คำเทศนาเรื่อง
พระประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างงาน
ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ปฐก.2 : 15 และจากพระธรรม อฟซ. 6 : 5 - 9 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านอย่างช้าๆพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า“ พระประสงค์ของพระเจ้ามนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างงาน ”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ในเบื้องต้นผมอยากจะเรียนกับพี่ - น้องอย่างนี้ก่อนนะครับว่า มีพี่ - น้องสมาชิกของคริสตจักรในประเทศไทยไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีแนวคิดเกี่ยวกับบุคคลที่มาศิษยาภิบาลในทำนองที่ว่า
คนที่มาเป็นศิษยาภิบาลนั้น เป็นคนที่ไม่มีอาชีพ เป็นคนที่ไม่มีการไม่งานอะไรที่จะทำ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เชื่อบางคนถึงขนาดเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ศิษยาภิบาลก็เป็นเหมือนกับพระของคนไทยในศาสนาพุทธนั่นแหละ ที่บางคนไม่มีอะไรจะทำหรือลูกหลานไม่อยากที่จะดูแลก็ให้ไปบวชเป็นพระเนี่ยแหละ ซึ่งอันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ แต่มีบางคนเขาว่ากันอย่างนั้นนะครับ
ซึ่งถ้าพี่ - น้องถามผมว่า ผมเห็นด้วยไหม กับคำพูดเมื่อสักครู่นี้ว่าคนที่มาเป็นศิษยาภิบาลนั้น เป็นคนที่ไม่มีอาชีพหรือเป็นคนที่ไม่มีการไม่งานอะไรที่จะทำ
โดยส่วนตัวผมก็คงจะต้องตอบว่า ผมเห็นด้วย
แต่…………….ผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด แยกเป็น 2 คำตอบย่อยนะครับพี่ - น้อง
การที่ผมเห็นด้วย นั่นก็เพราะว่า ศิษยาภิบาลบางคนและหลายคนที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัว ก็เป็นอย่างที่เขาว่าอย่างนั้นจริงๆ นั่นก็คือเป็นคนที่ไม่มีอะไรที่จะทำจริงๆ ก็มารับใช้พระเจ้า จะมีการทรงเรียกหรือไม่มีการทรงเรียกจากพระเจ้า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นว่าศิษยาภิบาลบางคนและหลายคนที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัวนั้น เขาก็มีการทรงเรียกจากพระเจ้าอย่างแท้จริงก็มี อันนี้จึงเป็นเหตุผล ที่ทำให้ผมเห็นด้วยแต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งอันนี้เราก็คงจะต้องพิจารณาเป็นคนๆไป
ในขณะเดียวกันก็มีพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรบางคน อาจจะมีความคิดเกี่ยวกับงานของศิษยาภิบาลในทำนองที่ว่างานของศิษยาภิบาลนั้นเป็นงานที่ไม่เหมือนกับงานของพนักงานบริษัท
ดังนั้นศิษยาภิบาลจึงไม่เจอปัญหาอะไรแบบที่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรเจอ ด้วยเหตุนี้เองศิษยาภิบาลจึงเป็นบุคคลที่ไม่น่าที่จะเข้าใจในปัญหาอะไรต่างๆของพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรมากมายนัก ซึ่งเป็นคนที่ทำงานในบริษัท
ซึ่งถ้าพี่ - น้องถามผมว่า ผมเห็นด้วยไหม ?
