คำเทศนาเรื่อง พระเยซูรักษาชายตาบอด
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรม มก.10 : 46 - 52 ให้ที่ประชุมได้เปิดและให้เราได้อ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงดัง ( เชิญครับ ) และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ พระเยซูรักษาชายตาบอด ” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ผมมักจะพูดกับผู้ซึ่งเป็นภรรยาและผมมักจะพูดกับทีมงานที่ได้มีส่วนในการ ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าร่วมกับผมอยู่เสมอว่า ปัญหาของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั้น เป็นเพราะว่า พี่ - น้องประชาชนคนไทยบางส่วนของประเทศนั้น แม้ว่าเขาจะมีสายตาภายนอกที่ดี แต่แท้จริงแล้วสายตาในฝ่ายจิตวิญญาณของเขานั้นกับมืดบอด รวมทั้งกับมีจิตวินิจฉัยที่ผิดปกติ ทำให้คนเหล่านั้นแยกแยะไม่ออกว่า อะไรคือผิดชอบชั่วดี หรืออะไรคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง หรืออะไรคือสิ่งที่เขาสมควรทำและอะไรคือสิ่งที่เขาไม่สมควรจะทำ หรืออะไรสมควรที่จะรับและอะไรไม่สมควรที่จะรับ
และ คนที่มีสายตาที่มืดบอดในฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้แหละครับพี่ - น้องที่รัก ที่ก่อให้เกิดปัญหาอยู่เสมอๆ ทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น เช่น เพื่อน หรือต่อผู้คนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย เป็นต้น ถ้าคนๆนี้เป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียน แต่ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงแล้ว คนเหล่านี้ก็จะสร้างปัญหาให้กับพี่ - น้องในโบสถ์หรือก่อให้เกิดปัญหาให้กับคริสตจักรของพระเจ้าได้
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 เราพบชายตาบอด
ชายตาบอดคนนี้มีชื่อว่า บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของ ทิเมอัส เราพบว่าชายตาบอดคนนี้เขามีปัญหาอยู่ด้วยกัน 4 ประการด้วยกัน
ปัญหา แรกของผู้ชายคนนี้นั่นก็คือ ปัญหาฝ่ายร่างกาย คือ ตาของเขานั้นบอดมองไม่เห็น ซึ่งพระคัมภีร์ก็ไม่ได้มีการบันทึกว่า ตาของผู้ชายคนนี้นั้นบอดหรือมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า ผู้ชายคนนี้ เขาเองอาจจะเคยมีตาที่มองเห็นมาก่อน แต่ว่าเดี๋ยวนี้ตาของเขานั้นบอดและมองไม่เห็นแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับเขา
ปัญหา ที่สองของชายตาบอดคนนี้นั่นก็คือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ ชายตาบอดคนนี้ เขาต้องมานั่งอยู่ที่ริมทาง วิธีที่เขาใช้ในการทำมาหากินนั่นก็คือ ร้องขอเศษเหรียญเงินในถุงย่ามของคนที่เดินเข้า เดินออก หรือ เดินผ่านไป ผ่านมา ยังเมืองเยรีโค ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยเรียกคนที่มีอาชีพนี้เหล่านี้ว่า ขอทาน
ปัญหา ที่สามของชายตาบอดคนนี้นั่นก็คือ ปัญหาทางสังคม พี่ - น้องที่รักครับ ในสังคมของชาวยิวนั้นเขาจะไม่ยอมคบหาคนตาบอดอย่างเด็ดขาด สังคมของชาวยิวในเวลานั้น ถือว่าคนที่ตาบอดนั้น เป็นคนที่ได้ตายไปแล้วเหมือนกับคนที่เป็นโรคเรื้อน และด้วยความคิดในลักษณะที่ว่านี้นี่เอง จึงเป็นเสมือนกับการ “ อเปหิ ” คนเหล่านี้ ให้ออกไปจากสังคมของชาวยิวโดยอัตโนมัติ คนที่ถูก “ อเปหิ ” นั้นน่าสงสารมั้ยครับพี่ - น้อง ? คนเหล่านี้เป็นคนที่น่าสงสาร เป็นคนที่มีความทุกข์จากทั้งข้างในและข้างนอก
ปัญหา ที่สี่ของชายตาบอดคนนี้นั่นก็คือ ปัญหาทางด้านภาพลักษณ์ของตัวเอง อาชีพขอทานเป็นอาชีพที่มีเกียรติหรือไร้เกียรติมัยครับพี่ - น้อง ? เป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ผู้คนต่างพากันดูถูก ดูแคลน ญาติพี่ - น้องผ่านมาพบประสบเจอเข้า มีใครอยากจะเข้ามาทักทายเขามัยครับ ? หรือมีใครอยากจะบอกว่าคนนี้เป็นญาติผม เหมือนที่ตลอกชอบใช้เป็นมุขว่า “ ลูกผม ” มีมัยครับ ? ไม่มี และนี่คือสิ่งแรกที่เราพบจากพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้
จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 เราพบว่าชายคนนี้มีอุปสรรคปัญหา
พี่ - น้องที่รักครับ แท้จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เป็นเรื่องที่ปกติและก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ และในความเป็นมนุษย์ของเรานั้น ขอให้เราได้รู้เถิดว่า พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญากับเราทุกคน เพื่อที่เรานั้นจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัวของเรา โดยเฉพาะเมื่อเรานั่งลงศึกษา พิจารณา สอบถาม หรือใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา ปัญหานั้นๆ ก็อาจจะหมดไป
แต่ พี่ - น้องฟังให้ดีๆ นะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพียงแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์จะแก้ไขปัญหาทุกปัญหาได้หมดซึ่งทุกสิ่งและทุกอย่าง เพราะ โดยแท้จริงแล้วพี่ - น้องที่รักครับ ปัญหาบางปัญหาต่อให้เราได้นั่งลงศึกษา พิจารณา ปรึกษาหารือกับผู้คนรอบข้าง หรือใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่เราก็พบว่าปัญหาหลายๆ อย่างนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้เลย ตัวอย่างเช่น การเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น ด้วยสติปัญญาหรือด้วยความรู้ที่เรามีก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ คนรอบข้างที่เรารู้จักทั้งหมด ต่อให้บางคนมีอาชีพเป็นหมอด้วย ก็ช่วยยื้อชีวิตของเราเอาไว้ได้มัยครับ ? ต่อให้เรามีทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมาก ก็ไม่สามารถช่วยต่อชีวิตของเราเอาไว้ได้
ซึ่งก็ตรงกับสำนวนในภาษาอังกฤษสำนวนหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ดีมากว่า “ He does imposible thinks as natural as breathing ” แปลว่า “ บางครั้งพระเจ้าไม่ได้ให้ปัญญาแก่คุณในการแก้ปัญหา แต่พระองค์อยากให้เรารู้ว่าพระองค์เท่านั้นที่แก้ปัญหานั้นได้ ”
ใน ทางตรงกันข้าม ถ้าปัญหาต่างๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ และเราก็ยังหมกมุ่นหรือครุ่นคิดอยู่กับปัญหานั้นๆ มากจนเกินไป พี่ - น้องฟังให้ดีๆ นะครับ ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นมันจะยกระดับของมันขึ้นมา เป็นปัญหาซ้อนปัญหาขึ้นมาในทันที
ด้วย เหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก เราจึงมักบอกข่าวที่ดีและไม่ค่อยบอกข่าวร้ายกับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เป็นต้น เพราะถ้าเราบอกข่าวร้ายนั้นไปกับผู้ที่มีโรคประจำตัว ร่างกายที่ป่วยอยู่นั้นจะทำไมครับ ? ก็จะทรุดลงไปอีก เฉกเช่นเดียวกับชายตาบอดคนนี้ที่เขามีปัญหาอยู่แล้ว แต่ก็กับมีปัญหามากขึ้นไปอีก เพราะเขาหมกมุ่นหรือครุ่นคิดอยู่ในความทุกข์นั้น
1 ) เขาคิดว่าทำไมเขาต้องมานั่งหรือต้องมานอนอยู่ตรงนี้
2 ) เขาคิดว่าทำไม่เขาต้องตาบอด หรือใครทำให้เขาต้องเกิดมาแบบนี้
3 ) เขาคิดว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือ และพระเจ้าอยู่ที่ไหนและทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเขาและเขาคิดว่า ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง ทำไมพระเจ้าถึงไม่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของเขา ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นล่ะ คิดไปคิดมาก็รู้สึกชีวิตนี้น่าเศร้าหรือรู้สึกเซ็งกับชีวิต คิดไปคิดมาก็รู้สึกหมดหวังกับชะตาชีวิต ชายตาบอดคนนี้น่าจะเป็นคนที่มีปัญหาที่หนักมากในชีวิต
ชายตาบอดคนนี้เขาจึงมีปัญหาแบบ“เซเว่นอีเลฟเว่น” คือ มีปัญหาได้ตลอดเวลาหรือมีความทุกข์ได้ตลอด 24 ช.ม. จะนอนก็เป็นทุกข์ จะนั่งก็เป็นทุกข์ จะกินก็เป็นทุกข์ จะเข้าห้องน้ำก็ทุกข์
คำถือก็คือว่า พี่ - น้องเคยมีปัญหาประเภทนี้บ้างมัยครับในชีวิต ?
