คำเทศนาเรื่อง พระเยซูผู้พิชิตพายุ
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะคำของพระเจ้า จากพระธรรมมัทธิว 8 : 23 - 27 ซึ่งโดยส่วนตัวผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้เป็นพระธรรมที่ผู้เชื่อหรือผู้ที่เป็นคริสเตียนทุกคน ต่างมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ให้ที่ประชุมได้เปิดไปที่ มธ. 8 :23 - 27 และให้ที่ประชุมได้อ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ พระเยซูผู้พิชิตพายุ ”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่า พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้นั้น ยังได้ปรากฏอยู่ในพระกิตติคุณพ้อง อันได้แก่ พระธรรมมาระโกและพระธรรมลูกา อีกด้วย และถ้าหากพี่ - น้องได้อ่านพระธรรมทั้ง 2 เล่มนี้ ควบคู่ไปพร้อมๆ กับพระธรรมมัทธิว พี่ - น้องก็จะพบว่า มีหลายอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ ต่างเสริมรายละเอียดของเนื้อหา ทำให้ผู้อ่านได้มีความรู้และเข้าใจในพระคำของพระเจ้าในตอนนี้มากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า หรือผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูบางคน ได้ให้ความเห็นว่า ผู้ที่เขียน นิยาย ของพระเจ้าในตอนนี้ คือ มัทธิว คนเก็บภาษีนั้นมีความต้องการที่จะให้พระเยซูนั้น กลายเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ เขาจึงได้พยายามที่จะแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ต่อต้านเรื่องการอัศจรรย์ของพระเยซูบางคน ก็ได้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ของพระคัมภีร์ในตอนนี้เป็นเหตุบังเอิญ กล่าวคือ เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นห้ามลมพายุ พอดีว่าจังหวะนั้น เวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ลมพายุนั้นกำลังจะหยุดลงพอดี
อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าหรือผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูและหรือผู้ที่ต่อต้านการอัศจรรย์ของพระเยซู ก็คงจะไม่ทราบว่า โดยแท้จริงแล้วพระเยซูนั้นทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และไม่เพียงเท่านั้นพี่ - น้องที่รัก ในพระธรรมยน.1 : 3 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ยน.1 : 3 พระวจนะของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ ”ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างในทุกๆ สรรพสิ่งทั้งมวลในโลกใบนี้ด้วยพระวาทะของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะหยุดสิ่งต่างๆ นั้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลยพี่ - น้องที่รักครับ ที่พระเยซูจะทรงหยุดสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น ด้วยพระวาทะของพระองค์
ดังนั้นการอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอัศจรรย์ในครั้งนี้หรือการอัศจรรย์ในครั้งไหนๆ ก็ตาม พี่ - น้องก็จะพบว่าพระเยซูคริสต์สามารถที่จะพิชิตสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยพระวาทะของพระองค์ทั้งสิ้น เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ที่พระเยซูสามารถที่จะพิชิตมรสุมของคลื่นลมหรือควบคุมให้มันเงียบสงบลงได้ ก็ด้วยพระวาทะของพระองค์อีกเช่นกัน เหตุเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างทะเลนั้นขึ้นมา ดังนั้นการอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ ครั้ง ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า มันมิได้เป็นการขัดแย้งอะไรเลยกับธรรมชาติในการทรงสร้างของพระองค์เลย ( อาเมน )
