พระเยซูผู้พิชิตโดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย

คำเทศนา อ.ก้องภพ                                                                                         8 เม.ย. 12

๑๑๑๑๑๑๑๑๑      ๑๑๑๑๑๑๑๑๑

คำเทศนาเรื่อง

พระเยซูผู้พิชิตโดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย

        

พี่ - น้องที่รักครับ ในเช้าวันนี้ถ้าพี่ - น้องได้พิจารณากันสักนิดหนึ่ง พี่ - น้องก็จะทราบว่า เรากำลังอยู่ในช่วงของเวลา 2 เทศกาลด้วยกัน

ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยเราต่างทราบกันดีว่าขณะนี้พี่ -น้องประชาชนคนไทยเราอยู่ในช่วงเทศกาลอะไรครับ ? เรากำลังอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์

และในฐานะที่เราเป็นคริสตชนหรือเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราต่างทราบกันดีว่า ขณะนี้คริสตชนทั่วโลก กำลังอยู่ในช่วงเทศกาลอะไรครับพี่ - น้อง ? เทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีของคริสตชนทั้งหลาย เหตุเพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงพิชิตชัยชนะ โดยพระองค์ได้ทรงเป็นหรือได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย

ดังนั้นในเช้าวันนี้ข้าพเจ้าจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า ที่เกี่ยวข้องกับชัยชนะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้กับพี่ - น้องได้สดับและรับฟังกัน โดยจะอัญเชิญจากพระธรรม มธ. 28 : 1 - 20 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ. 28 : 1 - 20 และอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดังเชิญครับ

และข้อพระคัมภีร์ที่ข้าพเจ้าจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้อง ในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 6 ให้ที่ประชุมได้อ่านในข้อที่ 6 ร่วมกันด้วยเสียงดังอีกครั้งหนึ่งและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า“พระเยซูผู้พิชิตโดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ มีคำพูดหนึ่งที่ได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้ว่า “ถ้าชีวิตเปรียบดุจเทียนไข ก็ไม่มีใครอยากเห็นชีวิตของตน สิ้นสุดที่การดับเทียน”

ซึ่งนั่นหมายความว่า มนุษย์เรานั้นไม่อยากเห็นความตายเป็นจุดจบของชีวิต ดังนั้นในทุกๆ ศาสนาจึงมีคำสอนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย เช่น ในศาสนาอียิปต์โบราณ เขาก็จะมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย โดยเขาจะถนอมศพของผู้ตายนั้นเอาไว้ โดยการนำไปฝังไว้ในอุโมงค์สุสานหรือในปิรามิด

ในศาสนาอิสลามนั้น เขาก็มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายด้วยเช่นกันว่า ถ้าคุณทำความดี ทูตสวรรค์ประจำมือขวาก็จะมีบันทึกผลบุญนั้นเอาไว้ และถ้าคุณทำไม่ดีมือซ้ายก็จะบันทึกผลแห่งความไม่ดีนั้นเอาไว้

ในศาสนาพุธนั้นเขาก็มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายเอาไว้ด้วยเช่นกัน คนพุทธจำนวนมากจึงชอบทำบุญเพื่ออะไรครับ ? เพื่อสะสมบุญ เพื่อชีวิตหลังความตายจะได้เกิดในที่ๆ ดี ศาสนาฮินดูก็มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม มนุษย์ถึงเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายหรือชีวิตในภพใหม่ เหตุเพราะเรื่องเหล่านี้ได้ถูกสอนต่อๆกันมา และเรื่องพวกนี้มันก็ฝังอยู่ในใจของเราหรือฝังอยู่ในความคิดของมนุษย์มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ คำสอนของศาสนาต่างๆเหล่านั้นก็ได้ขาดพยานหลักฐานชิ้นสำคัญที่ถือว่าเป็นหัวใจของศาสนานั้นๆ อย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นความเชื่อที่ขาดพยานหลักฐาน จึงไม่มีความหวังหรือไม่มีความรอดใดๆเลย จุดที่รองรับความเชื่อของคนที่ไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมี 2 อย่างใหญ่ ๆ ด้วยกัน

จุดรองรับอย่างแรก

ของคนที่เป็นมุสลิม นั่นก็คือ สุสานหรือกุโบร์

ของคนที่นับถือศาสนาพุทธ นั่นก็คือ เชิงตะกอน

ของคนที่นับถือเทพพระเจ้า นั่นก็คือ สุสานหรือฮวงซุ้ย

จุดรองรับอย่างที่สอง

ของคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั่นก็คือ การพิพากษาครั้งสุดท้าย

และคำตอบของพวกเขาอยู่ที่ไหนครับ ? บึงไฟนรก ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักคำสอนของคริสต์ศาสนาอย่างสิ้นเชิง เหตุเพราะมีพยาน ทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐาน ที่ได้ปรากฏเอาไว้อย่างชัดแจ้ง และได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์

มธ. 28 : 6 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น มาดูที่พระองค์ได้บรรทมอยู่นั้น ”

กจ. 1 : 9 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา ”

1 คร. 15 : 3 - 8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้นข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลาย เป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และถูกฝังไว้แล้ววันที่สามพระองค์จึงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่เคฟาสแล้วแก่อัครทูตสิบสองคน

ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่ - น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียวกัน ซึ่งส่วนมากยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ และแก่อัครทูตทั้งหมด ครั้งหลังที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด

            พระคำของพระเจ้าทั้ง 3 ข้อที่ข้าพเจ้าได้อ่านให้กับพี่ - น้องฟังนั้นหมายความว่าอะไร ? พระคำของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้อ่านให้กับพี่ - น้องได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ นั่นหมายความว่า สาวกของพระเยซูคริสต์รวมทั้งผู้ที่ติดตามพระองค์ทุกๆคน

ต่างรู้เรื่องการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นอย่างดี และเรื่องนี้เองที่เป็นเหตุทำให้ชีวิตของพวกสาวกและผู้ที่ติดตามพระองค์นั้นได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากคนที่ขี้ขลาดเป็นผู้กล้า เปลี่ยนจากคนที่คอยหลบอยู่หลังประตูเพราะกลัวพวกยิว กลายเป็นคนที่กล้าออกไปประกาศข่าวประเสริฐและกล้าตายเพื่อพระองค์ เปลี่ยนจากสาวกธรรมดาๆ เป็นอัครทูตซึ่งประกอบไปด้วยฤทธิ์เดชเทศนามีคนรับเชื่อบางคราว 3,000 บางคราว 5,000 คน

และถ้าพี่ - น้องสังเกตให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่าในการเทศนาของพวกอัครทูตในยุคแรกนั้น จะต้องมีเรื่องความตายและการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์เจ้า ประกอบคำเทศนาของพวกเขาอยู่ด้วยเสมอ และด้วยความจริงนี้เอง ทำให้เกิดคริสตจักรในยุคแรกได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย

ดังนั้นความเชื่อของคริสตชนนั้นมีหลักยึด เหตุเพราะมีพยานหลักฐานต่างๆนั้นมารองรับว่าทุกๆคนที่ตายแล้วจะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา แต่เฉพาะผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น ที่จะฟื้นขึ้นเพื่อรับชีวิตชีวิตใหม่ในโลกใหม่หรือภพใหม่ และนี่คือความหวังอันเรืองรอง ซึ่งเป็นความหวังแห่งความมีชัยที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับผ่านจากทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

ดังนั้นผู้เชื่อทุกๆคน จะต้องถือหลักข้อเชื่อในข้อนี้เอาไว้ให้มั่นเพราะเป็นหลักข้อเชื่อที่สำคัญข้อหนึ่ง ถ้าบอกว่าตนเองเป็นผู้เชื่อแต่ไม่ได้ถือหลักข้อเชื่อในข้อนี้ก็เป็นคริสเตียนไม่ได้

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไม อุรามา อาเหม็ด อมิตยา ซึ่งเป็น GURU และเป็นทั้งผู้นำในนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ ถ้ามุสลิมจะทำลายความเชื่อของศาสนาคริสต์ให้ราบเรียบ ท่านผู้นี้บอกกับสานุศิษย์ของตนว่า พวกเราจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ภายหลังวันที่สามแล้ วพระเยซูไม่ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเพียงเท่านี้เอง คริสต์ศาสนาก็ไม่มีอะไรเหลือ และมุสลิมก็จะเป็นฝ่ายชนะคริสเตียนได้อย่างราบคาบ 100 % ”