ปัญหาที่เราแก้ด้วยตัวของเราเองไม่ได้ ปัญหานี้จึงรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่รบกวนหรือมันตอดชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา
ปัญหา ที่เราแก้มันไม่ตกหรือเรายังหาคำตอบมันไม่ได้ ปัญหานี้มันจึงทำให้เราต้องถอนหายใจ เฮือกแล้วเฮือกอีกตลอด 24 ช.ม. ทั้งกลางวันและกลางคืน
ถ้า พี่ - น้องเคยมีปัญหาประเภทนี้ ผมเชื่อว่าพี่ - น้องก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของชายตาบอดคนนี้ได้ไม่มากก็น้อย และนี่คือสิ่งที่เราพบในพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 เราพบปัญหาที่ตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
พี่ - น้องที่รักครับ มีพุทธสุภาษิตบทหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่าอย่างนี้ว่า “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ” ซึ่งก็เป็นคำสอนที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วผมพบว่าปัญหาของหลายๆ คน เช่น ปัญหาของลูกหลายๆ คน ก็ยังเป็นปัญหาของพ่อ - แม่หลายๆ คนอยู่ในปัจจุบันนี้ จริงหรือไม่จริงครับคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ทั้งหลาย ? ทั้งๆ ที่ลูกคนนั้นก็โตแล้ว หรือบางคนได้แต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ตาม
ดัง นั้นจึงทำให้เราเห็นว่า ปัญหาหลายๆ อย่างนั้นจะต้องมีคนช่วยเรา โดยเฉพาะเราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราจำเป็นจะต้องมีผู้ที่ช่วยเหลือในปัญหาของเรา ทั้งปัญหาในฝ่ายจิตวิญญาณและปัญหาในฝ่ายร่างกาย
เฉก เช่นเดียวกับชายตาบอดคนนี้พี่ - น้องที่รัก ที่เขาร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยสุดใจของเขา และด้วยใจที่ปรารถนาที่อยากจะให้พระองค์ทรงช่วยเหลือเขา
พระ วจนะของพระเจ้า ได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า กำลังพระราชดำเนินอยู่บนท้องถนน เพื่อจะเสด็จออกจากเมืองเยรีโค ระหว่างทางนั้นพระเยซูก็ได้พบกับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของ ทิเมอัส เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา เขาจึงร้องเสียงดังว่า“ ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ข้าพระองค์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด ” และเมื่อมีหลายคนห้ามเขา ชายตาบอดคนนี้หยุดมัยครับ ? เขากับยิ่งร้องขึ้นด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่าครั้งแรกอีกว่า “ บุตรดาวิดเจ้าข้า โรคภัยไข้เจ็บของข้าพระองค์ที่เป็นอยู่ มันเกินความสามารถของมนุษย์ทั้งโลก ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด ”
พี่ - น้องที่รักครับเสียงร้องที่ชายตาบอดคนนี้ได้ร้องออกมานั้น เป็นสื่อให้เราได้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ปัญหาบางอย่างนั้นจะต้องมีคนช่วยเรา ทั้งปัญหาในฝ่ายจิตวิญญาณและปัญหาในฝ่ายร่างกาย
พี่ - น้องสังเกตอะไรมัยครับ ? พี่ - น้องจะสังเกตได้ว่า ผมจะเน้นที่ฝ่ายจิตวิญญาณก่อนฝ่ายร่างกาย เหตุเพราะพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก. 2 : 7 ได้บอกกับเราว่า “ พระองค์ได้ทรงระบายลมปราณของพระองค์ลงไป มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต ”
ดังนั้นผู้เชื่อหรือผู้ที่เป็นคริสเตียนจะต้องแก้ไขปัญหา ในฝ่ายจิตวิญญาณก่อนที่จะแก้ไขปัญหาในฝ่ายร่างกายหรือในฝ่ายเนื้อหนัง
