คำเทศนาเรื่อง พ่อที่ดีเลิศสำหรับทุกคน
ขอพระคุณความรักและสันติสุข ขององค์พระเยซูคริสต์ดำรงอยู่ท่ามกลางพี่น้องที่รักทุกท่าน ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาส และสิทธิพิเศษที่พระเจ้าหนุนนำให้ผมได้มีโอกาส เดินทางมาแบ่งปันพระคำของพระเจ้าผ่าน ทาง อ.ประยงค์ ให้กับพี่ - น้องได้รับฟังในเช้าวันนี้โดยในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากหนังสือ ปฐก.2:16-18 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่าบรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกินเจ้าจะต้องตายแน่ พระเจ้าตรัสว่า ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้นและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า พ่อที่ดีเลิศสำหรับทุกคน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ หลายสิบปีทีผ่านมานี้ ผมมักจะได้ยินพ่อ - แม่หลายต่อหลายคนพากันพูดตำหนิลูกของตนเองในทำนองที่ว่า ลูกสมัยนี้มันแย่มากๆหรือพากันพูดว่า ลูกสมัยนี้มันไม่รักพ่อรักแม่ ซึ่งถ้าเราได้พิจารณาคำพูดต่างๆเหล่านี้อย่างผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนจะจริง แต่ถ้าเราได้ใคร่ครวญคำพูดต่างๆเมื่อสักครู่นี้อีกครั้งหนึ่งโดยยึดเอาพระคำของพระเจ้าเป็นหลักในการพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเข้าถึงสาเหตุของปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน นี่คือชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง และระบายลมปราณเข้าทางจมูกมนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต และนี่คืออีกชีวิตหนึ่งนั่นก็คือชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนรู้และเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต่างเข้าใจตรงกันเป็นอย่างดี
แต่ถ้าเราจะตีความหมายของพระคัมภีร์ในข้อที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่ก็ดูเหมือนว่าเราอาจจะตีความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้ ในลักษณะที่แคบเกินไปสักนิดหนึ่ง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราจะตีความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้ในลักษณะที่กว้างขึ้นอีกสักหน่อย เราจะตีความหมายแบบนี้ได้ไหมครับว่า ? พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน และนี่คือชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตในฝ่ายเนื้อหนัง และระบายลมปราณ คือความมี ศีลธรรม , คุณธรรม , จริยธรรมและความมีวินัยเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต ซึ่งถ้าเราจะตีความหมายแบบนี้ได้ไหมครับพี่ - น้อง ? นี่เป็นการตีความหมายในลักษณะทางที่กว้างและเป็นการตีความหมายในทางที่สมบูรณ์ของพระคัมภีร์ข้อนี้
ดังนั้นพ่อที่ดีตามแบบอย่างของพระคัมภีร์ที่เราตีความหมายในลักษณะทางกว้างร่วมกันจะต้องประกอบด้วย
1 ) พ่อจะต้องเป็นผู้ที่มีศีลธรรม , คุณธรรม , จริยธรรม อีกทั้งเขาจะต้องเป็นผู้สอนการมีคุณธรรม , และจริยธรรมนั้นให้แก่ลูก
2 ) พ่อจะต้องเป็นผู้ที่ให้ความรักและฝึกการมีวินัยและให้แก่ลูก
3 ) พ่อจะต้องเป็นผู้ที่ให้ชีวิตหรือปัจจัย 4 แก่ลูก
ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่เป็นพ่อทุกคนจะต้องให้การดูแลและเอาใจใส่ แก่ผู้เป็นบุตรของตนทั้งในด้านของฝ่ายร่างกาย จิตใจและในฝ่ายจิตวิญญาณ อย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการให้คุณพ่อทุกคนเอาจริงในเรื่องพวกนี้