เราขอบพระคุณพระเจ้าที่การพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้แม้ว่าจะมีความพยายามของผู้คน ที่จะทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่พวกเขาจะทำได้อย่างประสบผลสำเร็จ และก็จะไม่มีวันที่พวกเขาจะทำเรื่องนี้ได้อย่างสำเร็จ จนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา

จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 1 อยู่ในมัทธิว 28 : 2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ในทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก มีทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง ได้ลงมาจากสวรรค์ กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนหินนั้น”

ประการที่ 1 คือ เราพบศิลาที่เปิดออก

            พวกเราคงจะจำกันได้ว่า ผู้นำศาสนายิวกลุ่มหนึ่งได้ขอร้องให้ปีลาตเอาหินไปปิดปากอุโมงค์พระศพของพระเยซูไว้ และให้ตีตราที่อุโมงค์ฝังศพไว้ เพื่อมิให้ผู้ใดเปิดหินออกและให้นำทหารจำนวนหนึ่งไปเฝ้าที่ปากอุโมงค์

พี่ - น้องที่รักครับ เหตุที่ผู้นำศาสนายิวทำอย่างนี้ก็เพราะเกรงว่าสาวกจะไปขโมยศพของพระเยซู แล้วมากระจายข่าวว่า “ พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย ” เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า พระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตายภายใน 3 วัน นี่คือเหตุผลที่ผู้นำของศาสนายิวห่วงใย จึงได้สั่งให้นำศิลาที่มีขนาดใหญ่ไปปิดปากอุโมงค์ทางเข้าเอาไว้แล้วให้ตีตราอุโมงค์

            และถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง เราก็พอจะมองเห็นถึงเจตนารมณ์ของซาตานที่มันพยายามอย่างสุดกำลัง ที่จะป้องกันมิให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายเช่นกัน

กล่าวคือ ถ้าพวกเขากันไม่ให้พระเยซูออกมาจากอุโมงค์ได้ คำตรัสของพระเยซูทั้งหมดที่ได้กล่าวเอาไว้ก็จะเป็นหมัน การอัศจรรย์ที่พระเยซูได้กระทำมาทั้งหมดก็จะไร้ผล อัครทูตทั้ง 12 คนก็จะเสียขวัญและกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง คนที่ศรัทธาและติดตามพระเยซูอยู่ในเวลานั้นก็อาจจะเลิกเชื่อพระองค์ไปเลยก็ได้

ด้วยเหตุนี้เอง ศัตรูจึงต้องการเอาหินปิดปากอุโมงค์และตีตราอุโมงค์ พร้อมทั้งจัดทหารยามกำกับไว้ ทั้งหมดนี้ซาตานคิดว่าถ้ามันทำได้สำเร็จแล้วนรกจะมีความยินดี

            แต่ซาตานมันคิดผิดรวมทั้งพวกผู้นำทางศาสนาของยิวด้วยเพราะพระวจนะของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จมาจากสวรรค์และเลื่อนหินที่ปิดปากอุโมงค์และนั่งบนหินนั้น ”

พี่ - น้องเห็นภาพอะไรบางอย่างมั้ยครับ ? “ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อเลื่อนก้อนหินนั้นและนั่งบนหินนั้น ” เป็นภาพที่สื่อให้เราได้เห็นว่า ไม่มีอำนาจใดๆในโลกนี้ ที่จะมาหยุดการฟื้นขึ้นมาจากความตายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอาไว้ได้

1. ไม่ว่าจะเป็นศิลาขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะมีน้ำหนักหลายตัน ที่มาร - ซาตานมันคิดจะใช้ขังพระเยซูไว้ในอุโมงค์ หรือ 2. ทหารยามที่เฝ้าอยู่ หรือ 3. รัฐบาลเผด็จการของโรม หรือ 4. อุโมงค์ที่ได้มีการตีตราเอาไว้

พี่ - น้องที่รักครับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งความมีชัยชนะของพระองค์ได้ “ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา เพื่อเลื่อนก้อนหินนั้นและนั่งบนหินนั้น ” เป็นภาพที่สื่อให้เราได้เห็นถึงสัญญลักษณ์แห่งการมีชัยชนะขั้นเด็ดขาด ที่พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือความตาย ( อาเมน ) ศิลาที่เขาตีตราได้กลับกลายเป็นที่นั่งเล่นของทูตสวรรค์ของพระเจ้า นั่นคือประการแรกที่เราได้พบกับพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้

จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 2 อยู่ในลูกา 24 : 1 - 6 (ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดัง)

ประการที่ 2 คือ อุโมงค์ที่ว่างเปล่า

            พี่ - น้องที่รักครับ ในตอนเช้าของวันอาทิตย์ พวกบรรดาสตรีที่ศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็ได้พากันไปเคารพพระศพของพระเยซูที่อุโมงค์ฝังศพ แต่เขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เพราะสิ่งที่เขาพบนั้นไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นอะไรครับ ? ทูตสวรรค์ของพระเจ้า พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้พูดกับสตรีเหล่านั้นว่า

“พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี ”

และเมื่อพวกเขาได้เข้าไปในที่อุโมงค์ที่เปิดอยู่ ก็ปรากฏว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นนั่นก็คือผ้าป่านที่ถูกพับเอาไว้อย่างดีและมีระเบียบ แต่ร่างพระศพของพระเยซูได้อันตรธานหายไป

คำถามก็คือว่า พระศพของพระเยซูได้หายไปตั้งแต่เมื่อใด ?

คำตอบก็คือว่า พระศพของพระเยซูได้อันตรธานหายไป ก่อนที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะกลิ้งหินนั้นออกไป

พี่ - น้องฟังให้ดีๆ น๊ะครับ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้กลิ้งหินนั้นให้เปิดออก มิใช่เพื่อให้พระเยซูได้เดินออกไปจากอุโมงค์ไปได้โดยสะดวก แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้กลิ้งหินนั้นให้เปิดออกเพื่อเปิดโอกาสให้แก่บรรดาสตรีที่เป็นสาวกของพระเยซู จะได้เข้าไปพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างสะดวกมากขึ้น

มีครั้งหนึ่งที่ผู้ประกาศชาวอินเดียท่านหนึ่ง ได้ไปเทศนาประกาศกลางแจ้งและถูกชาวมุสลิมคนหนึ่งยกมือขัดจังหวะในการเทศนา พลางร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านนักเทศน์ พวกเราชาวมุสลิม เรามีบางอย่างที่พวกคริสเตียนอย่างท่านนั้นไม่มี”

นักเทศน์จึงถามว่า “อะไรล่ะ”

มุสลิมคนนั้นตอบว่า “พวกเราชาวมุสลิมสามารถเดินทางไปมาดินะห์ในซาอุดิอาราเบีย และยืนต่อหน้าหลุมศพผู้เผยพระวจนะมูฮัมหมัดและสามารถพูดได้เต็มปากว่า ร่างนี้คือท่านมูฮัมหมัดผู้เผยพระวจนะผู้ยิ่งใหญ่ของเรา แต่คริสเตียนอย่างท่านไม่มีอุโมงค์ของพระเยซู อย่างที่เรามีเพื่อนมัสการพระองค์ดอกหรือ ”

นักเทศน์ท่านนั้นยิ้มพลางแล้วตอบว่า “พวกเราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราไม่มีหลุมศพของศาสดาที่จะนมัสการพระองค์ เพราะเราไม่ศพนั่นเอง”

พี่ - น้องที่รักครับ คริสตชนไม่ได้นมัสการคนตาย แต่เรานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ (อาเมน)

พี่ - น้องที่รักครับ หลุมศพนั้นมันมีความน่าเคารพหรือน่าศรัทธาก็เพราะมีศพอยู่เท่านั้น เช่นเรายืนอยู่ ณ. หลุมศพของคนที่เรารัก และรู้ว่าคนที่เรารักได้ตายไปและถูกฝังอยู่ ณ. ที่นั่น

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับหลุมศพของพระเยซู ที่ได้รับการเคารพเพราะไม่มีศพ พระองค์ไม่ได้เป็นศพ และพระองค์ไม่ได้อยู่ร่วมกับศพอื่นๆ ดังนั้นเราไม่ต้องไปหาพระองค์ที่หลุมศพ เพราะพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายและพระองค์ทรงสถิตอยู่ในทุกและทุกหนแห่ง และเราสามารถที่จะพบกับพระองค์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ( อาเมน )

จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ประการที่ 3 อยู่ใน มธ. 28 : 6 “ พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว ”

ประการที่ 3 พระเจ้าแห่งชัยชนะ

            พี่ - น้องที่รักครับ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าพูดกับสาวกที่ติดตามพระองค์ว่า“พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว”

คำถามคือว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาอย่างไร ?

            องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นขึ้นมา ในลักษณะที่วิญญาณจิตของพระองค์นั้น ลอยออกจากร่าง และล่องลอยไปล่องลอยมาเหมือนหนังผีทางช่อง 3 ช่อง 7 หรือเปล่า และพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาในลักษณะอย่างไร ?

            พี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูเจ้าทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในลักษณะที่ฟื้นทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ การฟื้นในลักษณะเช่นนี้เป็นการอัศจรรย์ และเป็นการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าสามารถที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีกและทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” ( ยน. 11 : 25 - 26 ) เป็นการอัศจรรย์จนขนาดที่ อ.เปาโล ต้องรำพึงออกมาใน 1 คร. 15 : 55 ว่า “ โอมัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอมัจจุราชเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน”

            พี่ - น้องที่รักครับ การฟื้นขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

1. ทำให้เหล็กในถูกถอนรากถอนโคน

2. ทำให้เราทราบว่า พระองค์ทรงกำชัยชนะเหนือบาป

3. ทำให้อำนาจแห่งความชั่วร้ายทั้งหลายนั้นได้ถูกพิชิตลง

4. ทำให้เราทราบว่า นรกและความตายหามีชัยชนะเหนือพระองค์ไม่

ดังนั้นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง เขาจึงไม่กลัวความตายเหตุเพราะความตาย

1.จะนำเราไปสู่ ณ. เบื้องพระบาทของพระเจ้าได้อย่างอัศจรรย์

2.จะกลายเป็นประตูที่จะนำผู้เชื่อไปสู่ชีวิตอันเป็นพระพรในสวรรค์

3.ได้นำเราไปสู่มุมมองใหม่ กล่าวคือ เป็นวิถีที่พระเจ้าจะเปลี่ยนกายของเราเป็นกายใหม่

ขอให้พี่ - น้องได้รู้เถิดว่า คราใดก็ตามที่พี่ - น้องได้มีโอกาสไปร่วมในงานศพของผู้เชื่อ หรือพี่ - น้องได้มีโอกาสไปยืนอยู่ที่หลุมฝังศพของคนที่เรารัก

ขอให้พี่ - น้องได้รู้เถิดว่า ที่นั่นมีความมหัศจรรย์รอเราอยู่และความมหัศจรรย์ที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เสด็จกลับมา

สิ่งที่ผมอยากจะที่จะหนุนใจพี่ - น้องอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า หลุมศพของคริสตชนนั้น หาใช้จุดที่สิ้นสุดของชีวิตไม่ แต่หลุมศพของคริสตชนเป็นเพียงที่ๆ ทำให้เราได้จากกันเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเราจะได้พบกันอีกอย่างแน่นอน

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง เรื่องที่จะเล่ามีดังนี้ว่า :

มีภารโรงชราคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลประตูพระวิหาร “วินเชสเตอร์” ซึ่งอยู่ตอนใต้ของประเทศอังกฤษ

ภารโรงชราคนนี้ ได้เล่าให้ฟังถึงการส่งข่าวสารในสมัยก่อน เกี่ยวกับชัยชนะของนายพล แวลลิงตัน ที่มีต่อจักรพรรดิ์นโปเลียนว่า มาถึงเกาะอังกฤษได้อย่างไร

ภารโรงชราคนนี้เล่าว่า ข่าวเกี่ยวกับสงครามนั้นมักจะมากับธงเรือ ซึ่งหมายความว่า เรือธงจะส่งสัญญาณธง โดยเรือจะแล่นมาทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษแล้วจึงส่งสัญญาณธง

ตอนนั้นแนวหลัง คือ ประชาชนชาวอังกฤษ คอยข่าวการรบของทหารแนวหน้า โดยการนำของ นายพล แวลลิงตัน เป็นอย่างมาก คนที่อยู่ยอดหลังคาพระวิหารหรือประภาคาร ก็จะมีหน้าที่อ่านสัญญาณธงนั้น เพื่อส่งข่าวให้ประชาชนที่อยู่ด้านล่างได้รับทราบ

อยู่มาวันหนึ่ง เรือธงที่แล่นมาทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษได้ปรากฏขึ้น และได้ส่งสัญญาณธงซึ่งอ่านได้ความว่า “แวลลิงตันพิชิตแล้ว”

แต่คนอ่านสัญญาณธงที่อยู่ยอดหลังคาพระวิหาร อ่านได้ไม่ชัดเจนเพราะข้อความอาจจะยาวเกินไป ก็นึกเอาว่า นายพล แวลลิงตัน นั้นพ่ายแพ้แล้ว จึงส่งข่าวให้ประชาชนที่อยู่ข้างล่างได้รับทราบ ซึ่งทำให้คนที่อ่านแล้วเกิดความเศร้าสลด ข้อความดังกล่าวนั้นทำให้ความเศร้าได้แพร่ปกคลุมไปทั่ว

แต่ต่อมาอีกไม่นานนัก เรืองธงก็ได้ส่งสัญญาณขึ้นมาเพิ่มเติมอีกว่า ชัยชนะ คราวนี้คนอ่านสัญญาณธงที่อยู่ยอดหลังคาพระวิหารได้เห็นอย่างชัดเจน ก็ได้ส่งข่าวให้ประชาชนที่อยู่ข้างล่างได้รับทราบใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า “ นายพล แวลลิงตันพิชิตชัยชนะแล้ว ”

พี่ - น้องที่รักครับ ทันทีที่ความหมายของประโยคได้เปลี่ยนไปไม่กี่นาทีนั่นเอง ประชาชนทั่วเกาะอังกฤษก็แสดงความความปรีดากันทั่วหน้า บรรยากาศแห่งความเศร้ากลายเป็นความยินดี

เฉกเช่นเดียวกันกับตอนเที่ยงของวันศุกร์ ที่สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ยืนมองพระองค์ที่โคนไม้กางเขน ก็เกิดความรู้สึกเศร้าใจ ภาพที่สาวกและผู้ติดตามได้แลเห็นนั้น เป็นภาพที่พระเยซูพ่ายแพ้ต่อศัตรู

แต่เมื่อหมอกยามรุ่งอรุณได้จางลง ซึ่งตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์และเมื่อแสงทองของดวงอาทิตย์นั้นได้สาดส่องลงมายังอุโมงค์ของ “โยเซฟชาวอริมาธา” พระรัศมีภาพของการฟื้นขึ้นมาจากความตายองค์พระเยซูคริสต์ก็ได้ปรากฏขึ้น

1.เป็นสัญญาณแห่งการขับไล่ ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจนั้นให้หมดไป

2.เป็นสัญญาณแห่งการประกาศความยินดีปรีดาให้กับพวกเราทั้งหลาย

3. เป็นสัญญาณแห่งการประกาศว่าพระคริสต์ได้พิชิตศัตรูแล้ว

พี่ - น้องที่รักครับ คำประกาศของทูตสวรรค์ ที่ได้ประกาศแก่สาวกผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ในอุโมงค์แล้วนั้น”

คำถามก็คือว่า แล้วเวลานี้พระองค์ทรงประทับอยู่ที่ไหน ?

คำตอบก็คือ พระองค์ทรงสถิตอยู่ทุกที่ ทุกแห่งและทุกหน ที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา และพระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้กับเราอย่างชัดเจนใน มธ. 28 : 20 ซึ่งเป็นสัญญานิรันดร์ว่า “พระองค์จะสถิตอยู่กับเราเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” ซึ่งไม่มีพระเจ้าองค์ใดในโลกใบนี้ ที่จะพูดอย่างนี้ได้นอกเหนือจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว ( อาเมน ) และที่พระองค์ทรงพูดได้อย่างนี้ก็เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ( ให้เราร้องวู้ ) ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City