ดัง นั้นถ้าพี่ - น้องในคริสตจักรมีปัญหา เช่น มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจหรือการเงิน สิ่งที่ศิษยาภิบาลหรือผู้นำในแต่ละคริสตจักรฯ จะทำนั่นก็คือ แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าร่วมกันโดยการอธิษฐาน ถามเพื่อตรวจเช็คความสัตย์ซื่อของพี่ - น้องในเรื่องทศางค์หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องนั้นๆ เป็นต้น ซึ่งโดยส่วนมากแล้วเรายอมให้ศิษยาภิบาลซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของท่าน ได้ทำอย่างนั้นมัย ? คำตอบคือ ไม่ เหตุเพราะเรากลัวว่าเขาจะรู้บาดแผลของเรา น้ำเกลือที่บริสุทธิ์จากพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์จึงเข้าไปรักษาท่านไม่ได้ ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนจึงมีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ เหตุเพราะน้ำหนองในฝ่ายจิตวิญญาณมันยังไม่ได้ถูกบ่งออกนั่นเอง
ซึ่ง มันจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เหตุเพราะพอมีปัญหาบางอย่าง เช่น มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจหรือการเงิน คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าโดยส่วนมาก เขาก็จะพากันไปหาคนที่ช่วยเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ( กทบ.หรือเงิน กองทุนหมู่บ้าน ) หรือเงินโต๊ะ หรือเงินกู้นอกระบบ เสียเป็นร้อยละเท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน ซึ่งเขาจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ไหนก่อนครับพี่ - น้อง ? เขาจะมุ่งเน้นการแก้ไขในฝ่ายร่างกายก่อนฝ่ายจิตวิญญาณ
ที่ สำคัญก็คือว่า ถ้าพี่ - น้องบอกว่าพี่ - น้องเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือเป็นคริสเตียน แต่ถ้าพี่ - น้องได้กระทำในลักษณะเหมือนกับคนที่ไม่ได้เชื่อตามที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อ สักครู่ เราก็ไม่อาจจะเรียกพี่ - น้องคนนั้นว่าเป็นคริสเตียนที่เติบโตในทางพระเจ้าได้
เสียง ร้องที่ชายตาบอดคนนี้ได้ร้องออกมานั้น เป็นสื่อให้เราได้เห็นภาพว่า ถ้าเรานำปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือปัญหาที่เราคิดไม่ออก หรือปัญหาที่เราแก้ไม่ตกแล้วนั้น นำมามอบให้กับพระเยซู ปัญหาที่เรามีอยู่นั้นจะกลายเป็นปัญหาของพระองค์ในทันที เช่น ปัญหาของงานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานา หรือ ปัญหาของแม่ม่ายที่นาอิน หรือปัญหาการเสียชีวิตของลาซารัสและรวมทั้งอีกหลายๆ ปัญหา เป็นต้น
เฉก เช่นเดียวกับชายตาบอดคนนี้ ที่เขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเขาได้ และก็ไม่มีใครที่สามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาของเขาได้ เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงทราบความประสงค์ของชายตาบอด ที่ตัวเองช่วยเหลือตนเองไม่ได้แล้ว จากนี้ปัญหาของเขาเป็นของใครครับ ? เป็นของพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่เราพบได้จากพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 4 เราพบพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่
เมื่อชายตาบอดคนนี้ได้ร้องขอให้พระเยซูรักษาโรคตาบอดให้กับเขา พระองค์ทรงกระทำในทันทีมัยครับพี่ - น้อง ? ถ้าชายตาบอดคนนี้ไปขอรับการรักษาโรคบอดที่โรงพยาบาลจักษุแพทย์ ผมคิดว่าชายคนนี้ต้องรับบัตรคิวก่อนเป็นอันดับแรก และตรวจเช็คความดันเป็นอันดับที่สอง ติดตามด้วยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ขั้นตอนสุดท้ายคือ ถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่เพื่อคอยฟังนางพยาบาลเรียกชื่อ ถูกมั้ยถูกครับพี่ - น้อง
แต่ เมื่อชายตาบอดคนนี้ ได้ร้องขอให้พระเยซูรักษาโรคตาบอดให้กับเขา พระเยซูทรงบอกให้ชายตาบอดคนนี้ไปรับบัตรคิวก่อนมั้ยครับ ตรวจเช็คความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงมั้ยครับ ?