ดังนั้นผู้ชายที่เป็นพ่อในโลกใบนี้ทุกคน ไม่ว่าพ่อคนนั้นจะมีความเชื่อหรือนับถือศาสนาอะไรก็ตาม คุณพ่อทุกคนต่างถูกมอบหมายจากพระเป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ๆจะต้องมอบความรัก และรับผิดชอบต่อลูกของตนอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน
และโดยส่วนตัวผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า ถ้าผู้เป็นพ่อทุกคนต่างเลี้ยงดูบุตรของตนตามอย่างน้ำพระทัยของพระเจ้า พระบิดาของเราอย่างแท้จริงแล้ว คำพูดต่างๆที่พ่อ แม่ในปัจจุบันนี้ต่างพากันว่าหรือต่างพากันตำหนิลูกของตนเองอยู่นั้น ผมเชื่อว่าอาจจะค่อยๆหมดไป แต่ถ้ามันยังมีคำพูดต่างๆเหล่านี้อยู่ ในเบื้องต้นผมคิดว่าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องกลับมาย้อนดูที่ตัวของผู้เป็นพ่อหรือผู้เป็นแม่เองก่อนว่า ท่านเองได้เลี้ยงดูลูกนั้นอย่างไร
พระคำของพระเจ้าใน 1ยน. 4:16ได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก
พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อในฝ่ายวิญญาณของเรานั้น เมื่อพระองค์ทรงสร้างหรือทำเราขึ้นมาด้วยความรักเรา และพระองค์ทรงแสดงออกในความรักนี้ผ่านการรับผิดชอบในชีวิตของเราใน 3 ระดับอย่างสมดุลด้วย
ปฐก.2:16 พระเจ้าตรัสว่า บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้เจ้ากินได้ทั้งหมด นี่คือความรักและความรับผิดชอบในฝ่ายร่างกายของพระองค์ ที่มีมาเหนือชีวิตของอาดำและมีมาเหนือชีวิตของเรา
ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่าไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขา นี่คือความรักและความรับผิดชอบในฝ่ายจิตใจของพระองค์ ที่มีมาเหนือชีวิตของอาดำและมีมาเหนือชีวิตของเรา
ปฐก.2:17 พระเจ้าตรัสว่า เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่ นี่คือความรักและความรับผิดชอบในฝ่ายจิตวิญญาณของพระองค์ ที่มีมาเหนือชีวิตของอาดำและมีมาเหนือชีวิตของเรา
พี่ - น้องจะสังเกตได้ว่า พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อในฝ่ายวิญญาณของพวกเราทุกคน พระองค์ได้ทรงตั้งต้นโดยการมอบความรักและรับผิดชอบต่อลูกๆของพระองค์ทั้ง 3 ระดับ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้พ่อในฝ่ายเนื้อหนังได้ดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง และเพื่อเขาจะได้กระทำการรักลูกและรับผิดชอบลูกๆของตน เฉกเช่นเดียวกับพระบิดาในสวรรค์
คำถามก็คือว่า พี่น้องคิดว่าพ่อในฝ่ายเนื้อหนังในโลกใบนี้โดยส่วนมากนั้น เมื่อเขาได้สร้างหรือได้ทำลูกของตนขึ้นมาแล้วนั้น เขาได้มอบความรักและรับผิดชอบลูกๆของเขาอย่างสมดุลใน 3 ระดับที่กล่าวมาแล้วนั้นหรือไม่ ?
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยรักลูกและรับผิดชอบต่อลูกของเขาในระดับต่างๆที่กล่าวมาเมื่อสักครู่ เด็กคนนั้นอาจจะเป็นเด็กที่ไม่สมประกอบหรือเด็กคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ และบางกรณีเด็กอาจจะตายก็ได้
ในสมัยกษัตริย์โรม พระเจ้าเฟดเดอริคที่ 1 พระองค์ทรงสนใจในทางที่ยากต่อการเข้าใจ พระเจ้าเฟดเดอริคที่ 1 สนใจว่าถ้ามนุษย์เราไม่สอนภาษาให้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดเลยนั้นเด็กจะพูดภาษาอะไร ว่าแล้วเขาก็ให้เอาเด็กทารก 50 คนมาทดลองดู โดยให้นางนมเลี้ยงให้อาบน้ำ ให้กินนมได้ แต่ห้ามตบก้น ห้ามกอด ห้ามพูดด้วย
ผลการทดลองปรากฏว่า เมื่อเด็กไม่ได้รับความรักและการดูแลอย่างเพียงพอ เด็กทั้ง 50 คนที่นำมาทดลองนั้นเสียชีวิตทั้งหมด และแพทย์ปัจจุบันก็พบว่า ถ้าเด็กขาดรักเด็กอาจจะจะพิการทางจิตใจหรืออาจจะพิการทางอารมณ์และหรืออาจจะพิการทางร่างกายได้ และทางเดียวเท่านั้นพี่ - น้องที่รักที่จะนำเราทั้งหลายไปสู่การเป็นพ่อที่ดีเลิศได้นั้น นั่นก็คือผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
มก.12:30 และท่านทั้งหลายจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต (วิญญาณ) สุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสุดกำลังของท่าน ซึ่งหมายความว่า การเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าอย่างสุดจิตวิญญาณ สุดใจ และด้วยสุดความคิดและสุดกำลังของท่านนั้น จะเป็นพื้นฐานที่จะนำคนที่เป็นพ่อทั้งหลาย ไปสู่การรักลูกของตัวเองและนำเราทั้งหลายไปสู่การรักคนอื่นๆทั้ง 3 ระดับที่กล่าวมาแล้วได้
แต่ถ้าพี่ - น้องเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่มีคุณพ่อในฝ่ายโลกบางคนที่รักสนุก ได้แต่ทำแต่เลี้ยงท่านไม่เป็น ขาดความรับผิดชอบในการให้ความรักกับพี่ - น้อง อีกทั้งขาดความรับผิดชอบในการที่จะเลี้ยงดูท่านซึ่งเป็นบุตรอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้านต่อท่านในอดีต และถ้าท่านมีพระเจ้าในเช้าวันนี้ ขอให้ท่านรู้เถิดว่า
1 ) พระเจ้าจะเป็นพ่อสำหรับคนที่ขาดพ่อ 2 ) พระเจ้าจะเป็นพ่อที่ดีเลิศให้แก่คนที่ขาดพ่อที่ดี และถ้าพ่อของท่านไม่รักท่าน พระเจ้าของเราคือองค์ที่เรานมัสการอยู่นี้แหละจะรักท่านแทนพ่อของท่านอย่างสุดขั้วหัวใจ (เอเมน)
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเราหรือทำเราขึ้นมา
พระองค์ก็ทรงมอบความรักและมีความรับผิดชอบเราใน 3 ระดับอย่างสมดุล
ระดับที่ 1 คือ ในฝ่ายร่างกายหรือปัจจัย 4
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่ออาดำ เอวาล้มลงในความบาป สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับเขานั่นก็คือ พระองค์ทรงทำเสื้อผ้าด้วยหนังสัตว์ให้กับเขาสวมปกปิดร่างกาย
คำถามคือว่า บรรดาคุณพ่อทั้งหลายได้ให้เสื้อผ้าอาภรณ์ในฝ่ายร่างกายแก่บุตรของตนตามฐานะหรือตามความพยายามของตนมากน้อยแค่ไหน
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อพระเจ้าใช้ให้โมเสสพาชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และเมื่อพวกเขาพูดว่าในทะเลทราย พวกเราจะเอาอะไรดื่มพระเจ้าทรงทำน้ำจากบ่อน้ำขมให้จืด เพื่อที่พวกเขาจะได้ดื่มน้ำนั้น
เมื่อพวกเขาหิวพระเจ้าได้ทรงประทานอาหารพิเศษคือมานา ซึ่งแปลว่า อะไรนะ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือ ขนมผสมน้ำผึ้ง จากฟากฟ้ามาให้กับพวกเขา พี่ - น้องที่รักครับ เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นที่ไหนครับ ? เกิดขึ้นในที่ๆเป็นทะเลทรายถูกต้องไหม ? ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร
แต่พระคำของพระเจ้าได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้ทรงเลี้ยงดูพวกเขาในถิ่นทุรกันดารนับเฉพาะผู้ชายที่มีอายุ 20 ขึ้นไปมีจำนวนสูงถึง 600,000 คน แต่ถ้ารวมทั้งเด็กและสตรีก็ประมาณ 2,000,000 คน และพระองค์ทรงเลี้ยงดูพวกเขาอย่างนี้เป็นเวลานานถึง 40 ปี ต่อเนื่องติดต่อกัน
คำถามคือว่า บรรดาคุณพ่อทั้งหลาย ได้ให้อาหารในฝ่ายร่างกายแก่บุตรของตนตามฐานะและตามความพยายามของตนมากน้อยแค่ไหน
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อเปโตรกับพวกสาวกของเขาออกไปหาปลาแต่ไม่ได้กลับมาสักตัว เมื่อพระเยซูบอกกับเปโตรว่า ให้เปโตรทอดอวนไปทางขวา พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาได้ปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อคนที่มาหาพระเยซูคริสต์หิวอาหารและในเวลานั้นก็ไม่มีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงอาหารให้กับคนเหล่านั้นได้ พระองค์ทรงหักขนมปังและโมทนาขอบคุณพระเจ้าพร้อมปลาปรากฏว่าสามารถเลี้ยงคนได้ถึง 5,000 คน
