พระเยซูทรงรักษาคนง่อย

     คำเทศนาเรื่อง พระเยซูทรงรักษาคนง่อย

                                          

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากหนังสือ มก.2:1-12 และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “พระเยซูทรงรักษาคนง่อย” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผมพบว่าคนที่เผชิญกับความยากลำบากหรือคนที่เผชิญกับภาระปัญหาในชีวิตนั้น ทุกคนต่างมีความต้องการที่อยากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนทั้งสิ้น

เมื่อลูกต้องเผชิญกับความยากลำบากหรือเผชิญกับภาระปัญหาในชีวิต ลูกอยากได้รับความช่วยเหลือจากใครครับ ? จากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง

แต่เมื่อเขาสิ้นหวังจากพ่อ แม่ ญาติ พี่ น้องเขาจะไปหาใครครับ ? หาเพื่อน หาฝูงหรือคนที่คิดว่าช่วยเขาได้ แต่ท้ายสุด…สุดท้าย ถ้าเขาสิ้นหวังกับทุกๆคนและมันหาทางออกของชีวิตไม่ได้ไม่ได้ คราวนี้เขาต้องการที่อยากจะให้ใครช่วยเหลือพี่น้อง ทราบไหมครับ ? 

บางคนก็ไปหาสิ่งที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ แม่มด หมอผี หาหมอดู แปะกง คนทรงเจ้า

พี่น้องทราบไหมครับว่า ปีหนึ่งๆธุรกิจเหล่านี้ทำเงินจากคนที่ท้อแท้ สิ้นหวังหรือคนที่หาทางออกของชีวิตไม่ได้ปีละประมาณเกือบ 2,000 ล้านบาท / ปี

เกือบ 20ปีที่แล้วตอนที่ผมยังไม่รู้จักกับพระเจ้า ผมเป็นคนหนึ่งที่เสียเงินให้กับธุรกิจนี้ แต่ก็ได้ให้เขาไปนิดเดียวไม่เยอะเพราะไม่มีจะให้ พี่น้องท่านใดเคยเสียเงินให้กับธุรกิจนี้บ้าง

เมื่อผมมาเป็นคริสเตียน ผมได้รับการสอนที่หนุนใจมากว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อสุดปลายมือของเราให้มอบปัญหานั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อผมต้องเผชิญกับความยากลำบากหรือเผชิญกับภาระปัญหาในชีวิตพระเยซูคริสต์เป็นเป้าหมายแรกที่ผมพึ่งพา ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่มด หมอผีไม่ใช่แปะกง และไม่ใช่คนทรงเจ้าอีกต่อไป  

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่หนึ่ง อยู่ใน มก.2:1-2 เราพบว่าทุกคนมีเป้าหมายที่พระเยซูคริสต์

มก.2:1-2 ทำให้เราทราบว่า ได้มีคนเป็นจำนวนมากมาชุมนุมกันที่บ้านที่พระเยซูทรงประทับอยู่จนไม่มีที่จะรับ พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้ว่า “จะเข้าไปใกล้ประตูก็ไม่ได้”

ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกๆคนที่มา ล้วนมีเป้าหมายอยู่ที่การมาหาพระเยซูและอยากที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ทั้งสิ้น

แต่พวกเขาเข้าใกล้พระองค์ได้ไหมครับ ? ไม่ได้

พระองค์จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยการเทศนาเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาใกล้พระองค์ไม่ได้ นั้นได้ยิน

พี่น้องที่รักครับ การที่คนเป็นจำนวนมาก พากันมาหาพระเยซูและอยู่รวมกันจนแน่นขนัดอย่างนี้ ย่อมมีเหตุและผลของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป

ถ้าพี่น้องได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในหนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม พี่น้องก็จะพบว่าบางคนมาหาพระเยซูเพราะอะไร ? ให้ที่ประชุมเปิดไปที่

มก.8:6 เพื่อกินขนมปัง                     

ยน.4:48 เพื่ออยากเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์

มธ.7:28-29 เพื่อต้องการฟังคำสอน มธ.19:2 เพื่ออยากให้พระเยซูทำการรักษาโรค

ลก.19:3 เพื่ออยากที่จะได้เห็นหน้าพระเยซู ลก.4:32 มีความเชื่อ ศรัทธาในพระองค์

ข้อคิดคำถามคือว่า แล้วพี่น้อง มาหาพระเยซูเพราะอะไร ? เพราะอะไรครับ

ไม่ว่าใครจะมาหาพระองค์ด้วยเหตุผลใดก็ตาม องค์พระเยซูคริสตเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ใน ยน.6:27 ( ให้ที่ประชุมเปิดแล้วอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดัง ) นั่นคือเป้าหมายสูงสุดที่เราทุกคนควรจะแสวงหาพระองค์