เมื่อชายตาบอดคนนี้ได้ร้องขอให้พระเยซูรักษาโรคตาบอดให้กับเขา พระเยซูทรงรักษาเขาในทันที ไม่รีรอ พระเยซูทรงบอกับชายตาบอดคนนี้ว่า “ ลุกขึ้น ทิ้งผ้าห่มและมาหาพระองค์ ” เพียงเท่านี้พี่ - น้องที่รัก โรคตาบอดของชายตาบอดคนนี้ก็หายในทันที
คำถามคือว่า ทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้าถึงทำในทันทีโดยไม่รีรอ เมื่อผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ ทำให้ผมคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าในยน. 15 : 7 และ มธ. 7 : 7 ให้เราได้เปิดพระคำของพระเจ้าร่วมกัน
ยน. 15 : 7 ได้บอกกับเราว่า“ ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น ” และพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม มธ. 7 :7 “ จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้กับท่าน”
พี่ - น้องที่รักครับ พระวจนะของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ เป็นพระสัญญาที่ชัดเจนมาก
เมื่อ ชายตาบอดคนนี้ได้ร้องขอ ให้พระเยซูรักษาโรคตาบอดให้กับเขา พระองค์ทรงกระทำในทันที มันเป็นภาพที่สื่อให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราซึ่งเป็นผู้เชื่อได้มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์อย่างแท้จริง “ เราจะขอสิ่งใด พระองค์ก็จะทรงกระทำสิ่งนั้นให้กับเราในทันทีด้วยเช่นกัน ”( อาเมน )นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้ว พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ยังสื่อให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่าอีกว่า
*ความคิดของพระองค์นั้นเหนือกว่าความคิดของเรา
*มนุษย์อย่างเราคิดไม่ออกหรอกว่าพระองค์จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
*วิถีของมนุษย์นั้น หาใช่วิถีของพระองค์ไม่ หรือวิถีของพระองค์นั้นเหนือกว่าวิถีของเรา
*พระองค์ทรงกระทำเกินกว่าความคิดของเรา หรือทรงกระทำเกินกว่าที่เราจะเข้าใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ได้
พระวจนะของพระเจ้าใน มธ. 17 : 20 บอกกับเราว่า “ สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้จะไม่มีเลย ” ดังนั้นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคน อย่าคิดว่าพระเจ้านั้นทำไม่ได้ หรืออย่าพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นได้สำหรับพระเจ้า อาเมน
ทั้ง นี้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า พระองค์จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตเราเท่านั้นเอง แต่ถ้าพระองค์ไม่ได้อนุญาต เราจำเป็นที่จะต้องทนทุกข์นั้นต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า พระองค์นั้นไม่ได้รักเรา แต่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะกำลังใช้กรณีของคุณนั้นเป็นสิ่งที่สอนเรา ทั้งหลาย เพื่อให้เรานั้นสามารถที่จะสรรเสริญพระเจ้าได้ เช่น ในกรณีของยายวี ซึ่งพระเจ้าอาจจะมีพระประสงค์ให้แม่วีเป็นอย่างต่อไป แต่มีบทเพลงบทใหม่ที่สามารถแต่งออกมาเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้เป็น 100 เพลง หรือในกรณีของคุณติ๋มที่ จ. บุรีรัมย์ ซึ่งพระเจ้าอาจจะให้คุณติ๋มเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ได้ เพื่อทุกคนจะได้สรรเสริญพระเจ้าได้ว่า คนที่ไม่มีขาทั้งสองข้าง แต่เขาสามารถที่จะปีนขึ้นหรือไต่ขึ้นไปในที่สูงเพื่อพระสร้างนิเวศน์ให้กับ พระเจ้าได้
พี่ - น้องที่รักครับ ปัญหาของผู้เชื่อหรือปัญหาของคริสตเตียนในเวลานี้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะเราขาดพระคัมภีร์ เราจึงไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เหมือนกับผู้เชื่อในสมัยของท่าน มาร์ติน ลูเธอร์ หรือเหมือนกับผู้เชื่อในสมัยก่อนๆ
แต่ ปัญหาของผู้เชื่อหรือปัญหาของคริสเตียนในเวลานี้คือ การปฏิเสธที่จะทำตามพระคำของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก ผู้เชื่อหลายคนจึงไม่ค่อยได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าองค์นี้ ที่จะกระทำผ่านในชีวิตของเราหรือในครอบครัวของเราสักเท่าไหร่ ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนได้ทำตามพระคำของพระเจ้าเหมือนกับชายตาบอดคน นี้ คนที่ตาดีอย่างพี่ - น้องและผมก็จะได้พบกับพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่พระองค์นี้ อาเมนมัย ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน