พระราชอำนาจของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง พระราชอำนาจของพระเจ้า

                                  

เช้าวันนี้เราพบกันซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 2/2/2014 เป็นวันที่รัฐบาลรักษาการณ์ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งขึ้นในวันนี้ ซึ่งก็จะมีพี่น้องประชาชน ซึ่งต่างเป็นคนไทยด้วยกันแบ่งแยกกันออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่จะต้องมีการปฎิรูปก่อน

ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง แต่จะต้องมีการปฎิรูปประเทศไทยก่อนนั้น ให้เหตุผลว่า รัฐบาลนี้ได้หมดความชอบธรรมตั้งแต่ที่พวกเขาได้ออกมาไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐบาลนี้จึงไม่มีอำนาจหรือมีสิทธิอันชอบธรรมในการที่จะสั่งให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งผมเองก็คงจะไม่พาพี่น้องไปไกลกว่านี้แล้ว แต่ผมจะชี้ให้พี่น้องได้เห็นถึงคำพูดคำหนึ่ง ซึ่งได้มีการหยิบขึ้นมาพูดถึงกันเป็นอย่างมากนั่นก็คือคำว่า “อำนาจ”

แต่อำนาจที่ผมจะแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้นั้น ไม่ใช่อำนาจทางการเมืองหรืออำนาจใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นอำนาจอีกอำนาจหนึ่งนั่นก็คือ “อำนาจแห่งการอวยพร”

โดยในเช้าวันนี้ เราจะมาศึกษาอีกทั้งเรียนรู้ด้วยกันว่าโดยแท้จริงแล้ว อำนาจนี้มันมีความสำคัญกับเรามากน้อยแค่ไหน

โดยในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม สดด.133:1-3 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดีและน่าชื่นใจมากสักเท่าใดเหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่านเหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน เหมือนน้ำค้างซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “พระราชอำนาจของพระเจ้า” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบพระราชอำนาจของพระเจ้า

ก่อนที่ผมจะพาพี่น้องไปในประการที่ 1 นี้นะครับ ผมอยากให้พี่น้องได้คิดถึงพระคำของพระเจ้า ตอนที่พระเยซูทรงห้ามพายุ พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า เมื่อพระองค์ทรงตรัสว่าจงเงียบซิ ในทันใดนั้นคลื่นลมกับคลื่นทะเลก็สงบลง แล้วสาวกของพระองค์ก็รู้สึกประหลาดใจแล้วพูดกันว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ใดหนอ

ซึ่งผมอยากให้พี่น้องได้มีอากัปกิริยาเหมือนกับสาวกของพระเยซูในตอนนี้นั่นก็คือได้รู้สึกแต่ไม่ใช้รู้สึกประหลาดใจนะครับแต่อยากให้พี่น้องได้รู้สึกที่จะคิดถึงคำ 2 คำ

คำแรกก็คือคำว่า บังคับ คำที่สอง ก็คือคำว่า บัญชา คำทั้ง 2 คำนี้ ทำให้เราจะต้องคิดสักนิดหนึ่งว่า ผู้ที่จะบังคับใครได้หรือผู้ที่จะออกคำสั่งใครได้นั้น เขาคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจนั้นๆอย่างแท้จริงหรือไม่

พี่น้องคิดว่าคนที่จะบังคับ คนที่จะบัญชาใครได้นั้น เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจนั้นไหมครับ ? พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า สิทธิอำนาจในการบังคับและบัญชาพระพรนั้นเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้า

และองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็ได้ทรงยืนยันในการเป็นเจ้าของพระราชอำนาจนี้อย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่งใน มธ.6:13พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เหตุว่าราชอำนาจและฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์” เอเมน