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2อยู่ใน มก.2:3 เราพบความเป็นหนึ่งเดียวกัน

พี่น้องที่รักครับ แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้มีการบันทึกไว้ว่าชายทั้งสี่คนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคนง่อยนั้นอย่างไร แต่เราก็พอที่จะเข้าใจได้ว่า ชายทั้งสี่คนนั้น น่าจะเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาสงสารต่อผู้พิการ เขาจึงนำเอาคนง่อยขึ้นมาวางไว้บนแคร่ แล้วพากันหามเพื่อพาคนง่อยไปหาพระเยซู

พี่น้องเคยยกของที่มีขนาดกลางหรือขนาดใหญ่มั้ยครับ ?

ถ้าของที่มีขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ใช้ 2 - 3 คนช่วยกันยกหรือช่วยกันแบกเป็นยังไงครับ ?

ยกไปได้สักนิดก็ต้องบอกวางกันแล้ว

ยกไปได้อีกสักหน่อยก็ต้องบอกกันว่า ข้างหน้าให้มันเดินช้าๆหน่อย ข้างหลังมันเดินตามไม่ทันแล้ว

ยกต่อไปได้อีกไม่เท่าไหร่ก็ต้องบอกกันใหม่ ข้างหน้ายกให้มันต่ำๆข้างหลังดันให้มันสูงๆสูงกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะคนยกตัวมันเตี้ย พี่น้องเคยอยู่ในบรรยากาศแบบนี้บ้างไหมครับ ?

ถ้าเรามี 2 - 3 คนช่วยกันแบก มันก็คงจะเป็นภาระกับเรามากพอสมควร แต่ถ้าเรามี 4 คนและแบ่งกันคนละข้างคราวนี้เป็นไงครับพี่น้องกำลังเหมาะมือพอดีๆ

ซึ่งชายทั้งสี่คนนี้ต่างต้องมีความเชื่อที่ตรงกันก่อนว่าใน Case นี้หรือในกรณีนี้นั้นมีเพียงพระเยซูคริสต์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่สามารถรักษาคนง่อยคนนี้ให้หายได้ ถูกต้องไหมครับ ? เขาจึงช่วยกันหามคนง่อยไปหาพระเยซู

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้เกิดขึ้นหรือยังครับพี่น้อง ? ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็เป็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่สำคัญมากด้วย

เพราะความเชื่อจากข้างในของชายทั้งสี่คนที่ตรงกันนั้นได้แสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในฝ่ายจิตวิญญาณ เมื่อข้างในพร้อมแล้ว ข้างนอกต้องพร้อมด้วยไหมครับ ?

ข้างนอกต้องพร้อมด้วย ภาพในฝ่ายร่างกายหรือภาพภายนอกเราจึงสามารถที่จะมโนภาพได้ว่า ชายทั้งสี่คนเขามีความพร้อมเพรียงกัน โดยการยกแคร่ขึ้น แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน

ข้อคิดคำถามคือว่าวันนี้ภาระปัญหาต่างๆ ภายในบ้านหรือปัญหาต่างๆภายในครอบครัวของพี่น้องได้มีการร้อยความคิด กำหนดทิศทางเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่

ถ้าไม่มีการร้อยความคิด กำหนดทิศทางในการแก้ไขปัญหาเป็นหนึ่งเดียวกันก็ยากที่จะแก้ไข

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่สาม อยู่ในลก. 2:4 เราพบความไม่สิ้นหวัง

พี่น้องที่รักครับ ชายทั้งสี่คนได้พากันหามคนง่อยมาอย่างทุลักทุเล แต่เมื่อมาถึงบ้านที่พระเยซูทรงประทับอยู่ ปรากฏว่ามีอะไรเกิดขึ้นครับ ? ปรากฏว่าทั้งสี่คนนั้นไม่สามารถพาคนง่อยเข้าไปหาพระเยซูได้ สาเหตุเพราะมีคนเป็นจำนวนมากขวางทางอยู่

ครั้นจะไปร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ว่า แหวกทางให้หน่อย เหมือนแถวสำเพ็ง คลองถมก็คงทำไม่ได้ เพราะพระเยซูคริสต์กำลังเทศนา สั่งสอนอยู่ ซึ่งจะเป็นการรบกวนและทำลายบรรยากาศของการฟังเทศนาของผู้คนที่สนใจได้

ชายที่หามคนง่อยทั้งสี่คนเป็นไงครับ เมื่อพอมาถึงแล้วต้องเจอกับสภาพแบบนี้

ถ้าเป็นคนในยุคนี้ พ.ศ. นี้ เราอาจจะได้ยินคำพูดที่ว่า “เรากลับบ้านกันเถิดแล้วปล่อยเจ้าง่อยไว้ตรงนี้แหละ ถ้าเป็นบุญวาสนาของมันพระเยซูออกมาเจอก็รักษามันเองนั่นแหละ”