พี่ - น้องที่รักครับ เหตุการณ์ใน มธ. 8 : 23 - 27 ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงประทับอยู่บนเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ แต่พระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้ซึ่งได้บันทึกไว้ในพระธรรมมาระโก 4 : 36 ( ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก. 4 : 36 ) พระวจนะของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า คนเหล่านั้นก็ได้ขึ้นเรือตามไปด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นเรือของสาวกน๊ะครับ แต่เป็นเรือของคนอื่นๆ ที่มีความต้องอยากจะอยู่ใกล้กับพระเยซู ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ใช่เรือของสาวกเพียงลำเดียวเท่านั้นที่ได้ออกเดินทางไป แต่ยังมีเรืออีกหลายลำที่ได้ออกเดินทางและล่องลอยอยู่บนทะเลสาบการลิลีพร้อมๆ กับเรือของพระเยซูด้วย
ผมเองมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ใน ณ. ที่นี้ คงไม่มีใครเคยเดินทางไปที่ประเทศอิสราเอลใช่ไหมครับ ผมเองก็ไม่เคยเดินทางไปที่นั่น แต่จากการที่ได้ศึกษามาก็พบว่า ทะเลสาบน้ำจืดกาลิลีหรือกาลิลายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอิสราเอล ซึ่งมีความกว้าง 11 กม. และ ยาว 21 กม. ซึ่งนั่นหมายความว่า เราไม่สามารถมองเห็นฝั่งข้างโน้นได้เลย ดังนั้นการที่พระเยซูกับเหล่าสาวกจะนั่งเรือข้ามฟากไปข้างโน้นได้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง
และที่แปลกก็คือทะเลสาบกาลิลีนี้ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 700 ฟุต เพราะฉะนั้นอุณหภูมิที่อยู่เหนือผิวน้ำทะเลสาบกับอุณหภูมิที่อยู่ระดับน้ำทะเลนั้น จะมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก การต่างกันเช่นนี้นี่เองพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้เกิดอากาศที่แปรปรวนหรือเกิดลมพายุได้ง่าย และเมื่อเกิดลมพายุขึ้นมาแล้ว ก็อาจจะเป็นลมพายุที่มีความรุนแรงเสียด้วย และนี่คือที่มาของทะเลสาบกาลิลี
ซึ่งพี่ - น้องจะต้องไม่ลืมน๊ะครับว่า ที่ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ที่พระเยซูทรงใช้ทำพระราชกิจของพระองค์ด้วย เช่น พระองค์ทรงใช้ในการสรรหาสาวกของพระองค์ หรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า สาวกของพระองค์ก็มาจากละแวกนี้หรือแถวๆ นี้แหละ เช่นอะไรอีกครับ ? เช่น พระเยซูทรงใช้ที่ทะเลสาบกาลิลีนี้ เพื่อการรักษาโรคและรวมทั้งพระองค์ทรงใช้ในการอบรมหรือเทศนาสั่งสอน