ผมก็คงจะตอบว่า เห็นด้วย
การที่ผมเห็นด้วยนั่นก็เพราะว่า งานของศิษยาภิบาลนั้นเป็นงานฝ่ายจิตวิญญาณไม่ใช่งานในฝ่ายโลก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเห็นด้วยกับคำตอบเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด
คำถามคือว่า เพราะอะไรผมถึงตอบอย่างนั้น
การที่ผมตอบอย่างนั้นก็เพราะว่า แท้ที่จริงแล้วการเป็นศิษยาภิบาล โดยเฉพาะการเป็นศิษยาภิบาลในยุคนี้ และการเป็นศิษยาภิบาลแห่งกาลอนาคตข้างหน้านั้น โดยส่วนตัวผมคิดว่า การที่ศิษยาภิบาลในปัจจุบันนี้จะพยายามให้พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร จดจำคำเทศนาสั่งสอน อีกทั้งหนุนนำให้พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร ได้ตระหนักถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ได้อีกต่อไป
แต่ศิษยาภิบาลในยุคนี้และในยุคแห่งกาลอนาคตนั้น จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องต่างๆของโลกในระดับหนึ่งด้วย อาจจะกล่าวได้ว่าจะรู้แต่พระคัมภีร์อย่างเดียวนั้นคงจะไม่ได้ เหตุเพราะบริบทของโครงสร้างต่างๆทางสังคมไทยและสังคมโลกนั้นมันมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
ในขณะเดียวกันถ้าพี่ - น้องได้สังเกตสักนิดหนึ่ง พี่ - น้องก็จะพบว่าเรื่องงานก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรต่างๆมักที่จะมาขอให้ศิษยาภิบาลของตนได้อธิษฐานเผื่อเขาอยู่เสมอๆพี่ - น้องเห็นด้วยไหมครับ
เหตุเพราะพี่-น้องสมาชิกบางคนตกงาน
เหตุเพราะพี่-น้องสมาชิกบางคนต้องการที่จะเปลี่ยนงาน
เหตุเพราะพี่-น้องสมาชิกบางคนไม่อยากโยกย้ายแผนกหรือตำแหน่งงาน
เหตุเพราะพี่-น้องสมาชิกบางคนไม่อยากที่จะโยกย้ายกะ Shift เพราะไม่ได้หยุดในวันอาทิตย์ เป็นต้น
ดังนั้น “งาน” จึงถือได้ว่าเป็นหัวข้อหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า หรือไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ต่างที่จะต้องประสบอยู่ในทุกๆวัน
ดังนั้นงาน จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของมนุษย์มากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นที่มาของรายได้ เป็นที่มาของคุณภาพชีวิต และมนุษย์จำเป็นที่จะต้องให้ 1/3 ของวันหรือ 8 ชม.กับงาน อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า หนึ่งในสามของชีวิตเรานั้นเกี่ยวข้องกับงานก็ว่าได้
ดังนั้นเมื่อ “งาน” เป็นเรื่องที่มีความใกล้ตัวของมนุษย์มากถึงขนาดนี้ การให้คำปรึกษาของศิษยาภิบาลแก่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรก็จะต้องมีหลัก ในการที่จะให้คำปรึกษาแก่พี่ - น้องสมาชิกที่มีความสมดุลยภาพทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
ซึ่งเมื่อพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร ที่มาขอรับคำปรึกษานั้นพอเขาได้ฟัง ศบ. หรือผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ให้คำปรึกษาแก่เขาแล้ว เขาก็สามารถที่จะรู้และเข้าใจได้ว่า ศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าคนนั้น มีความเข้าใจในสิ่งที่โลกใบนี้กำลังดำเนินไป ไม่ใช่พูดอะไรที่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
และการที่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรฟังศิษยาภิบาลของตนพูดไม่รู้เรื่องนี้แหละ จึงมีพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรบางคน ถึงให้กับคำจำกัดความว่า ศิษยาภิบาล คือ คนที่หายหัวไป 6 วันและก็โผล่ออกมาอีกทีวันไหนครับ ? นั่นก็คือวันที่ 7 ซึ่งโผล่ออกมาแล้วก็พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย
ก็ขอพระเจ้าเมตตา ที่ผมจะไม่ใช่ศิษยาภิบาลคนนั้น เพื่อที่พี่ - น้องจะได้ไม่ต้องแอบคิดกับผมในลักษณะอย่างที่ผมได้แบ่งปันเมื่อสักครู่นี้
และเพื่อเป็นการยืนยันว่า ผมเป็นศิษยาภิบาลที่เข้าใจอะไรในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของงานพอสมควร ผมจึงอยากที่จะแบ่งปันให้กับพี่ - น้องฟังเพื่อที่จะเสริมคำเทศนาของผมให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
และสิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันนั่นก็คือว่า ในวัยเด็กของผมนั้น
ผมเคยรับจ้างแบกฟืนที่โรงเลื่อยเพื่อไปส่งให้กับโรงงานทำเต้าหู้
ผมเคยพับถุงกระดาษหนังสือพิมพ์ขาย ขายให้กับแม่ค้าในตลาดสดศรีย่านร้อยละ 2 บาท
ผมเคยเข้าไปขายกะหรี่พั๊พ ในโรงหนังเมื่อตอนวงดนตรีลูกทุ่งของสายัณห์ สัญญา มาเปิดวิกการแสดงร่วมกับรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส และ สังข์ทอง สีใส ที่โรงหนังจันทิมาศรีย่าน
ผมเคยเป็นเด็กติดรถ Pick Up ส่งของให้กับร้านโชห่วยต่างๆได้วันละ 64 ฿ : เที่ยว ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผมน่าจะอยู่ประมาณ ม.2 และก็ทำอย่างนี้เรื่อยมาทุกปิดเทอม
ผมจำได้ว่าผมเคยไปฝึกงานที่ ธ.กรุงเทพ สาขา พลับพลาไชย ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 100 ฿
และผมเคยทำงานในภาคเอกชน โดยการเป็นหัวหน้าฝ่ายการผลิตอาวุโส Production Section Chief โดยได้รับเงินเดือนสุดท้าย 31,000 ฿ ก่อนที่ผมจะลาออกในปีพ.ศ. 2538 เพื่อมาทำธุรกิจของตนเองและก็เจ๊งเองในปี 2540 ในเวลานั้นผมกลายเป็นบุคคลที่ล้มละลายที่รูปหล่อที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย และนั่นเองก็เป็นเหตุเป็นผล ที่ทำให้ผมนั้นได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะชีวิตในทางของพระเจ้าว่า
“จุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของมนุษย์แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของพระเจ้า” ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า
“จุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตมนุษย์เป็นจุดที่พระเจ้าจะสร้างเราขึ้นใหม่”
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 อยู่ในหนังสือปฐก. 2:15 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรครับประการที่ 1 เราพบว่างานนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องอ่านพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก. บทที่ 1 ทั้งบทและถ้าพี่ - น้องยังจำกันได้
พี่ - น้องก็จะพบว่า พระเจ้าของเรานั้นไม่ได้เป็นพระเจ้าที่ตกงานหรือว่างงานและหรือเป็นพระเจ้าที่ไม่มีอะไรทำ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงประกอบกิจในงานเสมอ
และพระคำของพระเจ้าในหนังสือยน.5:17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า พระบิดาของเราไม่เคยทรงหยุดกิจการงาน และเราก็ยังทำเหมือนกับพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆพี่ - น้องที่รัก ที่พระองค์จะทรงนั่งอยู่เฉยๆแบบไม่มีอะไรทำหรือแบบคนว่างงาน
และพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก. 1 : 27 ก็ยังได้บอกกับเราต่อไปอย่างชัดเจนอีกด้วยว่า และมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีพระฉายาหรือถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์นั้นมีบุคลิกลักษณะนี้เหมือนกับพระองค์อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัม พระเจ้าจึงได้มอบขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ให้กับอาดัม ได้มีงานทำในสวนเอเดนด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ก็มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ ปฐก.2 : 15 ซึ่งเราอาจจะกล่าวอักนัยหนึ่งก็ได้ว่า “ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างให้อาดัมมีงานทำในสวนเอเดนฉันใด พระเจ้าก็ทรงสร้างให้มนุษย์เรามีงานทำในโลกนี้ฉันนั้น ”