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ครั้งแรกที่หมู่บ้านคานา ให้กับคู่บ่าวสาวคู่หนึ่ง เหตุเพราะเหล้าองุ่นหมด พระองค์ทรงช่วยให้มีเหล้าองุ่นและทรงทำให้คุณภาพของเหล้าองุ่นนั้นดีขึ้น
คำถามคือว่า บรรดาคุณพ่อได้ดูแลและห่วงใยหรือได้เอาใจใส่ต่อบุตรตามฐานะและตามความพยายามของตนมากน้อยแค่ไหน
พี่ - น้องที่รักครับ จากสิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมานั้นชี้ให้เห็นว่า ในความรักของพ่อที่ดีนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความรักและความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูฝ่ายร่างกายบุตรของตนตามฐานะของตนด้วย
1ทมธ.5:8 ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์วานญาติของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้วและชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก
คำถามก็คือว่า บรรดาผู้ที่เป็นพ่อทั้งหลาย ที่ได้สร้างหรือได้ทำลูกของตน ให้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ เขาได้มีความรักลูกและมีความรับผิดชอบ โดยการเลี้ยงดูบุตรตามฐานะของตนมากน้อยแค่ไหน หรือ
1)ปล่อยให้ลูกของท่านได้กินแบบอดๆ อยากๆ
2)ปล่อยให้ลูกของท่านต้องอด 2 มื้อกิน 1 มื้อ
3)ปล่อยให้ลูกของท่านต้องกินแบบอดอยากปากแห้ง แต่ปากของท่านยังคาบบุหรี่อยู่ที่นิ้วอยู่ตลอดเวลา
4)ให้เงินไปและปล่อยให้ลูกของท่านไปหากินเอาเองแบบบุฟเฟ่ต์ และท่านก็ได้ปล่อยให้ลูกของท่านเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
5)ให้เงินไปและอ้างคำพูดที่เป็นสูตรสำเร็จว่า รักลูก ลูกอยากได้อะไรพ่อก็หาให้ซื้อให้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การรักลูกเพียงมิติเดียว ด้านเดียวหรืออย่างไม่สมดุลนั้น นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า
พี่ - น้องที่รักครับ ก่อนหน้าที่พี่ - น้องจะมารู้จักกับพระเจ้า ท่านอาจจะเป็นพ่อที่เพียงรักสนุก เป็นพ่อที่ทำได้แต่เลี้ยงไม่เป็น เป็นพ่อที่ขาดความรับผิดชอบ และผู้ชายหรือพ่อแบบพรรค์แบบนี้แหละที่มีอยู่ดาษดื่นมากมายในสังคมไทย แต่เมื่อท่านได้มีโอกาสรู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ขอให้ท่านได้เป็นพ่อที่ดีเลิศ ตามแบบอย่างที่พระคริสต์ได้ทรงวางแบบอย่างไว้ให้กับพ่อทั้งหลาย
ยน.8:34 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าบาปนั้นก็คือบาป ซึ่งนั่นหมายความว่า ผิดก็คือผิด แต่ถ้าผิดแล้วไม่รับผิด ถ้าผิดแล้วไม่แก้ไขในสิ่งผิด นั่นคือสุดยอดแห่งการกระทำความผิดบาปดังนั้นอย่าให้ท่านผู้เป็นพ่อทั้งหลาย ได้ปล่อยสิ่งที่ผิดพลาดนั้นผ่านไปแต่ให้ท่านได้เริ่มแก้ไขใหม่ตั้งแต่วันนี้
พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเราหรือทำเราขึ้นมา
พระองค์ก็ทรงมอบความรักและทรงรับผิดชอบเราใน 3 ระดับอย่างสมดุล
ระดับที่ 2 คือ ในฝ่ายจิตใจ
อฟซ.6:4ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
สภษ.22:6จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไปและเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น