และในบางครั้งพระเยซูทรงเทศนา โดยที่พระองค์นั้นทรงนั่งอยู่ในเรือและมักจะถอยเรือออกไปในทะเลสักนิดหนึ่ง และเทศนาให้สาวกและผู้ที่ติดตามที่นั่งอยู่บนชายฝั่งได้รับฟัง จนมีมักเทศน์คนหนึ่งได้เขียนเอาไว้ดังนี้ว่า “ดูเถิดปลาอยู่บนบกและชาวประมงอยู่ในน้ำ” ซึ่งโดยปกติแล้วปลานั้นจะอยู่ในน้ำและชาวประมงที่จะตกปลาจะนั่งอยู่บนบก แต่ในกรณีของการรับใช้ของพระเยซูในกรณีนี้ มันกลับกัน คือ ปลา หมายถึง คนที่ฟังข่าวประเสริฐหรือคนที่พระองค์จะเก็บเกี่ยวนั้นนั่งอยู่บนบก ส่วนตัวของพระองค์นั้นนั่งอยู่ในเรือในทะเล นอกเหนือจากนี้แล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้ายังได้ใช้ทะเลสาบน้ำจืดที่มีชื่อว่ากาลิลีแห่งนี้ สั่งสอนในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณให้กับผู้คนอย่างมากมายอีกด้วย
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่บนทะเลนั้น พระองค์ได้ทรงบรรทมหรืองีบหลับอยู่ เนื่องจากทรงเหน็ดเหนื่อยจากภาระกิจการงาน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็ได้มีพายุในทะเลสาบบังเกิดขึ้นกลางทะเล เป็นพายุที่แรงกล้า พายุนั้นได้ทำให้เกิดคลื่นใหญ่ และคลื่นที่ใหญ่นั้นก็ได้ปะทะกับเรือ และน้ำก็ได้เข้าไปในเรือนั้น จนเรือนั้นจวนจะจมอยู่แล้ว
เมื่อผมและพี่ - น้องในคริสตจักรฯ ของเราบางคนได้มีโอกาสไปเยี่ยมพี่ - น้องที่คลองน้อย ผมพบว่าตอนขาไปนั้นพวกเราส่วนมากจะคุยกันจ้อ เพราะน้ำมันลงและเรายังมองเห็นความสว่างจากดวงอาทิตย์ แต่ตอนขากลับนั้นน้ำทะเลมันกำลังขึ้นและเรามองไม่ค่อยจะเห็นความสว่างเท่าไหร่เลย ผมพบว่าบรรยากาศในตอนขากลับนั้น มันเงียบลงไปมากพอสมควร แต่ที่เงียบไปมิใช่เพราะเราเหนื่อยจากการับใช้กันสักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะว่าภายในใจของพวกเราบางคนซึ่งรวมทั้งผมด้วย เกิดความกลัวขึ้นมาภายในใจ ส่วนตัวผมคิดภายในใจว่า “ เอ๊ะมันจะไปถึงฝั่งไหมเนี่ย หรือถ้าขับๆไป น้ำมันๆ เกิดหมดระหว่างกลางทะเลขึ้นมาเราจะทำอย่างไรกันว่ะเนี่ย ”
แต่อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รัก ผมเองก็ยังมีความอุ่นใจอยู่บ้าง เหตุเพราะคนขับเรือนั้นเขายังยิ้มได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เขายังเอาอยู่ เขายังไม่รู้สึกวิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น ซึ่งมันต่างจากเหตุการณ์จากพระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะชาวประมงอย่าง ซีโมนเปโตร อันดรูว์ ยากอบและยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีทักษะ มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในทางทะเลสูง ต่างมีความกลัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
มีคนกล่าวว่า “ ถ้าคุณไม่ชำนาญเรื่องอะไร คุณจะไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคุณชำนาญในเรื่องอะไรก็ตาม คุณจะกลัว เพราะคุณรู้ดีว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ”
พี่ - น้องที่รักครับ ผมคิดว่าคำพูดนี้มันใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้จริงๆ เหตุเพราะพวกสาวกของพระเยซูนั้นเขากลัวจริงๆ เสมือนว่าความตายนั้นมันได้ถูกวางเอาไว้ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาแล้ว
และด้วยความกลัวนั่นเองพี่ - น้องที่รักครับ ที่ทำให้พวกสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเกิดความตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สาวกของพระเยซูพยายามที่จะช่วยเหลือตนเอง โดยการช่วยกันวักน้ำออกจากเรือ สาวกของพระเยซูบางคนอาจจะช่วยกันบังคับใบเรือ สาวกบางคนอาจจะลนลานในการตะโกนสั่งการ เฮ้ย...ช่วยกันตรงนั้นสิ ช่วยกันตรงนี้สิ