ดังนั้นมนุษย์เราทุกๆคน จะต้องทำงานหรือมีงานทำ เพราะงานเป็นพระประสงค์อย่างหนึ่งของพระเป็นเจ้า ที่มีต่อมนุษย์หรือมีต่อผู้เชื่อทุกคน ดังนั้นมนุษย์หรือผู้เชื่อทุกคน ควรที่จะมีทัศนคติหรือมีความคิดที่เกี่ยวกับงานในทำนองที่ว่า“งานนั้นเป็นมาจากพระเจ้า”
พี่ - น้องที่รัก เมื่อพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาในแต่ละวันนั้น พี่ - น้องยังจำกันได้ไหมครับว่าพระองค์มักจะตรัสถัอยคำหนึ่งอยู่เสมอๆ นั่นก็คือคำว่า พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรง 1. Happy กับงาน 2. มีความสุขกับงานที่ทำนั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์เราที่เป็นเหมือนกับพระฉายของพระองค์นั้น ต่างที่จะได้พบกับ 1.ความอิ่มเอมใจ 2.ความสุขหรือได้รับพระพรหรือมีความมันส์จากงานที่ทำนั้น
แต่การที่มนุษย์เรานั้นมีงานทำแต่กับยุ่งเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตประการที่สำคัญมนุษย์เรานั้น กับไม่มีเวลาที่จะอิ่มเอมกับความสุขกับงานที่ทำกันอยู่ในเวลานี้ อันนี้ย่อมไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอนแต่ความประสงค์ของโลก
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกพี่ - น้องที่รักครับ ที่มนุษย์หลายคนจะมีความรู้สึกในทำนองที่ว่า
1. งานนั้นเป็นภาระหรืองานนั้นเป็นเหมือนกับยาขม
2. เป็นโรคเกลียดวันจันทร์ - วันพฤหัสแต่ชอบวันศุกร์มากเป็นพิเศษ เหมือนเด็กที่โดยส่วนมาก ที่มักจะชอบตอนปิดเทอมมากกว่าตอนเปิดเทอม
ซึ่งมนุษย์คนไหนก็ตามที่มีความรูสึกในทำนองที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ ผมคิดว่ามนุษย์คนนั้นหรือผู้เชื่อคนนั้น กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับทัศนคติหรือความคิดเกี่ยวกับงาน
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์เรานั้น มีงานทำ พระองค์ก็ทรงมีความปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้น ต่างที่จะได้พบกับความอิ่มเอมใจ ต่างที่จะได้รับความสุข หรือต่างที่จะได้รับพระพรจากงานที่ทำนั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก พระเจ้าจึงสร้างให้มนุษย์เราทุกคนนั้นได้มีความคิด มีไอเดียที่บรรเจิด ซึ่งเป็นของประทานอย่างหนึ่ง ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์ ก็เพื่อที่มนุษย์เรานั้นจะได้แสดงออกถึงผลงานในด้านต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงอนุญาตและมอบหมายให้กับเราได้กระทำนั้น อย่างเต็มที่หรือได้อย่างสร้างสรรค์
สุภาษิตจีนกล่าวว่า “คนที่ยืนนิ่งๆ นานๆมักจะเหนื่อยมาก”
ลีโอนาโด ดาร์วินชี กล่าวว่า “เหล็กที่วางเฉยๆมักจะขึ้นสนิม น้ำในแอ่งมักแข็งในหน้าหนาวและสมองคนที่ไม่ได้ใช้มักจะไร้ประโยชน์”
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก พระเจ้าจึงสร้างให้มนุษย์เราทุกคนนั้นได้มีความคิด มีไอเดียที่บรรเจิดก็เพื่อที่มนุษย์เรานั้นจะได้แสดงออกถึงผลงานในด้านต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงอนุญาต และมอบหมายให้กับเราได้กระทำนั้น อย่างเต็มที่หรือได้อย่างสร้างสรรค์ และนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์และมีต่อผู้เชื่อทุกคน
น่าเสียดายตรงที่ว่า ทัศนคตินี้หรือความคิดที่ว่านี้ ต่างได้ถูกค่านิยมของโลกได้กำหนดหรือได้ถูกเบี่ยงเบนเอาไว้แทนพระประสงค์ของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมปัจจุบันนี้ผู้คนในสังคมถึงต่างมีทัศนคติหรือมีความคิดความอ่านในทำนองที่ว่า
