับว่าผู้นำคนนั้นกบฏต่อพระเจ้า

พระคำของพระเจ้าใน ดนล.5 :20 - 21 พระเจ้าทรงขับไล่เนบูคัดเนสซาร์ไปจากมนุษย์ให้เป็นบ้าสักพักหนึ่ง และทรงทำให้จิตใจของกษัตริย์องค์นี้เหมือนใจสัตว์ป่า ทรงให้อยู่กับลาป่าทรงให้หญ้าเสวยเหมือนโค

ในหนังสือดาเนียล ดาเนียลได้เล่าถึงกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ เนบูคัดเนสซาร์ ในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นั้นมีเมืองขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้กษัตริย์องค์นี้อวดตัวและมีใจเห่อเหิม คิดว่าเขาเป็นพระเจ้า ปฏิเสธการรับรู้อำนาจที่แท้จริง( ดน.5:20 - 21)

ดนล.2 :21 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“พระองค์ทรงเปลี่ยนวาระและฤดูกาล พระองค์ทรงถอดพระราชาและทรงตั้งพระราชาขึ้นใหม่ พระองค์ทรงประทานปัญญาแก่นักปราชญ์และทรงประทานความรู้แก่ผู้ที่มีความรอบรู้”

การที่ผู้นำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นผู้นำรัฐบาลประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้โครงสร้างของสิทธิอำนาจของพระเจ้า เขาก็ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจนั้นออกไปได้ พระเจ้าทรงนำผู้นำรัฐบาลให้มีอำนาจและพระองค์ก็ทรงสามารถคว่ำเขาเสีย ถ้าพระองค์ทรงประสงค์เช่นนั้น

สรุป     พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของฤทธ์อำนาจทั้งมวล

            พระเจ้าเป็นผู้วางโครงสร้างของสิทธิอำนาจ

            พระเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของสิทธิอำนาจ

            ให้เรายอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจเพื่อที่เราจะไม่กบฏต่อโครงสร้างของสิทธิอำนาจ

  

Green City