ดังนั้นการที่พระคำของพระเจ้าใน สดด.133:1-3 ตรัสว่าพระเจ้าจะทรงบังคับบัญชา คำนี้นั่นก็หมายความว่า พระราชอำนาจนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เมื่ออำนาจนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า ไม่มีใครและไม่มีผู้ใด ที่จะสามารถทำลายพระราชอำนาจของพระองค์นี้ไปได้คำว่า สืบๆไปเป็นนิตย์ คำนี้ ทำให้เราทราบว่า พระราชอำนาจของพระเจ้านี้ จะอยู่เคียงคู่กับพระเจ้าต่อเนื่องไปอย่างไม่มีกาลกำหนด

            พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆทั้ง 6 วันโดยพระวาทะของพระองค์นั้น พี่น้องยังพอที่จะจำพระคำของพระเจ้าในหนังสือปฐก.1 กันได้ไหมครับว่า มีวันไหนบ้าง ที่พระองค์ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก และพระองค์ทรงอวยพรการทรงสร้างอะไรมากเป็นพิเศษ

            ปฐก.1:31 พระเจ้าทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างและดูเถิดเป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก

            ปฐก. 1:28 พระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก"

จากพระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงอวยพรวันที่ 6 ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่พระเจ้านั้นได้ทรงทรงสร้างพระฉายาของพระองค์ขึ้นมา และพระพรพิเศษที่พระเจ้าได้มอบให้กับมนุษย์นั่นก็คือให้เขาเป็นผู้ที่ครอบครองในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้เราจึงอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งพระพรของชีวิตมนุษย์

ดังนั้นการที่พี่น้องจะเป็นผู้รับพระพรของพระเจ้าที่ดีได้นั้น พี่น้องจะต้องเข้าใจอย่างนี้จริงๆ พี่น้องจะต้องตระหนักถึงสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วเมื่อสักครู่นี้อยู่เสมอๆว่า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งพระพรของชีวิตมนุษย์ และการที่เราตระหนักอย่างนี้ คิดอย่างนี้ อีกทั้งเข้าใจอย่างนี้ นั่นก็เท่ากับว่าเรายอมรับซึ่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริง

Ex. น้องซินได้เป็นพยานให้กับผมและอ.ดาร์ ได้ฟังว่า มีพี่น้องคริสเตียนคนหนึ่ง ได้ถวายหรือออกค่าเครื่องบินไปออสเตรเลียทั้งขาไปและขากลับให้กับน้องซิน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริงและเราขอบคุณพระเจ้า

แต่ความจริงๆที่เหนือกว่านั่นก็คือ........น้องซินจะต้องตระหนักในทุกๆครั้งและอยู่เสมอๆนั่นก็คือว่า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งพระพรของชีวิตผู้เชื่อทุกๆคน ดังนั้นเบื้องหลังของการถวายนี้มีพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน

            พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน.3:27 ตรัสดังนี้ว่า "มนุษย์จะรับสิ่งใดไม่ได้ นอกจากที่ทรงประทานจากสวรรค์ให้เขา” ซึ่งนั่นหมายความว่า มนุษย์คนใดจะได้รับสิ่งใดนั้น ขึ้นอยู่กับการที่พระเจ้านั้นจะทรงเป็นผู้ประทานให้แก่เขา อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ปราศจากพระเจ้าเมื่อใดเราก็ปราศจากพระพรของพระเจ้าเมื่อนั้น

และการที่พระเจ้าได้อวยพระพรคนนั้นมากคนนี้น้อย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าทรงรักคนนั้นมากกว่าคนนี้นะครับ แต่การที่พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรใครคนใดคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่ง นั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องมีความมั่นใจว่าคนๆนั้นเขาจะสามารถที่จะดูแลและรักษาพระพรที่พระเจ้าได้ทรงประทานมอบให้กับเขาได้

ดังนั้นพี่น้องอย่าได้ก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระเจ้า ด้วยคำพูดในทำนองที่ว่า พระเจ้าทรงรักคนนี้มากกว่าคนนั้น ด้วยเหตุนี้พระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ใน รม.9:14-20 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือกาตะเกียกตะกายของเขาแต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้ทรงสำแดงพระกรุณาเหตุฉะนั้นพระองค์จะทรงพระกรุณาแก่ผู้ใด ก็จะทรงพระกรุณาผู้นั้น และพระองค์จะทรงให้ผู้ใดมีใจแข็งกระด้าง ก็จะทรงให้ผู้นั้นมีใจแข็งกระด้างแล้วท่านก็จะกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระองค์จึงยังทรงติเตียน เพราะว่าผู้ใดจะขัดขืนพระทัยของพระองค์ได้โอ มนุษย์เอ๋ย ดูก่อน ท่านคือผู้ใดเล่าซึ่งท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้ สิ่งซึ่งถูกทำขึ้นแล้วนั้นจะกลับว่าแก่ผู้ทำได้หรือว่า ท่านได้กระทำข้าพเจ้าอย่างนี้ทำไม

กล่าวโดยสรุปก็คือว่า พระองค์ประสงค์ที่จะอวยพรใคร ผู้ใด อย่างไรนั่นเป็นสิทธิของพระองค์ ดังนั้นพี่น้องอย่าได้ก้าวล่วงพระราชาอำนาจของพระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

            ประการที่ 2 เราพบโครงสร้างในการอวยพระพร

            พี่น้องที่รักครับ หนังสือ ปฐก.1 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้านั้นทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการเอาไว้เป็นแบบอย่างให้กับเรา

คำถามคือว่า แบบอย่างอะไร ? และก่อนที่เราจะตอบคำถามนี้ ให้พี่น้องได้ฉุกคิดสักนิดหนึ่งว่า ในการทรงเนรมิตสร้างของพระเจ้าในหกวันนั้น โดยแท้จริงแล้วพระองค์สามารถที่จะเนรมิตสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้เสร็จสรรพในวันเดียวได้ไหมครับ ?

คำถามต่อมาก็คือว่า พระองค์ทำได้แต่ทำไมพระองค์ไม่ทำ ?

สาเหตุที่พระองค์ไม่ทรงเนรมิตสร้างภายในวันเดียว เพราะพระเจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการแบบอย่างที่ดีเอาไว้ให้กับเรา และแบบอย่างที่ดีที่ว่านี้นั่นก็คือ การที่พระองค์ทรงเป็นผู้วางระบบ ระเบียบ วินัย กฎเกณฑ์ การเป็นขั้นเป็นตอน อาจจะกล่าวได้ว่า พระเจ้าผู้ทรงสร้างในทุกสรรพสิ่ง ทรงเป็นผู้วางกฎระเบียบต่างๆให้กับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา

ดังนั้นมนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะทำอะไร มนุษย์ก็จำเป็นจะต้องอยู่ในโครงสร้าง อยู่ในระบบ อยู่ในกฎเกณฑ์ เช่น เป็นคนไทยก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย ไม่ว่าพี่น้องจะทำงานอะไรก็ตามพี่น้องก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหรือข้อบังคับของบริษัทนั้นๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง Church of God ในหลายที่หลายแห่ง ที่ Church ที่มี Std. นั้นยังต้องมีธรรมนูญของคริสตจักรนั้นๆ มาใช้ในการปกครอง เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นภายในคริสตจักรฯ ซึ่งผมเองก็เคยพูดกับพี่น้องแบบที่เล่นที่จริงกับพี่น้องบ้างเป็นบางครั้งว่า “ บ้านก็มีกฎบ้าน วัดก็มีกฎวัด โบสถ์ก็มีกฎโบสถ์ ” ถ้าอยู่โบสถ์แต่ถ้าเอานิสัยที่อยู่ที่บ้านมาใช้มันก็คงอยู่ด้วยกันยาก

ดังนั้นมนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะทำอะไร มนุษย์ก็จำเป็นจะต้องอยู่ในโครงสร้าง อยู่ในระบบ อยู่ในกฎเกณฑ์ และโครงสร้างที่พระเจ้าได้ทรงโปรดออกแบบเอาไว้ในการอวยพรประชากรของพระองค์ก็อยู่ใน สดด.133:2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะ ไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน”

พี่น้องที่รักครับ โครงสร้างที่พระเจ้าได้ทรงโปรดออกแบบเอาไว้ในการอวยพรประชากรของพระองค์นั่นก็คือจากบนลงล่าง , ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ , ผู้ที่อยู่สูงสุด บนสุดอวยพรผู้ที่อยู่ล่างสุด

ในสมัยของพันธสัญญาเดิมนั้น พระเจ้าจะทรงอวยพรประชากรของพระองค์ผ่านผู้รับใช้ที่มีตำแหน่งสูงสุด นั่นก็คือผู้เผยพระวจนะและพระพรนั้นจึงไปถึงประชากรของพระองค์

ในสมัยของพันธสัญญาใหม่ พระคำของพระเจ้าในอฟซ.3:10 , อฟซ. 4 :11 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

อฟซ.3:10 , “ ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครองและศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้ ”

อฟซ.4 :11 “ พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ ”

            พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ บอกกับเราว่าในสมัยของพันธสัญญาใหม่นั้นพระเจ้าจะทำงานผ่านคริสตจักร และถ้าพี่น้องอ่านใน อฟซ.5:23 พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.5:23 ได้บอกกับเราว่าโดยมีพระองค์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร

และในคริสตจักรนั้นพระองค์จะทรงตั้งตัวแทนของพระองค์ ซึ่งได้แก่ อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ และนี่เป็นระบบเป็นโครงสร้างแห่งการอวยพรที่พระเจ้าจะกระทำในภาคพันธสัญญาใหม่นี้ อาจจะกล่าวได้ว่า การอวยพรของพระเจ้าในสมัยพันธสัญญาใหม่นี้ เริ่มจากพระองค์ผ่านไปยังผู้รับใช้ของพระเจ้าแล้วมาถึงสมาชิกทุกคนในคริสตจักร

ดังนั้นถ้าหากพี่น้องต้องการที่จะรับพระพรของพระเจ้า พี่น้องก็จะต้องอยู่ในระบบของพระเจ้าหรืออยู่ในโครงสร้างที่พระองค์ได้ทรงเป็นผู้ออกแบบเอาไว้ สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า หลายครั้งที่พระเจ้านั้นปรารถนาที่จะอวยพรเรา แต่พระพรนั้นกับไม่สามารถมาถึงเราได้ เหตุเพราะอะไรพี่น้องทราบไหมครับ ?

เหตุเพราะพี่น้องเองนั่นแหละ ที่ปฎิเสธที่จะดำรงอยู่ในโครงสร้างของพระเจ้า เช่น มาคริสตจักรแบบนานทีปีหน ผู้รับใช้ ( โดยเฉพาะผู้รับใช้ที่มีการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ) พูด.....เตือน.....ให้คำแนะนำ.....แต่สมาชิกบางคนหรือหลายคนกับไม่สนใจฟัง อันนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย  ซึ่งโดยแท้จริงแล้วการที่ผู้รับใช้เขาพูด เขาเตือน เขาให้คำแนะนำนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของใครครับ ? ของพี่น้องเองนั่นแหละ...แต่เมื่อพี่น้องเลือกที่จะฟังเนื้อหนังของตน เขาทำอะไรได้ไหมครับ ?

            พระคำของพระเจ้าใน มธ.10:40 ตรัสดังนี้ว่า ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา และพระคำของพระเจ้าใน มธ.10:14  ตรัสดังนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้นจงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสียเพื่อแสดงว่าท่านไม่ต้องรับผิดชอบ

พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้บอกกับศิษยาภิบาล บอกกับผู้นำในคริสตจักรทั้งหลายได้เป็นอย่างดีคือ “เขาไม่ใช่ไม่ฟังท่าน แต่เขาไม่ได้ฟัง(เรา)พระเจ้าต่างหาก”

แน่นอนหัวใจของผู้เลี้ยงทุกคนนั้น ถึงแม้ว่าเขาได้พูด เขาได้เตือนพี่น้องไปแล้วและถึงแม้พี่น้องจะไม่ฟังเขาและเขาเองก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ แต่ด้วยความรักของพระเป็นเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของผู้เลี้ยง พี่น้องคิดว่าเขาปล่อยพี่น้องไปเลยตามเลยไหมครับ ? เขายังคงอธิษฐานเผื่อพี่น้องอยู่อย่างสัตย์ซื่อและนี่คือสิ่งที่คนของพระเจ้าโดยส่วนมากทำกับแกะของตน

ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอที่จะหนุนใจพี่น้องนะครับว่า ถ้าพี่น้องมีความปรารถนาที่จะได้รับพระพรของพระเจ้า พี่น้องจะต้องฝึกตัวเอง พาตัวเองที่จะอยู่ในโครงสร้างหรืออยู่ในระบบของพระเจ้าด้วย

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

            ประการที่ 3 เราพบพระพรที่จำเริญขึ้นและไม่มีกาลกำหนด

            พี่น้องที่รักครับ การที่คนๆหนึ่งจะได้รับพระพรของพระเจ้านั้น สำหรับบางคนแล้วนั้นอาจจะยากและสำหรับบางคนนั้นก็อาจจะง่าย แต่จะยากหรือง่ายนั้นคำถามที่น่าคิดนั่นก็คือว่าใครเป็นผู้ตัดสินใจอันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ

พี่น้องที่รักครับ ภายหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงออกแบบโครงสร้างในการอวยพระพรของพระองค์ให้กับมนุษย์แล้ว 1.มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเป็นผู้รับหรือไม่รับ 2.มนุษย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเป็นผู้ที่รับพระพรของพระเจ้ามากหรือน้อย

พระคำของพระเจ้าในยน.14:6 ตรัสดังนี้ว่า พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

            พระเยซูถามว่าคุณต้องการที่จะรับพระพรในการเข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าหรือไม่ ถ้าคุณอยากที่จะได้รับพระพรนี้ คุณต้องมาหาพระองค์ และนี่คือพระราชอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงออกแบบโครงสร้างที่จะให้มนุษย์นั้นได้รับพระพรของพระองค์

แต่ใครเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกรับพระพรนี้ครับ ? มนุษย์...ที่เชื่อด้วยปากและรับด้วยใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นแหละคือผู้ที่ตัดสินใจเลือกที่จะรับพระพรนี้ และนี่เป็นพระพรอย่างแรกที่พระเจ้าได้มอบให้กับมนุษย์ในทันที ภายหลังจากที่คนๆนั้น เขาได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต เราเรียกพระพรนี้ว่า “พระพรแห่งความรอด”

ซึ่งบางคนกว่าจะตัดสินใจรับเชื่อนั้นอาจจะต้องใช้เวลา อาจจะกล่าวได้ว่ากว่าจะได้รับพระพรนี้มาก็ยาก แต่ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องว่า การรักษาพระพรนี้ให้จนถึงวันคืนที่พระคริสต์เสด็จมานั้นยากกว่า พี่น้องว่าจริงไหม ? เพราะบางคนเมื่อเขารับเชื่อพระเยซูแล้ว เขาก็ได้หันหลังไปจากทางของพระเจ้าก็มีเยอะแยะมากมาย ดังนั้นการรักษาพระพรแห่งความรอดนี้ให้จนถึงวันคืนที่พระคริสต์เสด็จมานั้นยากกว่า

เมื่อพี่น้องได้รับพระพรแห่งความรอดนี้แล้ว มันจบแล้วจบเลยไหมครับพี่น้อง ?

พี่น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้เพียงเพื่อให้เรานั้นรับความรอดหรือให้ชีวิตนิรันดรแก่เราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นหนทางแห่งความจำเริญรุ่งเรืองให้กับเราด้วย

ฟลป.4:19 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดตามที่ท่านต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์โดยพระเยซูคริสต์”

ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่เราดำเนินชีวิตติดตามพระองค์ในแต่ละวันนั้น ผู้เชื่อที่ติดตามพระองค์นั้น จะได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่มนุษย์นั้นขาดอยู่ จากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์แต่สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คลังทรัพย์ที่ว่านี้ไม่ใช่ใครๆจะเปิดเข้าไปเองก็ได้....มันไม่ใช่ แต่เราจะต้องให้เจ้าของซึ่งเป็นผู้ที่รู้รหัสเป็นอย่างดีนั้นเป็นผู้เปิด ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ซึ่งเป็นผู้ถือกุญแจแห่งคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองนี้เป็นผู้เปิดให้กับเรา

และวิธีที่เราจะทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงไขกุญแจและเปิดประตูอีกทั้งนำสิ่งที่ดีจากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ออกมา เพื่อนำมามอบให้กับเราอย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละวันและในทุกๆวันพี่น้องคิดว่าเราจะใช้วิธีอะไรกันดีครับ ?

วิธีที่ว่านี้นั่นก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงวางระบบของพระองค์นั้นเอาไว้อย่างไร เราก็เพียงแค่ทำตามระบบนั้นดังนั้นเราไม่ต้องคิด เราไม่ต้องค้นหาวิธีอะไรให้มันยุ่งยากอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า พระคำของพระเจ้าตรัสหรือพูดเอาไว้อย่างไรก็ให้เราได้แสดงออกด้วยการประพฤติหรือปฏิบัติตามพระวจนะนั้น ด้วยความยำเกรงในพระเจ้า

พี่น้องที่รักครับ เมื่อเรายำเกรงในพระเจ้า 1 ) เราจะนินทาว่าร้ายผู้อื่นไหมครับ 2 ) เราจะขโมยในสิ่งของที่เป็นของพระเจ้าไหมครับ 3 ) เราจะถือรักษาวันสะบาโตไหมครับ อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้เชื่อที่มีความยำเกรงในพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น เขาก็จะไม่ทำในสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่มันเป็นการขัดแย้งกับพระวจนะหรือมันเป็นการขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย

เมื่อพระคำของพระเจ้าตรัสหรือพูดเอาไว้อย่างไร และเราแสดงออกด้วยการประพฤติและปฏิบัติตามพระวจนะนั้นในทุกวันและทุกวัน องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะทรงไขกุญแจแห่งฟ้าสวรรค์ อีกทั้งเปิดประตูจากคลังทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ออกมา และจะทรงบังคับบัญชาพระพรอย่างเฉพาะเจาะจงนั้นลงมา เพื่อมาส่งมอบพระพรนั้นให้กับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อในทุกวันและทุกวันด้วยเช่นกัน และนี่คือพระพรของพระเจ้า ที่พระองค์สามารถส่งมอบให้กับพี่น้องได้ในทุกๆวันอย่างไม่มีกาลกำหนด และพระพรนี้จะส่งผลหรือทำให้ชีวิตของพี่น้องนั้น จำเริญขึ้นอย่างไม่มีกาลกำหนดด้วยเช่นเดียวกัน

ยิ่งที่พี่น้องมาเชื่อพระเจ้าด้วยกันทั้งครอบครัว อีกทั้งๆครอบครัวของพี่น้องนั้นต่างแสดงออกด้วยการประพฤติ ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าด้วยความยำเกรงในพระองค์ พี่น้องลองช่วยผมคิดดูทีสิครับว่า ครอบครัวนั้นจะได้รับพระพรของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน

และถ้าพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรทั่วทุกหนและทุกแห่ง ต่างแสดงออกด้วยการประพฤติ ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าด้วยความยำเกรงในพระองค์อย่างแท้จริง พี่น้องลองช่วยผมคิดดูทีสิครับว่า พระเจ้าแห่งการอำนวยพระพรนั้น จะทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์ในแต่ละทีในแต่ละแห่งมากน้อยแค่ไหน

ในปีนี้ผู้ประกอบธุรกิจการค้า ต่างคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันนะครับว่าด้วยปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้ จะส่งผลและทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศนั้นเกิดการชะลอตัวเป็นอย่างมาก ยิ่งรัฐบาลไม่มีวินัยทางการเงิน บวกกับปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่ผู้มีอำนาจต่างสวาปามกันเข้าไปด้วยแล้วอาจจะทำให้ประเทศไทยนั้นล่มสลาย ประเทศไทยของเราอาจจะเป็นเหมือนกับประเทศอาร์เจนติน่า หรือเหมือนกับประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศก็เป็นได้ พี่น้องฟังแล้วรู้สึกน่าเป็นห่วงไหมครับ ?

แต่ในความน่าเป็นห่วงนั้นให้เราขอบคุณพระเจ้า เพราะอะไร ? เพราะเรามีพระเจ้า พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนใน ฉลธ. 28:13และฉลธ. 32:13

ฉลธ.28:13 “ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้และระวังที่จะกระทำตาม พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหางกระทำให้สูงขึ้นทางเดียว มิใช่ให้ต่ำลง”

ฉลธ.32:13 “พระองค์ทรงโปรดเขาให้ขี่ไปบนโลกส่วนสูง ให้เขากินพืชผลที่ได้จากนา พระองค์ทรงให้เขาดูดน้ำผึ้งจากศิลา และให้ดื่มน้ำมันจากหินแข็งกล้า”

พี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าได้พูดถึง “ศิลาหรือหิน” ซึ่งหมายถึงปัญหาไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กหรือจะใหญ่ มาว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม  พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนที่ยำเกรงในพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้น 1) เขาก็ยังจะได้ดื่มน้ำผึ้งและน้ำมันได้ 2) แต่ชีวิตของเขานั้นจะได้อยู่ในที่ๆสูงขึ้นทางเดียว

พูดอย่างง่ายๆก็คือว่าไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตามมันจะไม่เกี่ยวข้องกับเรา พอพี่น้องได้ฟังพระคำของพระเจ้าตอนนี้แล้ว พี่น้องยังรู้สึกเป็นห่วงอีกไหมครับ และนี่คือพระสัญญาของพระเจ้าที่มีมาเหนือสำหรับผู้ที่มีความยำเกรงพระองค์

และการที่ผู้เชื่อมีความยำเกรงในพระเจ้านี้ พี่น้องทราบไหมครับว่า มันยังเป็นดัชนีชี้วัดความเข้มแข็งในฝ่ายจิตวิญญาณในการเป็นผู้เชื่อของคนๆนั้นด้วย

สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า ปัจจุบันมีพี่น้องคริสเตียนหลายคนที่มีความยำเกรงใน 1.มนุษย์ 2.เจ้านาย 3.ผู้บังคับบัญชา มากกว่าที่จะมีความยำเกรงในพระเจ้า

แน่นอนเมื่อมนุษย์คนนั้นเขาอยู่ในตำแหน่งที่สูง เขาก็ย่อมที่จะมีอำนาจตามขอบเขตความรับผิดชอบและหน้าที่ตามตำแหน่งเขาตามไปด้วย เมื่อฉันทภาระของเขาจบอำนาจของเขาก็หมดสิ้น สิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นว่าอำนาจของโลกนี้มันเป็นอำนาจเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

ในขณะที่ตำแหน่งของพระเจ้านั้นมีเพียงตำแหน่งเดียว ไม่มีกาลกำหนดอีกทั้งไม่มีใครหรือผู้ใดที่จะมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ดังนั้นอำนาจของพระองค์นั้นจึงเป็นอำนาจที่ถาวรนิรันดร ดังนั้นขอพระเจ้าเมตตาที่พี่น้องนั้นจะมีความยำเกรงในพระเจ้ามากกว่าที่จะมีความยำเกรงในมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นเจ้านายหรือจะเป็นใครก็ตาม

สรุปพระคำของพระเจ้า

ประการที่ 1 เราพบพระราชอำนาจของพระเจ้า

ประการที่ 2 เราพบโครงสร้างในการอวยพระพร

ประการที่ 3 เราพบพระพรที่จำเริญขึ้นและไม่มีกาลกำหนด

           

           

Green City