พี่ - น้องที่รัก สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเรือในขณะนั้น เราสามารถที่จะพิจารณาอย่างนี้ได้ไหมครับว่า
1 ) สาวกของพระเยซูคริสต์บางคนเขาอาจจะมองไม่เห็นพระเยซูประทับอยู่ในเรือลำนั้นเลย เหตุเพราะเขากำลังจดจ่อกับบางสิ่ง บางอย่างอยู่ สิ่งนั้นมันเลยบังตาหรือปิดตาเขาอยู่
2 ) สาวกของพระเยซูบางคนอาจจะมองว่า ถึงจะมีพระเยซูก็เหมือนไม่มี เหตุเพราะพระเยซูไม่ได้มีส่วนช่วยเหลืออะไรพวกเขาเลยนอกจากพระเยซูไม่มีส่วนที่จะช่วยเหลืออะไรพวกเขาเลยแล้ว แถมพระองค์ยังทำไมครับ ? พระองค์ยังนอนหลับอย่างสนิทเสียด้วย
พี่ - น้องเคยตระหนักถึงเรื่องนี้ไหมครับว่า แม่คนหนึ่งสามารถที่จะนอนหลับได้อย่างสนิท แม้ว่าบ้านของเขานั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับถนนแล้วก็มีรถบรรทุกวิ่งผ่านไปมาทุกวันและเสียงของรถบรรทุกที่วิ่งผ่านไปมานั้น ก็ไม่ทำให้คนที่เป็นแม่ต้องตื่นเลย แต่เสียงเล็กๆ ของลูกตัวน้อยๆ ที่ได้ร้องขึ้นมาเพียง “ แอ๊ะ” เดียวเท่านั้นในเวลากลางคืน กับทำให้คนที่เป็นแม่ตื่นขึ้นมาให้นมกับคนที่เป็นลูกได้
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็เช่นกันพี่ - น้องที่รักครับ เสียงใหญ่ๆที่มารบกวนพระองค์ เช่น เสียงของคลื่นลม เสียงของฝนฟ้าคะนองหรือเสียงแห่งความสับสนอลหม่านต่างๆ นั้นพระเยซูจะไม่ตื่น แถมพระองค์ยังนอนหลับสบาย แต่ถ้าเสียงนั้นเป็นเสียงบุตรของพระเจ้า เป็นเสียงของพี่ - น้องและผม รวมทั้งเป็นเสียงของผู้เชื่อคนอื่นๆ พระองค์จะตื่นขึ้นมาในทันที
เมื่อพระอาจารย์ซึ่งเป็นพระเจ้าได้ทรงสัญญาว่า จะนำพาชีวิตของสาวกทั้ง 12 คนไปฟากข้างโน้น แต่อยู่ๆ เมื่อมีเหตุการณ์ทางธรรมชาตินี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง พระองค์จะยอมปล่อยให้ 12 สาวกของพระองค์นั้น จะต้องจบชีวิตลงในทะเลอย่างนั้นหรือ พี่ - น้อง คิดว่าพระเยซูจะยอมอย่างนั้นไหมครับ? ไม่ยอมอย่างแน่นอน
แต่การที่พวกสาวกของพระองค์ จะต้องเผชิญกับคลื่นลมและคลื่นมรสุมที่มีการแปรปรวนอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่ามรสุมของคลื่นลมนั้นก็จะเกิดขึ้นแรงเรื่อยๆ นั้น นั่นเป็นเพราะว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างพี่ - น้องที่รัก ที่มันได้บังตาหรือปิดตาพวกเขาอยู่ในเวลานั้น สาวกของพระเยซูจึงได้พึ่งกำลัง , สติปัญญาและความรอบรู้ของตนเอง
พี่ - น้องที่รักครับ การที่สาวกของพระเยซูพึ่งกำลัง , สติปัญญาและความรอบรู้ของตนเองนั้นทำให้พวกเขาได้ออกห่างจากพระเยซู สาวกบางคนเดินไปทางท้ายเรือบ้าง บางคนเดินไปทางหัวเรือบ้าง บางคนก็วักน้ำออกจากเรือบ้าง สุดท้ายพวกเขาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ไหมครับ ? ไม่ได้เลย
แต่เมื่อชีวิตของพวกเขา ใกล้ที่จะมาถึงกับความตายแล้ว และเมื่อพวกเขารู้ว่าถ้าพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือแล้วจากพระอาจารย์ของพวกเขาแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็จะต้องจบลงอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงได้มองเห็นใครครับ ? พวกเขาจึงได้มองเห็นพระเยซูและได้เข้าไปใกล้พระองค์ คุกเข่าลงและอธิษฐานโดยเรียกหาพระเยซู และบอกกับพระเยซูว่า“ พระองค์เจ้าข้าตื่นเถิด เพราะทั้งเรือและพวกเราทุกคน กำลังจะพากันจมลงทะเลอยู่แล้ว ”