ซึ่งนั่นเป็นคำพูดของคนที่ ท้อแท้ หมดหวัง เป็นคำพูดของคนที่ หมดกำลังกาย กำลังใจเป็นคำพูดของคนที่ถอดใจไม่สู้แล้วเหมือนบทเพลงของอ้อมสุนิสาที่ร้องว่า………..แต่ชายที่หามคนง่อยทั้งสี่คนนั้นเขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริงครับพี่น้อง เขาไม่ท้อแท้หรือว่าหมดหวัง เขาไม่ถอดกาย ถอดใจ เขาไม่คิดในแง่ลบ แต่เขาคิดในสิ่งใหม่

เหมือนกับขุนนางศักเคียส ที่อยากจะเห็นหน้าของพระเยซู ในขณะที่พระองค์เสด็จเข้าไปที่เมืองเยริโค แต่ทำยังไงๆก็ไม่ได้เห็น เพราะตัวของเขานั้นเตี้ยและคนมันก็แน่นมาก แต่เขาไม่ท้อถอยและเขาก็ไม่ได้คิดในแง่ลบ แต่เขาคิดในสิ่งใหม่และสิ่งที่ขุนนางศักเคียสคิดก็คือ เมื่อมองจากข้างล่างไม่ได้ ก็คงต้องมองจากข้างบนเนี่ยแหละโดยออกแรงอีกนิดนึง

เช่นเดียวกับชายทั้งสี่คน…ที่หามคนง่อยมาอย่างทุลักทุเล แต่เมื่อพอมาถึงบ้านที่พระเยซูทรงประทับอยู่ กับพาคนง่อยเข้าไปหาพระองค์ไม่ได้ แต่ทั้งสี่คนก็ไม่รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง สิ่งใหม่ที่ทั้งสี่คนออกแรงและร่วมกันทำ ซึ่งได้มีการบันทึกและปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไว้นั่นก็คือ “เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้นและเมื่อเป็นช่องแล้วเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่”

ข้อคิดคำถามคือว่า เมื่อพี่น้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหา จะเป็นปัญหาส่วนตัวปัญหาครอบครัว ปัญหาในที่ทำงานหรือจะปัญหาอะไรก็ตาม ท่าทีในการแก้ไขปัญหาของพี่ น้องเหมือนกับชายทั้งสี่คนนี้ไหมครับคือ เผชิญกับปัญหา ไม่ท้อถอย แสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหา เสมือนชายทั้งสี่ที่มองขึ้นไปข้างบนหลังคาและเมื่อพบทางออกแล้วได้ร้อยกายร้อยใจในการจัดการกับอุปสรรคที่ขวางอยู่ข้างหน้าด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่สี่ อยู่ใน มก.2:5 เราพบความสำเร็จ

พี่น้องคิดว่า ทั้งสี่คนนี้เขาพบกับความสำเร็จไหมครับ ชายทั้งสี่คนเขาพบกับความสำเร็จ

ในฝ่ายร่างกายชายทั้งสี่คนนี้เขาพบกับความสำเร็จในการรื้อหลังคา

ในฝ่ายร่างกายชายทั้งสี่คนนี้เขาพบกับความสำเร็จในการหย่อนคนง่อยโดยที่ไม่ทำให้เขาต้องตกหรือหล่นลงมา

มาถึงตอนนี้พี่น้องที่รักครับ พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เราเห็นลึกลงไปโดยใช้คำว่า“ทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย” ซึ่งหมายความว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้ชายเพียงสี่คนเท่านั้น ที่มีความเชื่อหรือมีความเห็นที่ตรงกันว่า Case นี้ กรณีนี้ ต้ององค์พระเยซูเท่านั้นที่จะรักษาคนง่อยคนนี้ให้หายได้

แต่คนง่อยคนนี้ก็ได้มีความเชื่อร่วมกับผู้ชายทั้งสี่คนนี้ตั้งแต่ในตอนแรกด้วย (ถูกต้องมั้ยครับ) ถ้าคนง่อย ไม่ได้มีความเชื่อร่วมกับชายสี่คนนี้ว่าพระเยซูจะรักษาเขาให้หายตั้งแต่ในตอนแรก จู่ๆจะปล่อยให้เขายกขึ้นไปไว้บนแคร่แล้วหามไปหรือ เขาก็คงจะร้องตะโกนตั้งแต่แรกแล้ว ถูกไหมครับว่า อย่าเอากูไป