1. ทนๆทำไปก่อนดีกว่าตกงานหรือได้ง่ายใหม่แล้วค่อยออก
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมปัจจุบันนี้ผู้คนในสังคมถึงต่างมีทัศนคติหรือมีความคิดความอ่านในทำนองที่ว่า งานจะต้องนำมาซึ่งเงินหรือการมีรายได้ที่สูงขึ้น มากกว่าความสุขใจที่จะได้รับถึงแม้เงินที่ได้รับนั้นมันอาจจะไม่มากก็ตาม ( กี่ K / 1 K = 1000 )
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้น เขาก็จะเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ สำหรับมนุษย์ที่มีทัศนคติหรือมีความคิดอย่างนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า งานคือวิถีในการหาเงินของเขาก็ว่าได้
สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า วิถีต่างๆของโลกในเวลานี้ มันไม่เพียงแต่ได้คืบคลานเข้ามาในสังคมมากขึ้นเท่านั้น แต่มันได้คืบคลานเข้ามาในสังคมของคริสเตียน อีกทั้งมันได้คืบคลานเข้ามาในสังคมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน ที่เรามักจะเห็นผู้รับใช้ของพระเจ้าตอบสนองในการที่จะไปรับใช้กับองค์การ , องค์กรหรือหน่วยงานมากกว่าคริสตจักรซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่า
และด้วยทัศนคติหรือความคิดอย่างนี้แหละพี่ - น้องที่รัก เราจึงได้เห็นทั้งคนทั้งคนที่เชื่อในพระเจ้า ทั้งคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า รวมทั้งผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วย ที่หลายต่อหลายคนมักจะเปลี่ยนงาน , เปลี่ยนพันธกิจ , เปลี่ยนองค์การ , องค์กร , หน่วยงานหรือคริสตจักรกันอยู่บ่อยๆ
โดยมีการให้เหตุผลที่น่ารับฟัง และเราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ นั่นก็คือคำว่า พระเจ้าทรงนำ,ได้อธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว,พระเจ้าตรัสว่า เป็นต้น แต่ในเวลาไม่นานสำหรับบางคนอาจจะ 3 - 6 เดือน หรืออาจจะ 1 - 2 ปี
เราก็จะเห็นพี่ - น้องคริสเตียนของเราบางคนที่เปลี่ยนจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่งหรือเห็นผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคน เปลี่ยนจากพันธกิจหนึ่งไปสู่อีกพันธกิจหนึ่ง
และเหตุผลในการย้ายหรือในการเปลี่ยนงาน ก็ด้วยเหตุผลเดิมๆที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ซี่งเป็นเสมือนกับถ้อยคำที่สร้างความชอบธรรมให้กับพี่ - น้องของเราหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าได้เป็นอย่างดี แต่แท้ที่จริงแล้วนั่นก็คือ วิถีในการทำมาหาได้ของเขานั่นเอง
ซึ่งโดยแท้จริงแล้วงานของผู้รับใช้พระเจ้าจริงๆนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเป็นสำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับการทรงเรียกของพระเจ้าเป็นสำคัญ เช่น ฮัดสัน เทเลอร์ , วิลเลี่ยม แครี่ หรือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พวกเราคนไทยต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือ หมดบรัดเลย์ เป็นต้น
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วหมอบรัดเลย์นั้นท่านเรียนจบแพทย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ซึ่งแทนที่ท่านจะอยู่บ้านสบายๆ ทำงานมีเงินเดือนดีๆ แต่ท่านกลับเดินทางมาประเทศไทย มาทำงานหาเงินด้วยการพิมพ์งานขาย ต้องมานอนบนแคร่ อยู่ร่วมทุกข์ทรมานไปกับคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ท่านจะต้องขัดแย้งกับคนไปทั่วเพราะเรื่องของพระเยซู ที่สำคัญท่านและครอบครัวได้วางชีวิตของท่านลงในประเทศไทยซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวลึกลงไปกว่านี้