อ. ทอลเลย์ ซึ่งเป็นนักศาสนาศาสตร์ ได้ลองแปลพระคัมภีร์ในข้อที่ 25 นี้เสียใหม่ โดยแปลจากภาษาอาร - เมค โดยตรง ซึ่งเป็นภาษาต้นฉบับของพระคัมภีร์ อ. ทอลเลย์ ได้แปลว่า “ เราพินาศแล้วช่วยด้วยเถิดพระเจ้าข้า ” พี่ - น้องคิดว่า พระเยซูช่วยพวกเขาไหมครับ ? พระเยซูจะต้องทรงช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อพระเยซูทรงตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงกระทำนั่นคืออะไรครับ พี่ - น้อง ? อยู่ในข้อที่ 26 ให้ที่ประชุมได้อ่านพร้อมกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
สิ่งแรกที่พระเยซูทรงกระทำนั่นคืออะไร ? คำตอบคือ พระองค์ทรงพิชิตหรือหยุดมรสุมภายในจิตใจของสาวกของพระองค์ก่อน ภายหลังจากนั้นพระเยซูจึงพิชิตหรือหยุดมรสุมภายนอก เมื่อพระองค์ทรงจัดการกับมรสุมภายในเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงยืนขึ้นและได้กล่าวสำทับกับลมและทะเลว่า “ จงเงียบซิ ” หรือ “ จงเงียบเถอะ ”และเมื่อคำนั้นออกจากพระโอษฐ์หรือออกจากปากของพระเยซูแล้ว ทั้งพายุและทั้งลมที่แรงกล้าก็ได้หยุดลงในทันที
สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเป็นเรื่องที่ปกติและเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ผู้รับใช้ของพระเจ้าทั่วโลกก็มีปัญหาเหมือนกับที่พี่ - น้องมีนั่นแหละ มิใช่ว่าเป็นศิษยาภิบาลหรือเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแล้วจะไม่มีปัญหาซะเมื่อไหร่
แต่……เมื่อมีอุปสรรคหรือว่ามีปัญหานั้นขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าปัญหานั้นจะหนักหนาสาหัสมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า
*พระเจ้าซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตของพี่ - น้องและผม จะไม่ยอมให้ผู้เป็นบุตรชายและบุตรหญิงที่เชื่อฟังยำเกรงพระองค์นั้นจะต้องมีชีวิตที่พินาศไป
*ปัญหาหรืออุปสรรคนั้น จะกลืนกินพระผู้ช่วยให้รอดที่อยู่ในชีวิตของเราได้ไหมครับ ? แต่นั่นหมายความว่า เราจะต้องนิ่ง ไม่ใช่สติแตก และใคร่ครวญถึงพระวจนะคำของพระองค์ ซึ่งนั่นก็คือ เราไม่เดินออกห่างจากพระเยซูนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเดินออกห่างจากพระเยซู เหมือนกับสาวกของพระเยซู ที่บางคนเดินไปยืนอยู่ที่หัวเรือ บางคนเดินไปยืนอยู่ที่ท้ายเรือ ปัญหาหรืออุปสรรคนั้นอาจจะกลืนกินชีวิตของเราได้
เช่น ถ้าเราไม่มีเงินเราก็ไปหาเงิน ทั้งเงินบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ทั้งเงินอาบัง ทั้งเงินยูเม๊ะ ท้ายที่สุดเมื่อเราใช้คืนเขาไม่ได้ปัญหานั้นก็จะกลับมาหาเราในที่สุด
*เรือที่มีพระผู้ช่วยให้รอดนั่งอยู่ด้วยจะจมได้หรือ แต่นั่นหมายความ เราจะต้องไม่พึ่งพากำลัง สติปัญญาหรือความรอบรู้ของตนเอง ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ สภษ. 3 : 5 - 6 “ จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึงพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าและพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น ”