พี่ - น้องที่รักครับ ในการเป็นพ่อที่ดีนั้นเขาจะต้องมีความรัก อีกทั้งเขาจะต้องมีเป้าหมายในการปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจให้กับลูกของตน ทั้งในด้านศีลธรรม , คุณธรรม , จริยธรรม พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อในฝ่ายวิญญาณของเราเองก็เช่นกัน
พระองค์พยายามที่จะปลูกฝังในสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ให้กับผู้ที่เป็นบุตรของพระองค์ทุกคน และได้ตั้งต้นกระทำสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมาก็เพื่อที่พ่อฝ่ายโลก ทั้งหลายจะได้ยึดถือเอาไว้
อพยพ 3:17 ทำให้เราทราบว่า แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลนั้นเป็นเป้าหมายที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับชนชาติอิสราเอลเมื่อไปถึง
ถ้าเราอ่านพระคำของพระเจ้าอย่างใคร่ครวญ เราก็จะพบว่าในระหว่างการเดินทางนั้น พระเจ้าได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจ นั่นก็คือ ศีลธรรม จริยธรรม 10 ประการ ให้กับชนชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส ซึ่งเราเรียกว่า ธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ นั่นก็คือ
เจ้าจะต้องมีพระเจ้าเดียว เจ้าจะต้องไม่นมัสการรูปเคารพ เจ้าจะต้องนมัสการพระเจ้าในวันสะบาโต เจ้าจะต้องต้องให้เกียรติแก่บิดา มารดาของตน เจ้าจะต้องไม่ล่วงประเวณีผัวเมียเขา หรืออย่าละเมิดอธิปไตยร่างกายผู้อื่นที่ไม่ใช่ผัวเมียเรา
เจ้าจะต้องไม่ขโมยทรัพย์สินของเพื่อนบ้าน เจ้าจะต้องไม่ฆ่าคนเพราะชีวิตเป็นของพระเจ้าและข้ออื่นๆอีกหลายข้อ นี่คือการปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจ ให้กับลูกของพระองค์ในสมัยของพระคัมภีร์เดิม
ในสมัยของพระคัมภีร์ใหม่ เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ก็ทรงมีเป้าหมายในการปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจให้กับชาวยิว เช่น ความสัตย์ซื่อในการเฝ้าเดี่ยวต่อพระบิดา ความสัตย์ซื่อต่อการรักษากฎหมายในการจ่ายภาษี (โดยเอาเงินออกจากปลาของปลา) และอื่นๆอีกมากมาย เป็นต้น
กลับมาดูในยุคของเรา สมัยของเรา 80 กว่าปีที่ผ่านมาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพ่อของแผ่นดินหรือเป็นพ่อของคนไทยทั้งประเทศ ได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะดูแลลูกๆของพระองค์โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจให้กับคนไทยทั้งชาติ ผ่านพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านในวาระโอกาสต่างๆที่พระองค์ท่านได้ออกมากล่าว ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องทรัพยากรน้ำ เรื่องที่ดินทำกิน เรื่องความสามัคคีของคนในชาติ และอีกหลายๆเรื่องเป็นต้น
พี่ - น้องที่รักครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านไม่ใช่เพียงแค่ออกมาตรัสหรือออกมาพูดเฉยๆกับเรา เหมือนพวกนักการเมืองในบ้านเรา นะครับ แต่พระองค์ท่านทรงยอมที่จะปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจนี้ ด้วยการทำเป็นแบบอย่างๆสม่ำเสมอ
พี่ - น้องคิดว่า มีกษัตริย์พระองค์ใดบ้างในโลกนี้ ที่ปลูกนาข้าวหรือมีคอกปศุสัตว์ไว้ในพระราชวัง ? มีพระองค์ท่านเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นในโลก
ดังนั้นพ่อที่ดีจะต้องมีความรัก และจะต้องมีเป้าหมายในการปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจที่ดีทั้งในด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมให้กับลูกของตน รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกได้แลเห็น และเมื่อลูกได้แลเห็นแบบอย่างที่ดีจากผู้ที่เป็นพ่อ - เป็นแม่ เขาก็จะเรียนรู้ค่านิยมต่างๆเหล่านี้จากสิ่งที่เขาได้เห็น เช่น
ถ้าเกี่ยวข้องกับคำพูด พ่อจะต้องพูดจริงหรือเป็นคนที่รักษาสัญญา
ถ้าเกี่ยวข้องกับความนับถือ พ่อจะต้องให้เกียรติแก่บิดา - มารดาและผู้อื่น
ถ้าเกี่ยวข้องกับสิทธิ พ่อจะต้องเคารพสิทธิในร่างกายหรือทรัพย์สินของผู้อื่น
ถ้าเกี่ยวข้องกับความเคารพ พ่อจะต้องเคารพกฎจราจรหรือเคารพกฎหมายบ้านเมือง
ถ้าเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในงาน พ่อจะต้องไม่เอาของหลวงมาใช้โดยส่วนตัวหรือเซ็นต์ชื่อแล้วกลับบ้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นการสำแดงชีวิตที่มีหลักให้ลูกเห็น
ดังนั้นการปลูกฝังค่านิยมทางจิตใจ ทางศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ให้กับลูกของตนนั้น พ่อจะต้องเป็นหลัก ส่วนครูรวีนั้นเป็นรอง โดยเริ่มต้นจากที่บ้าน แต่เวลานี้เรากับทำตรงกันข้ามกับพระคำของพระเจ้านั่นก็คือ ให้แม่นั้นเป็นหลัก ให้ครูรวีเป็นรอง ส่วนพ่อนั้นรองก็ไม่เอา กูจะเอาแต่สบายลูกเดียว ด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่มีคริสตจักรแห่งหนึ่งเขียนคำพูดที่ว่าเสียกันที่บ้าน แต่เอามาแก้ไขกันที่โบสถ์
คำว่า เสียกันที่บ้าน ในที่นี้ก็คือ เสียนิสัยหรือนิสัยเสีย หรือเสียคน
คำว่า ส่วนเอามาแก้ไขกันที่โบสถ์ นั่นก็คือ เอามาให้โบสถ์ดัดนิสัยหรือดัดสันดานนั่นเอง ซึ่งบางคนนั้น โบสถ์ก็ดัดได้ แก้ไขได้ ส่วนบางคนและหลายๆคนนั้น โบสถ์ก็ดัดไม่ได้และแก้ไขไม่ได้
ดังนั้นถ้าพ่อ - แม่ท่านใด ไม่อยากให้ลูกของตนต้องเสียคน ท่านจะต้องปลูกฝังค่านิยมทางคุณธรรม จริยธรรมทางศาสนาให้กับลูก เช่น พระเจ้าทรงสร้างเรามาทำไม ชีวิตมีค่าเพียงใด อะไรถูกอะไรผิด เพื่อที่เขาจะเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีและไม่ก้าวร้าว เพื่อที่เขาจะยึดแบบอย่างและนำไปสร้างครอบครัวใหม่ได้อย่างมีความสุข
แน่นอนบางที่ลูกของท่านโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เขาก็อาจจะเลือกวิธีของเขาด้วยเหตุผลต่างๆซึ่งอาจจะไม่ใช่วิถีของเรา แต่การปลูกฝังค่านิยมทางศีลธรรม จริยธรรมและการมีจิตใจที่ดี ที่ท่านได้เริ่มต้นให้กับเขาในวัยเด็กมันจะช่วยเขาอย่างแน่นอน
คำถามก็คือว่า
บรรดาผู้ที่เป็นพ่อทั้งหลายที่ได้สร้างหรือได้ทำลูกของตน ให้ลืมตาขึ้นมาดูลูกใบนี้ เขาได้มีความรักลูกและมีความรับผิดชอบโดยมีเป้าหมายในการปลูกฝังค่านิยมที่ดีทางศีลธรรม จริยธรรมเพื่อที่จะให้เขาเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเป็นคริสเตียนต้องพูดว่า คุณได้มีเป้าหมายในการปลูกฝังค่านิยม ในทางของพระเจ้าให้กับลูกของคุณมากน้อยแค่ไหน
ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านี้ก็คือว่า เวลานี้พ่อแม่โดยส่วนมากได้ติดกับดักของสังคม โดยปลูกฝังค่านิยมทางวัตถุและการมีทรัพย์สินเงินทองให้กับลูก ลูกจึงเห็นแบบอย่างว่าเงินนั้นเป็นพระเจ้า
พระคำของพระเจ้าในหนังสือ กท.6:7 ตรัสดังนี้ว่า อย่าหลงเลยท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลงก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อเราหว่านอะไรลงไปสิ่งนั้นก็จะบาน เวลานี้สถาบันครอบครัวและสังคมไทยมันเสื่อมทรามลง เหตุเพราะพ่อ - แม่ในสังคมไทย ได้หว่านค่านิยมที่ผิดๆให้กับผู้ที่เป็นบุตรของตน
ดังนั้นเมื่อลูกเติบโตขึ้นเขาจึง เห็นงาน เห็นเงิน เห็นความสำเร็จ ที่เขาจะได้รับนั้นสำคัญมากกว่าพ่อ-แม่ เหตุเพราะบิดาไม่ได้สอน ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมให้กับบุตรอย่างเอาจริงเอาจัง คุณค่าต่างๆเหล่านี้จึงได้จางหายไปและจะสูญไป
ดังนั้นคุณพ่อทั้งหลายจะต้องช่วยกัน โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังคุณค่า ทางศีลธรรม จริยธรรมต่างๆเหล่านี้ให้กับบุตรของตน อย่างน้อยให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ดำรงอยู่ภายในครอบครัวของตนก็ยังดี ( เอเมน )
พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเราหรือทำเราขึ้นมา
พระองค์ก็ทรงมอบความรักและความรับผิดชอบใน 3 ระดับอย่างสมดุล
ระดับที่ 3 คือ ในฝ่ายจิตวิญญาณ ฮบ.12b:5-11 บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าละเลยต่อการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าและอย่าท้อถอยในเมื่อพระองค์ทรงตีสอนนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะ เพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตรแต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ อีกประการหนึ่งเราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเราและเราก็นับถือบิดานั้น
ยิ่งกว่านั้นอีกเราควรจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณและมีชีวิตจำเริญมิใช่หรือ เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์ เมื่อมีการตีสอนนั้น ดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญ แก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือ ความชอบธรรมนั้นอง
พระคำของพระเจ้าใน อพยพ4:16-17 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมและแต่งตั้งโมเสสให้เป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ แต่ระหว่างการเดินทางออกจากประเทศอียิปต์ พวกเขาก็ได้ต่อว่าผู้นำของเขาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องของอาหารและน้ำ
พี่ - น้องที่รักครับ การที่พวกเขาเป็นคนชอบต่อว่า การที่พวกเขาเป็นคนชอบขี้บ่นนี่เอง จึงทำให้จิตวิญญาณของชนชาติอิสราเอลนั้นเริ่มตกต่ำ จิตใจของพวกเขาเริ่มที่จะออกนอกทางของพระเจ้าจึงทำให้พวกเขาได้รับการตีสอนจากพระเจ้า
ดังนั้นพวกชนชาติอิสราเอล จึงต้องเดินทางไกลในทะเลทรายนานถึง 40 ปี พร้อมๆกับการที่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก ต้องเผชิญกับความหิวโหย และรวมถึงการที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ และต้องกินแต่มานาเป็นอาหารทุกวัน ชนชาติอิสราเอลในเวลานั้นจะรอดชีวิต และไปถึงดินแดนแห่งพันธสัญญา ที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับพวกเขาตั้งแต่แรกได้นั่นก็คือ เขาจะต้องฝึกตัวเองให้มีวินัยและอยู่ในวินัย เขาจะต้องฝึกรับค่านิยมหรือพระสัญญาของพระเจ้า โดยอย่างแรกที่เขาจะต้องฝึกนั่นก็คือ เขาจะต้องไม่บ่นและรวมทั้งเขาจะต้องฝึกในด้านอื่นๆควบคู่กันไปด้วย
1ยน.4:16 พระเจ้าทรงเป็นความรัก แต่รักอย่างเดียวก็ทำให้เสียคนได้พี่ - น้องว่าจริงไหม
พ่อ - แม่หลายคนมีลูกคนเดียวหรือรักลูกคนเล็กเป็นพิเศษ จึงรักลูกแบบ Super Love คือ รักแบบสุดยอด หมายความว่า รักมาก ถนอมมาก ทั้งหวงและห่วงมาก แบบไข่ในหิน ใครแตะต้องไม่ได้ ว่าไม่ได้
ลูกบางคน จึงได้เรียกร้องความสนใจต่อพ่อ - แม่อยู่ตลอดเวลา ลูกบังเกิดเกล้าบางคนจึงเรียกร้องความสนใจกับพ่อ - แม่ โดยการคิดจะทำชั่วก็มี ถ้าลูกคนนั้นเป็นผู้ชายและอยู่ในวัยเรียน ก็จะบอกว่า ไม่เรียน จะเล่น จะไปเป็นโจร ปรากฏว่าไปเป็นโจร ก็ดันปรากฏว่า ไปเป็นโจรสามสลึง ถูกจับติดคุกให้พ่อแม่ต้องอับอายอีกต่างหาก หรือไปเป็นหนี้สินให้พ่อ - แม่ตามล้างตามเช็ดก็มี พี่ - น้องว่ามีไหมลูกแบบนี้ ?
พ่อ - แม่บางคนรักลูกแบบผิดๆ คือ รักแบบเกินความพอดี ไอ้นู้นก็ไม่ให้ทำ ไอ้นี่ก็ไม่ให้ทำ ลูกจึงทำเป็นอย่างเดียว นั่นก็คือ นั่งเป็นสาวกระโปงเหี่ยน ซึ่งอาจจะทำให้ลูกเสียคนหรือมีปัญหาครอบครัวได้ในอนาคต
สภษ.13:24 บุคคลที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตนแต่ผู้ที่รักเขาพยายามตีสอนเขาบุคคลที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน ซึ่งหมายความว่า พ่อ - แม่ที่ไม่ยอมฝึกลูก อาจเกลียดลูกอยู่ลึกๆในใจก็ได้ แต่ผู้ที่รักเขาพยายามตีสอนเขา
รม.14:19 พระคัมภีร์สอนว่า จะก่อให้เกิดความเจริญต่อกันและกัน
สภษ.29:15 ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้ตามลำพัง จะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน
ดังนั้นผู้ที่เป็นพ่อแม่ทั้งหลายถ้าเห็นว่าลูกของตนเองจิตวิญญาณของเขา กำลังตกต่ำ ถ้าเห็นว่าลูกของตนเองกำลังจะออกนอกทางของพระเจ้า ต้องตีและสอน
สอนอะไร ? สอนพระวจนะของพระเจ้าให้กับเขา ตั้งแต่ตอนที่เขายังอ่อนหัดหรือเป็นเด็ก และชี้ให้เขาเห็นทางแห่งพระพรมาสู่ตน แต่เมื่อเขาเติบใหญ่แล้ว คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ฟังให้ดีๆน๊ะครับ พ่อ - แม่จะใช้ไม้เรียวกับเขาไม่ได้แล้วนะครับ
สมัยตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมได้ยินคนที่พ่อ เป็นแม่เขาคุยกัน เขาคุยกันว่าอย่างนี้ครับ ลูกตอนที่มันเป็นเด็ก ตีเถอะมันไม่ตายหรอก แต่ถ้าไม่ตีมันอาจจะถูกคนอื่นเหยียบตายก็ได้
เมื่อเขาเติบใหญ่แล้วต้องพูดคุยกับเขา เมื่อเขาไม่กระทำตาม พ่อ - แม่ต้องคอยพูดให้สติและอธิษฐานเผื่อเขา และให้ท่านฝากเขาเอาไว้กับพระเจ้า ถ้าเขามีใจกบฏ ดื้อดึง หัวแข็ง ไม่ยอมเชื่อฟังท่านไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าจะตีสอนลูกของท่านเอง และพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อในฝ่ายวิญญาณของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ก็ได้ทรงสำแดงความรักต่อลูกๆของพระองค์ด้วยวิธีการอย่างนี้มากว่า 3 ,000 กว่าปีแล้ว
พ่อที่ให้ความรักแก่ลูกอย่างเหมาะสม เป็นการสร้างบรรยากาศในบ้านให้ลูกเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม
พ่อที่ให้ความสนใจลูก ฟังลูก ชมลูก หนุนใจลูก อนุญาตให้ลูกถามได้เสมอ เป็นวิธีการฝึกลูกให้ทำดีไปเรื่อยๆ
คำถามก็คือว่า บรรดาผู้ที่เป็นพ่อทั้งหลาย ที่ได้สร้างหรือได้ทำลูกของตนขึ้นมาในโลกใบนี้แล้วนั้น เขาได้มีความรักมีความรับผิดชอบโดยมีเป้าหมายในการใช้ไม้เรียวที่จะตีสอนบุตรของตนอย่างมีเหตุมีผล หรือเพื่อก่อให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน โดยที่ไม่ใช้อารมณ์นั้นมีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าพ่อ - แม่ซึ่งเป็นผู้ปกครองบุตรโดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อ ถ้าท่านได้ฝึกฝนลูกของท่านทั้งทั้งในฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณอย่างสัตย์ซื่อ พระคำของพระเจ้าในหนังสือ สภษ.22:6 สอนเราว่า และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่เขาจะไม่พรากจากทางนั้น แปลความว่า ความพยายามของผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่นั้นจะไม่สูญเปล่า ดังนั้นผู้เป็นบิดา มารดา จะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบในการชี้ทางให้กับลูกไปสู่ทางของพระเจ้า อาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับผู้เป็นบิดาทุกคน