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 อยุ่ใน อฟซ.6 :5 – 9
ประการที่ 2 นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างงาน
พี่ - น้องที่รักครับ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อว่าการที่ประเทศของเราหรือประเทศไหนก็ตามในโลกใบนี้ที่มีสหภาพแรงงาน , มีสมาพันธ์แรงงานประชาธิปไตย หรือมีคณะกรรมการไตรภาคี และอื่นๆในทำนองที่ว่านี้
ทำให้เราทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนั้นไม่ค่อยที่จะสู้ดีเท่าไหร่นัก พี่ - น้องว่าจริงไหม ? ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมันจำเป็นไหมครับ ที่จะต้องมีพวกองค์การ , องค์กร , หน่วยงานที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้
แต่การที่มันมีหน่วยงานๆต่างเหล่านั้นขึ้นมา นั่นหมายความ ย่อมมีอีกฝ่ายหนึ่ง ที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในทางตรงกันข้ามอีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะไม่ยอมที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งนั้นมาเอารัดเอาเปรียบตนเองได้แต่เพียงฝ่ายเดียว
ด้วยเหตุนี้ปัญหาอื่นๆจึงตามมา เช่น การผละงาน การสไตร์คงาน การนัดหยุดงาน การลดกำลังผลิตและอื่นๆเป็นต้น อาจจะกล่าวได้ว่าแต่ละฝ่ายก็สนใจแต่ประโยชน์แต่ฝ่ายของตน ที่สำคัญปัญหานี้ก็คงจะมีอยู่ต่อไป จนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมา
คำถามก็คือว่า ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้
คำตอบก็คือ ก็เพราะธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปไง
คำตอบก็คือ ก็เพราะเนื้อหนังของเราไง ทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเราเอง
ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังมีความเชื่ออย่างนี้ด้วยนะครับพี่ - น้องว่า เมื่อใดก็ตามที่โลกนี้กลับมาสนใจวิธีของพระเจ้า ปัญหาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างนี้ก็จะหมดไป เหมือนกับครั้งหนึ่งที่ระบบทาสนั้น ได้หายไปจากโรม นั่นก็เพราะโดยหลักคำสอนของคริสเตียน ซึ่งผู้รับใช้ของพระเจ้าในยุคนั้น สามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งถ้าพี่ - น้องได้มีโอกาสศึกษาพระคำของพระเจ้าในหนังสืออฟซ. บทที่ 5 และ 6 พี่ - น้องก็จะพบว่า อ.เปาโล ได้มีการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
1. สามีกับภรรยา 2. พระเจ้ากับมนุษย์
3. บิดามารดากับบุตร 4. คนยิวกับคนต่างชาติ
5. นายทาสกับลูกทาสหรือนายจ้างกับลูกจ้าง
6. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอำนาจที่มองไม่เห็นด้วย
ซึ่งนั่นหมายความว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เราจะดีได้นั้นมันจะต้องมีการปรับทัศนคติหรือปรับแนวความคิดของบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายนั้นให้ตรงกันเสียก่อน
หรือเหมือนกับสุภาษิตไทยบทหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ว่า ตบมือข้างเดียวนั้นคงไม่ดัง
และหรือเหมือนกับการที่พี่ - น้องใช้รถยนต์ระบบเชื้อเพลิงเบนซินหรือ Gasoline ที่พี่ - น้องจะต้องมีการ TuneUp Carbulator ระหว่างลิ้นน้ำมันกับลิ้นสุญญากาศให้มีการสมดุลยกันเสียก่อน เครื่องยนต์มันถึงจะนิ่งเงียบ ซึ่งถ้าเราไม่ปรับ 2 ลิ้นนี้ให้สมดุลยกัน เครื่องยนต์มันจะเป็นอย่างไรครับ ? มันจะดังเหมือนรถไถ
ด้วยเหตุนี้พระคำของพระเจ้าในหนังสืออฟซ. บทที่ 5 - 6 จึงสอนเราเอาไว้ทั้ง 2 ด้าน ทั้งสามีภรรยา,บิดามารดากับบุตร,ลูกจ้างกับนายจ้าง