พี่ - น้องที่รักครับเมื่อใดก็ตาม ที่เราพึ่งกำลังหรือพึงสติปัญญาและความรอบรู้ของตัวเราเอง ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า พระองค์จะไม่กระโตกกระตากอะไรเลย พระองค์จะเงียบสนิท พระองค์อาจจะตอบคำอธิษฐานของพี่ - น้องบางอย่าง แต่อาจจะไม่ใช่ทุกอย่าง และถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ให้คนนู้นได้ คนนี้ได้ แต่สำหรับเราแล้วเวลานี้ดูเหมือนว่าพระองค์จะเงียบสนิท ซึ่งนอกจากพี่ - น้องจะต้องเหนื่อยจากการช่วยเหลือตนเองแล้ว ท้ายที่สุดแล้วพี่ - น้องช่วยตัวเองได้ไหมครับ? ช่วยจะตัวเองไม่ได้เหมือนกับสาวกของพระองค์
โดยเฉพาะสภาพของเศรษฐกิจของโลกและของประเทศที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ที่ฐานตัว U ของภาคเศรษฐกิจโดยรวมนั้น แม้แต่สถาบันการเงินในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นS$P หรือ มูดี้ และแม้แต่สถาบันการเงินในบ้านเราเองก็ตาม ก็ไม่มีสถาบันการเงินไหนที่กล้าจะฟันธงอย่างชัดเจนว่า มันจะห้อยตัวลงนานสักเท่าไหร่ หรือจะเขยิบหัวขึ้นอีกนานแค่ไหน ได้แต่ประมาณการคร่าวๆ ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 5 ปี
ถ้าพี่ - น้องได้ไปถามนักธุรกิจที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน พี่ - น้องก็จะพบกับคำตอบว่าพวกเขานั้น “ เหนื่อยมาก ”แต่ในคำถามเดียวกันนี้ถ้าพี่ - น้องได้ไปถามนักธุรกิจที่เป็นคริสเตียน พี่ - น้องก็จะได้รับคำตอบว่า“ ขอบคุณพระเจ้า ”เพราะอะไรพวกเขาถึงตอบอย่างนั้นได้ ให้ถามคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า คุณอยากรู้ไหม ? คำตอบก็คือ เพราะพระเจ้าได้ให้สติปัญญากับเขาหรือพระเจ้าได้เปิดตาให้กับเขา พวกเขาจึงมองเห็นปัญหาในอีกมิติหนึ่งหรืออีกแบบหนึ่ง หรือมองเห็นปัญหาอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น และนี่ก็เป็นพระพรอีกอย่างหนึ่งของการคริสเตียน
และด้วยเหตุผลนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ ที่ทำให้พี่ - น้องคริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจหลายต่อหลายคน ได้ถวายตัวที่จะมีส่วนในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ากันมากขึ้น เพราะอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? เพราะถ้าพี่ - น้องดูแลพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์จะไม่ยอมปล่อยให้ธุรกิจ การค้าหรืออาชีพ การงานของพี่ - น้องจะต้องพินาศลงหรือจมลงอย่างแน่นอน
หลายสิบปีที่ผ่านมาเกษตรกรชาวอเมริกันนั้น มีการปลูกถั่วลิสงกันมากเป็นพิเศษ จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะนำเอาถั่วลิสงนั้นไปทำอะไรกันดี ผมเชื่อว่าภาพอย่างนั้นพวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะบ้านเราบางครั้งสินค้าทางการเกษตรก็มีอะไรที่ออกมามากจนล้นตลาดไม่รู้จะไปทำอะไรกันดี
มีคริสเตียนคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของไร่ถั่วลิสงจำนวนหลายร้อยไร่ ได้สงบนิ่งและคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอพระเจ้าได้ให้สติปัญญากับเขาและขอพระเจ้าได้เปิดตาของเขาที่จะผ่านปัญหานี้ไปได้และจะขอให้สิ่งนี้ได้มีส่วนในการรับใช้พระองค์