ดังนั้นเมื่อคนง่อยถูกหย่อนลงมาถึงตรงที่พระเยซูประทับอยู่ พี่น้องสังเกตให้ดีๆว่าใครพูดกับใครก่อนครับ ? หย่อนคนง่อยตัวเป็นๆทั้งคนจากหลังคาลงมาหาพระเยซูถึงขนาดนี้แล้วพระองค์เข้าใจ พระเยซูพูดกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”

และในหนังสือลก. 5:24-25 พระคำของพระเจ้ายังได้พูดต่อไปอีกว่า “เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้นยกยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด ในทันใดนั้นเขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้นกลับไปบ้านของตนพลางร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า”

ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงโปรดตอบคำอธิษฐานของพวกเขาในทันทีโดยที่คนง่อยและชายทั้งสี่คนนั้นไม่ต้องพูดอะไรเลย เพราะความเชื่อเพราะการกระทำ ของพวกเขาเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพอพระทัย

ในตอนแรก พวกเขาประสบความสำเร็จในฝ่ายร่างกาย ด้วยการรื้อหลังคาและพาคนง่อยส่งลงมาอย่างปลอดภัย แต่ในเวลานี้พวกเขาประสบความสำเร็จในด้านอะไรอีกด้านหนึ่งด้วยครับพี่น้อง ? พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักษาคนง่อย ไม่เพียงแต่ในฝ่ายร่างกายให้เขาเดินได้เท่านั้น แต่พระองค์ทรงรักษาโรคบาป ซึ่งเป็นโรคฝ่ายจิตวิญญาณให้กับคนง่อยอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงประสบความสำเร็จทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณทั้งสองด้านพร้อมกัน

ข้อคิดคำถามก็คือว่า วันนี้ความเชื่อความศรัทธาของพี่น้องที่มีต่อองค์พระเยซูคริสตเจ้านั้นมีมากพอเหมือนกับพวกห้าคนนี้มั้ย ในพระกิตติคุณยน.11:40 “ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ห้า อยู่ใน มก. 2:6 -12 เราพบบำนาญที่เขาได้รับ

พี่น้องที่รักครับ ภายหลังจาก มก.2:5 เป็นต้นไป โดยเริ่มจากข้อที่ 6 เรื่อยไปจนถึงข้อที่ 12 เราพบเรื่องราวของชายทั้งสี่คนนี้อีกไหมครับ นอกจากพระกิตติคุณอีก 3 เล่มที่เหลือแล้ว เราไม่พบเรื่องราวของชายทั้งสี่คนนี้อีกเลยไม่ว่าจากพระคัมภีร์เล่มใดก็ตาม

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชายทั้งสี่คนนี้ เป็นคนปิดทองหลังไม้กางเขนไม่ใช่หลังพระ

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชายทั้งสี่คนนี้ เป็นคนทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน

ปัจจุบันนี้เป็นยังไงบ้างครับพี่น้อง คนทำความดีไม่หวังผลตอบแทน มีน้อยหรือมีมาก เดือนที่แล้วผมกับพี่น้องไปร่วมงานศพคุณแม่ของครูติ๋มที่วัดแห่งหนึ่งเป็นไงบ้างครับ คนทำบุญโดยไม่หวังชื่อเสียง มีไหมครับ ?

อ. บ้านกรวด จ. บุรีรัมย์ ที่ผมเคยรับใช้อยู่เพียงแค่ 20 บาท กรรมการวัดยังออกเสียงตามสายให้กับเพื่อนบ้านแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จในโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือ เกียรติ ลาภ ยศและคำสรรเสริญ

แต่การทำความดีของชายทั้งสี่คนนี้ แม้ว่าชื่อของเขาจะไม่ได้มีการบันทึกไว้ให้เห็นอย่างเด่นชัด เหมือนกับชื่อของนางมารีชาวมักดาราก็ตาม แต่สิ่งที่เขาได้ทำจะถูกปิดบังไว้ก็หามิได้ เรื่องราวของชายทั้งสี่คนนี้จึงได้ถูกควบคู่ไปกับข่าวประเสริฐ ขององค์พระเยซูคริสต์มากว่า 2007 แล้ว ซึ่งนี่คือบำนาญที่พวกเขาได้รับและทั้งสี่คนนี้ได้รับบำนาญมากี่ปีแล้วครับพี่น้อง มีคนน้อยหรือมากครับพี่น้องที่ได้อ่านเรื่องราวของชายทั้งสี่คนนี้ คนเป็นจำนวนเป็นพันๆล้านคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเขานี่เป็นบำนาญจากสวรรค์

ข้อคิดคำถามก็คือว่า วันนี้พี่น้องยินดีที่จะเป็นเหมือนผู้ชายทั้งสี่คนนี้มั้ยที่จะสนับสนุนส่งเสริมหรือช่วยใครสักคนให้ลุกขึ้นเดินได้ และคอยยืนดูความสำเร็จของเขาอยู่ข้างหลัง  

Green City