เมื่อแบ่งปันมาถึงตรงนี้ ผมก็อยากจะพาพี่ - น้องดูพระคำของพระเจ้าในหนังสืออฟซ.6:5-8 ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ตรัสว่า จงรับใช้ด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น ซึ่งในที่นี้หมายถึงให้เรารับใช้ด้วย
1.ความเคารพ , ด้วยความยำเกรง หรือให้เรานั้นมีความกังวลว่าเราจะรับใช้อย่างไรเพื่อให้เป็นที่ชอบใจของเจ้านาย
2.ด้วยน้ำใสใจจริงหรือด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ด้วยการประจบสอพลอ ซึ่งโดยที่จริงแล้วอันนี้เป็น Spirit ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรับใช้พระบิดาของพระองค์ ซึ่งผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนควรที่จะมี Spirit นี้อยู่ในชีวิตของตน
พี่ - น้องลองคิดดูนะครับว่า ถ้านายจ้างของเราทราบว่า เรามีทัศนคติหรือมีความคิดต่องานที่เราทำอย่างนี้ ผมคิดว่าถึงแม้ว่าผลงานของเราจะตกลงไปบ้าง หรือไม่ได้ตามมาตรฐานบ้าง และหรือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้บ้าง
โดยส่วนตัวผมคิดว่า นายจ้างเขาก็คงจะไม่ค่อยที่จะซีเรียสกับในเนื้องานของเราเท่าไหร่นัก ( แต่อย่าต่ำกว่ามาตรฐานบ่อยนะครับ ) แต่เขากับที่จะสนใจในทัศนคติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวของเรามากยิ่งขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ถ้านายจ้างของเราทราบว่า เรามีความคิดหรือมีทัศนคติของงานในทำนองที่ว่า ยังไม่เที่ยงเดี๋ยวก็ดูนาฬิกา ยังไม่ทันสี่โมงก็ดูนาฬิกา สักแต่ทำงานไปวันๆ หรือสิ้นเดือนก็คอยดูแต่ Slip เงินเดือนดูว่ามันออกเท่าไหร่ มันตรงไหม ปลายปีก็คอยดูแต่ Bonus ว่าจะได้กี่เท่าของเงินเดือนหรือกี่เปอร์เซ็นต์
หรือปีนี้จะปรับเงินเดือนขึ้นให้เท่าไหร่หรือคอยวิ่งไปวิ่งมาดูว่าเจ้านายจะมาหรือยัง โดยที่ผลงานของเราก็ไม่ได้ตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ อันนี้ผมคิดว่านายจ้างเขาอาจจะซีเรียสกับเราก็เป็นได้ ซึ่งคริสเตียนบางคนที่เป็นอย่างนี้ก็มีนะครับไม่ใช่ไม่มี
พระคำของพระเจ้าอีกข้อหนึ่งในข้อที่9 ตรัสว่า ฝ่ายนายทาส นายจ้าง ผู้บังคับบัญชาก็จะต้องมีการให้เกียรติแก่ลูกจ้างของตน ซึ่งโดยแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างนั้นไหมครับ
ในสมัยที่โรมเรืองอำนาจนั้นนายทาสมักจะถือแส้เอาไว้ในมืออยู่เสมอ ลูกทาสก็มักจะถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้เสมอด้วยเช่นกันนี่ถือว่าเป็นการให้เกียรติกับลูกทาสของตนไหมครับ ? ทำเหมือนกับพวกเขาเป็นเครื่องจักรหรือชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ดีๆนั่นเอง
พี่ - น้องที่รักครับ ในวัฒนธรรมไทยของเราตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา จนถึงที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ถูกผู้คนในสังคมมองว่ามีหน้าที่การงานที่สูงกว่าคนเก็บขยะบนท้องถนนพี่ - น้องว่าจริงหรือไม่
และสายตาอย่างนี้ถือว่าให้เกียรติหรือไม่ ? แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือในมุมมองของพระเจ้าแล้ว งานทุกๆชนิดนั้นต่างมีคุณค่าในตัวของมัน
พี่ - น้องอย่าลืมนะครับ ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นเพียงแค่ช่างไม้ อ.เปาโลเป็นเพียงแค่ช่างเย็บเต้นท์ อัครสาวกของพระเยซู 4 คนหรือส่วนมากและหรือคิดเป็น 1 / 3 นั้นเป็นชาวประมง
ซึ่งถ้าเรามองอาชีพของ 1. องค์พระเยซูคริสต์เจ้า 2.อัครสาวกและถ้าเรามองอาชีพของอัครทูตด้วยสายตาของชาวโลก อาชีพทั้ง 3 อาชีพนี้เป็นไงครับ ? สูงหรือต่ำครับ
แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของพระเป็นเจ้าแล้ว มันไม่มีงานไหนที่สูงและมันไม่มีงานไหนที่ต่ำ แต่ไอ้ที่มันมาแยกกันว่า งานนั้นต่ำงานนี้สูงใครเป็นคนมาแยกครับ ?
1.มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปนั่นแหละที่เป็นคนแยก 2.ระบบของโลกนั้นแหละที่เป็นคนมาแยก และเราก็เอาค่านิยมนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันของเราจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในสังคมไทยของเราไปแล้ว
พี่ - น้องลองคิดดูนะครับว่า ถ้าวันไหนลองคนเก็บขยะของเทศบาลไม่มาเก็บขยะที่บ้านเราสัก 1 อาทิตย์ ลองดูสิครับว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราต้องการกันและกัน
ดังนั้นนายทาส นายจ้างและหรือผู้บังคับบัญชานั้น จะต้องมีทัศนคติหรือมีความคิดในทำนองที่ว่า ลูกจ้างเขาคือพระฉายของพระคริสต์ ประการที่สำคัญนั่นก็คือเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก
ดังนั้นนายจ้างก็ควรที่จะต้องปรนนิบัติต่อลูกจ้างของตน เหมือนกับปฏิบัติต่อพระคริสต์
ดังนั้นนายจ้างก็จะต้องให้เกียรติแก่พระคริสต์ โดยที่นายจ้างจะไม่ไปขู่บังคับหรือเคี่ยวเข็ญเขาและหรือไม่ไปเอารัดเอาเปรียบเขา
แต่เมื่อใดก็ตามที่นายจ้างบังคับ , ขู่เข็ญหรือเอารัดเอาเปรียบลูกจ้างขอให้รู้ว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการที่ทหารของโรมนั้น ได้ถือแส้เอาไว้ในมือ และความเครียดต่างๆ นาๆ ก็จะเกิดขึ้นในงาน ทั้งการนัดหยุดงาน , การลดกำลังผลิต , การวางยาเครื่องจักร , การเดินขบวนของลูกจ้างและอื่นๆอีกมากมายก็จะเกิดขึ้น เหตุเพราะว่ามันมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้ Spirit ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสอนเราเอาไว้ ความสัมพันธ์ที่ดีจึงเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้นผมจึงเห็นว่า คริสเตียนเราควรที่จะนำความคิดหรือทัศนคติขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าไปประยุกต์ใช้ในงานหรือในสังคมที่พระเจ้าทรงให้เรานั้นได้รับผิดชอบอยู่ก็จะเป็นพระพรอย่างมาก เพราะอะไรผมถึงพูดอย่างนั้นเพราะกำแพงในการที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในทางที่ไม่ดีก็จะได้ลดน้อยลง
ซึ่งผู้เชื่อบางคนอาจจะคิดในทำนองที่ว่า เราไม่ควรที่จะเอาหลักการในพระคัมภีร์ไปใช้หรือไปผสมผสาน เพราะจะทำให้พระศาสนาหรือทำให้ธุรกิจให้นั้นเกิดความเสียหายได้
แต่ในทัศนคติหรือในมุมมองของผมนั้น ผมกลับมองว่าการที่โลกนี้ไม่ได้นำหลักการของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้ หรือนำมาผสมผสานกับงานนั้นนั่นแหละกับสร้างความเสียมากกว่า
สุดท้าย……ท้ายสุดที่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้สอนเรา นั่นก็คือว่า ไม่ว่าใครจะอยู่ในสถานภาพของการเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างก็ตามแต่
แต่ขอให้ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างที่จะมีความเข้าใจที่ตรงกันนั่นก็คือว่า
สำหรับผู้ที่เป็นเจ้านายนั้น พระคัมภีร์ในตอนนี้สอนเราว่าท่านยังมีเจ้านายของเจ้านายที่ประทับอยู่บนสวรรค์อีกระดับชั้นหนึ่งด้วย
และสำหรับผู้ที่เป็นลูกจ้างนั้น พระคัมภีร์ในตอนนี้สอนเราว่า ท่านยังมีนายจ้างของลูกจ้างที่แท้จริง ที่ประทับอยู่บนสวรรค์อีกระดับชั้นหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็นนายจ้างแห่งสวรรค์ก็ได้
และนายจ้างแห่งสวรรค์นี้ทรงมีคุณลักษณะอย่างไร ?
1.ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง 2.รักมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
3.ไม่ได้ดูภายนอก แต่ทรงทอดพระเนตรภายในจิตใจ
มาตรฐานของนายจ้างแห่งสวรรค์นี้เป็นเช่นไร ?
มาตรฐานของพระองค์ คือ ทุกๆคนจะต้องยืนให้การพิพากษาหรือกล่าวรายงานในสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำไปทั้งหมดนั้น ต่อหน้านายจ้างที่แท้จริงพระองค์นี้ ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่าพระองค์ทรงไม่เห็นแก่หน้าของผู้ใดและสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกๆคนควรที่จะตระหนักเอาไว้ให้มากๆ