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า เขาเอาถั่วลิสงมาทำอะไร ? เขาเอาไปคั่วและปั่นผสมกับเนยกลายเป็นแยมถั่ว ปัจจุบันเป็นสินค้าที่มีผู้คนรับประทานผลิตภัณฑ์ของเขาไปทั่วโลกและ เนยถั่วยี่ห้อ Skippy ก็คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของเขา
มีพี่ - น้องคริสเตียนบางคนได้บอกกับผมว่า เขากำลังเผชิญกับมรสุมของครอบครัวอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูกที่จบมาแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ หรือเรื่องของสามีหรือเรื่องของภรรยาและหรือเรื่องของญาติพี่ - น้อง ซึ่งอยู่ดีๆ ก็ได้พัดเอาปัญหาเข้ามาให้เขา ทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา และคิดว่า เอ้เรื่องของครอบครัวเรานั้น มันจะไปทิศทางไหนหรือทำไมสถานการณ์มันถึงเคลื่อนไปในจุดที่มีมรสุมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
บางคนก็บอกกับผมว่า กำลังเผชิญกับมรสุมของชีวิต เกี่ยวกับเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้หลายๆ คนเกิดความกลัวขึ้นมา จนทำให้เรารู้สึกว่า โอ้ย……..ฉันไม่ไหวแล้ว
ผมจึงได้จัดยาฝ่ายวิญญาณให้เขาไป 2 เม็ด เป็นยาแห่งการหนุนน้ำใจพี่ - น้องของเรา ซึ่งนั่นก็คือพระวจนะคำของพระเจ้า 2 ข้อด้วยกัน และอยากที่จะให้เป็นยาฝ่ายวิญญาณเพื่อเป็นการหนุนจิตชูใจพี่ - น้องของเราในเช้าวันนี้ด้วยเช่นกัน
ยาเม็ดที่ 1 อยู่ในสภษ. 3 : 5 - 6
ให้พี่ - น้องได้แสวงหาพระเจ้าและทูลขอสติปัญญาจากเบื้องบน และขอให้พระเจ้าได้ทรงเปิดตาของพี่ - น้อง เพื่อที่พี่ - น้องจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง และที่สำคัญก็คือ เพื่อที่พี่ - น้องเองนั้นแหละที่จะไม่เหนื่อย และไม่เพียงเท่านั้นพี่ - น้องที่รักครับ คนที่เป็นพ่อ คนที่เป็นแม่ทุกคน ท่านจะต้องไม่ลืมอธิษฐานเผื่อลูกๆ ของท่านในหัวข้อนี้ด้วย
คำถามคือว่าเพราะอะไร ? คำตอบก็คือ เพราะสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ณ. เวลานี้ขอพี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า บริบทของโลกนี้มันกำลังจะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศนี้ ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า บริบทของประเทศนี้ ก็กำลังจะถูกเปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าบุตรชาย บุตรหญิงของพี่ - น้อง แม้ว่าเขาจะมีพระเจ้า มีพระเยซูก็จริง แต่ถ้าเขาไม่มีสติปัญญาของพระเจ้า หรือพระเจ้าไม่ได้เปิดตาในฝ่ายวิญญาณให้กับเขา ลูกของพี่ - น้องก็จะแก้ไขปัญหาอย่างที่ลูกของคนอื่นๆ เขาทำกัน ซึ่งมันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากสาวกของพระเยซูในขณะที่อยู่บนเรือลำนั้น
ยาเม็ดที่ 2 อยู่ใน อสย. 3 : 10 “ จงบอกคนชอบธรรมว่าเขาทั้งหลายจะเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับผลแห่งการกระทำของเขา ”
พี่ - น้องที่รักครับ คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้น เมื่อเขามีปัญหา เขาก็จดจ่ออยู่กับแก้ไขปัญหานั้นๆ เช่น เมื่อเขาเจ็บป่วย เขาก็จดจ่อกับการที่เขาจะรักษาตัวให้หาย ดังนั้นไม่ว่าจะมีใครมาบอกกับเขาว่า “ หมอที่นั่นดีหรือหมอผีที่ไหนดี ” เขาก็จะพากันวิ่งไปหาเสียทุกหมอ ใช่หรือไม่ ? เช่น คนที่ทำธุรกิจอยู่ในเวลานี้และเศรษฐกิจก็เป็นแบบนี้ เขาก็จะจดจ่ออยู่กับความคิดที่ว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของเขานั้นขายได้ จริงหรือไม่จริง ? ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะครับพี่ - น้อง
แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียน ทำไมเราถึงไม่เอาปัญหานั้นเข้ามาสู่การรับใช้พระเยซู เหมือนกับ คุณ ปิ๋ม หรือเหมือนกับ คุณ สุนทร และหรือเหมือนกับนักธุรกิจคริสเตียนคนอื่นๆ ที่เขาต่างรู้ว่าภาวะแบบนี้มีแต่ทรงกับทรุด แต่เมื่อเขานำเอาปัญหาทางธุรกิจนั้นเข้ามาสู่การรับใช้พระเจ้า พระเยซูบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ เขาจะได้รับผลแห่งการกระทำของเขา ” ซึ่งนั่นหมายความว่า ธุรกิจของผู้ชอบธรรมจะจมสู่ทะเลหรือจะเจ๊งได้หรือ
หรือเหมือนกับน้อง Earth ที่เป็นผู้พิการ และต้องนอนมองฝ้าเพดานนานอยู่ 7 - 9 ปี เพราะเขากลัวที่จะพบปะกับผู้คนเหตุเพราะเขาไม่เหมือนเดิม แต่เมื่อเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอที่จะนำเอาการเจ็บป่วยของเขานั้น ออกมารับใช้พระเจ้า พระเจ้าหยุดมรสุม
ภายในจิตใจของเขา ปัจจุบันน้อง Earth ไม่กลัวที่จะพบกับผู้คนเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้น้อง Earth นั่งอยู่บนรถเข็นได้แล้ว และได้เดินทางไปเทศนาเพื่อให้การหนุนจิตชูใจพี่ - น้องคริสเตียนมากมายทั่วประเทศ ที่สำคัญก็คือ น้อง Earth เขาได้ทำสิ่งนี้มากกว่าคนที่เป็นปกติเสียด้วยซ้ำ พระเยซูบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ เขาจะได้รับผลแห่งการกระทำของเขา ”
วันนี้ผมไม่ได้ท้าทายพี่ - น้อง แต่พระวจนะคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงและเป็นถ้อยคำอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ กำลังที่จะเชิญชวนพี่ - น้องโดยเฉพาะผู้ที่กำลังเผชิญกับภาระปัญหาหรือเผชิญกับมรสุมของชีวิตอยู่ในเวลานี้ ให้พี่ - น้องได้ทำอย่างเดียวกับพี่ - น้องของเราดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และพี่ - น้องอาจจะเป็นคนหนึ่งที่พูดอย่างเดียวกับผู้ที่ได้พูดเอาไว้ ในมัทธิวบทที่ 8 : 27 ว่า “ ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ”
และถ้าพี่ - น้อง ไม่รู้จะเริ่มต้นนำเอาปัญหาของท่าน เข้ามาสู่การรับใช้พระเจ้าอย่างไร 08 - 7081 - 1988 นี่คือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผม อนุญาตให้พี่ - น้องโทรหาผมได้ และผมจะบอกกับพี่ - น้องว่า พี่ - น้องควรจะเริ่มต้นอย่างไร
และถ้าพี่ - น้องได้รับพระพรจากการที่พี่ - น้องมีปัญหาแล้ว นำปัญหานั้นเข้ามาสู่การรับใช้พระเจ้าแล้ว พี่ - น้องอยากทราบไหมครับว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ? ให้ท่านถามคนข้างๆ ท่านอีกครั้งหนึ่งว่าคุณอยากรู้ไหม ?
คำตอบก็คือ พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรฯ คนต่อๆ ไป รวมทั้งพี่ - น้องผู้เชื่อคนอื่นๆ จะเดินตามอย่างท่าน ซึ่งเปรียบเสมือนกับเรือลำอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางไปกับพระเยซูในขณะนั้นที่ได้รับพระพรจากการที่คลื่นลมนั้นได้เงียบสงบลงด้วย ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน