พิชิตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

   คำเทศนาเรื่อง พิชิตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

                                  

อัญเชิญพระวจนะจาก ลก. 6 : 6 - 11 และข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจ ในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 10

พี่ - น้องที่รักครับ เรื่องของชายมือลีบ ที่มาขอให้พระเยซูช่วยรักษานี้ นอกจากจะบันทึกไว้ในหนังสือลูกาแล้ว ยังได้ถูกบันทึกไว้ในพระธรรมเล่มไหนอีกครับ ? ในพระกิตติคุณอีก 2 เล่มด้วยกัน นั่นก็คือ มัทธิวและมาระโก แต่ผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ ในหนังสือลูกา ซึ่งมีอาชีพเป็นนายแพทย์หรือเป็นหมอ ได้สังเกตว่า มือของผู้ชายที่มือลีบคนนี้ เป็นมือข้างขวา ซึ่งเป็นพระธรรมเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ที่ได้มีการบันทึกไว้อย่างนั้น

สิ่งที่ผมต้องการจะบอกกับพี่ - น้องนั่นก็คือ ในการอ่านพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 4 เล่มนั้น ถ้าเป็นไปได้ เราควรจะอ่านประกอบกัน ทั้ง 4 เล่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปรียบเทียบข้อมูล และหารายละเอียดที่ผู้เขียนบางคนได้ให้ไว้ และบางคนอาจจะไม่ได้ให้ไว้

จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่า ในที่ประชุมเช้าของวันสะบาโตวันหนึ่ง นอกจากจะมีคนมือลีบแล้ว และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้เข้ามาร่วมประชุมในวันสะบาโตนั้นด้วย และคนกลุ่มที่ว่านี้ นั่นก็คือ พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์

ลก. 6 : 7 บันทึกว่า “ ฝ่ายธรรมาจารย์และฟาริสี คอยดูพระองค์ว่า พระองค์จะรักษาโรควันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ ”

ลก. 6 :7 ทำให้เราทราบว่า พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ซึ่งตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์นั้น ได้เข้ามาในธรรมศาลา ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือ มาโบสถ์หรือมาคริสตจักรในวันสะบาโต พระคำของพระเจ้าใน ลก. 6 : 7 พูดอย่างชัดเจน ทำให้เราทราบถึงท่าทีหรือพฤติกรรมของ พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์ว่า พวกเขานั้นมาธรรมศาลาก็จริง แต่ไม่ใช่มาเพื่อที่จะนมัสการพระเจ้าที่พระวิหาร เขามาเพื่ออะไรครับพี่ - น้อง ?

เขามาเพื่อที่จับผิดพระเยซู ว่าพระเยซูนั้นจะทำผิดอะไรบ้าง เช่น พระองค์จะทำงานในวันสะบาโตหรือไม่

เฉกเช่นเดียวกันกับในเวลานี้ ที่มีผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่มาโบสถ์หรือมาคริสตจักร ในวันอาทิตย์ แต่ท่าทีหรือพฤติกรรมและการแสดงออก ของผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคนนั้น ไม่ใช่มาเพื่อที่จะมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรอย่างแท้จริง

พี่ - น้องคิดว่า ผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคนเหล่านี้ มาเพื่ออะไรครับ ? เป็นไปได้มั้ยครับที่

1 ) บางคนมาเพราะเป็นหน้าที่ๆ จะต้องมา 2 ) บางคนมา เพื่อจะได้เจอหน้าคนที่รักหรือแฟนของฉัน 3 ) บางคนมาเพื่อที่จะขอรับการสงเคราะห์ช่วยเหลือ 4 ) บางคนมาเพื่อที่จะได้ทานอาหารฟรีที่คริสตจักรฯ 5 ) บางคนมาเพื่อที่จะดูความผิดพลาดของคนอื่นหรือดูว่าคนอื่นนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร เป็นไปได้มั้ยครับ

1 คร. 11 : 28 “ ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเองแล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ”

พระคัมภีร์สอนว่า การมาโบสถ์หรือมาคริสตจักรในแต่ละสัปดาห์นั้น ให้เรามาเพื่อสำรวจตัวเอง มองดูตัวเองหรือพิจารณาตัวเองดังนั้นอย่าให้เราเป็นเหมือนกับพวกฟาริสีหรือเป็นเหมือนกับพวกธรรมาจารย์ ( ให้บอกกับข้างซ้าย ข้างขวา )

พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์นั้น เขามาที่ธรรมศาลาก็จริง แต่ไม่ใช่มาเพื่อที่จะมานมัสการพระเจ้า แต่เขามาเพื่อหาเรื่องที่จะจับผิดพระเยซู ว่าพระเยซูนั้นจะทำผิดกฎอะไรบ้างและจะหาเหตุฟ้องเอาผิดกับพระเยซู

โดยแท้จริงแล้ว กฎระเบียบ - ข้อบังคับต่างๆ ของชาวยิวที่เกี่ยวกับหมวดของวันสะบาโต ในเวลานั้นมีทั้งสิ้น 39 ข้อและทั้ง 39 ข้อนี้ ก็ถูกร่างขึ้นโดยพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละข้อนั้น จะบ่งชี้ให้เห็นว่า ในวันสะบาโตนั้น ชาวยิวจะทำอะไรได้บ้างและไม่สามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น

ลก. 6 : 1 - 5 บ่งชี้ให้เห็นว่า ชาวยิวจะเด็ดรวงข้าวกินในวันสะบาโต ได้มั้ยครับ ? ไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ชาวยิวถือว่าการทำอย่างนั้น เป็นการทำงานในวันสะบาโต ซึ่งจะต้องได้รับโทษ

ลก. 6 : 7 บ่งชี้ให้เห็นว่า การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้น ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ชาวยิวถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นการทำงาน

ดังนั้น พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ เขาจึงไม่สนใจใยดีและไม่มีความเมตตาสงสาร ว่าคนมือลีบคนนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะหายหรือไม่หาย จะเป็นทุกข์ต่อไปมากน้อยแค่ไหน พวกเขาไม่สนใจทั้งสิ้น

สิ่งที่พวกเขาสนใจนั่นก็คือ เขาจ้องจะหาข้อที่ผิดพลาดของพระเยซูและคนในธรรมศาลาเท่านั้น เสมือนหนึ่งว่าการได้มาจับผิดองค์พระเยซู และพี่ - น้องชาวยิวในธรรมศาลานั้นเป็นหน้าที่ๆ สำคัญอย่างหนึ่งของพวกเขา

พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ แม้ว่าจะเป็นคนที่ชอบอยู่ในธรรมศาลา และมาธรรมศาลาทุกๆอาทิตย์และในหลายๆครั้งที่พวกเขาเหล่านี้ได้อยู่ใกล้ๆกับพระเยซูแต่ท่าทีพฤติกรรม และการแสดงออกของพวกเขา ดูเหมือนว่าช่างอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเสียจริงๆ

เพราะอะไรครับพี่ - น้อง ? เพราะเขาสนใจกฎระเบียบ ที่พวกเขาเขียนขึ้นมามากเกินไป

พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ จึงกลายเป็นคนแปลกหน้าหรือคนหน้าแปลกของพระเจ้า

เฉกเช่นเดียวกับผู้เชื่อหรือคริสเตียนหลายคน ที่มาคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ และในหลายๆ ครั้ง ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้เข้ามาใกล้ชิดกับเขา และต้องการที่แตะต้องสัมผัสเขา แต่ท่าที พฤติกรรมและการแสดงออกของผู้เชื่อเหล่านี้ ดูเหมือนว่าช่างอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเสียจริงๆ

เพราะอะไร ? เพราะผู้เชื่อหรือคริสเตียนเหล่านี้ เขาสนใจวิธีการนมัการของตนเอง มากกว่าวิธีการของพระเจ้า ของจึงมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเหล่านี้จึงกลายเป็นคนแปลกหน้าหรือคนหน้าแปลกๆ สำหรับพระเจ้า

มีพี่ - น้องของเราคนหนึ่ง เคยมาร่วมประชุมกับเราที่คริสตจักร เขามีคำถามว่าทำไมคริสตจักรแห่งนี้จึงนมัการแบบนี้ และทำไมไม่นมัสการแบบนี้ แล้วทำไมจบการเทศนาแล้ว อ. ก้อง จะต้องเรียกพี่ - น้องออกมารับการอธิษฐาน และทำไมพี่ - น้องจะต้องล้มด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าต้องการที่จะเข้ามาใกล้ชิดกับเขา ต้องการที่จะสัมผัสเขาเป็นการส่วนตัว เหมือนกับชายมือลีบคนนี้ แต่เมื่อเขาสนใจวิธีการนมัสการของตนเองมากกว่าวิธีของพระเจ้า เขาจึงกลายเป็นคนแปลกหน้าหรือหน้าแปลกสำหรับพระเจ้าไปในบัดดล ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า อย่าเป็นคนหน้าแปลกสำหรับพระเจ้า ( อาเมน )

ในข้อที่ 8 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ พระเยซูทรงทราบความคิดของคนพวกนี้ พระเยซูจึงเอาความคิดนี้มาพูดในที่ประชุมในข้อที่ 9 ว่า ในวันสะบาโต เราควรทำการดี หรือการร้าย ควรจะช่วยดีหรือควรจะผลาญชีวิตดี

การที่พระเยซูทรงใช้คำถามอย่างนี้พี่ - น้องคิดอย่างไรครับ ? รู้สึกทิ่มแทงหัวใจ เสียหน้า

พี่ - น้องที่รักครับ พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงถ่อมและอ่อนสุภาพ การที่พระเยซูทรงใช้คำถามอย่างนี้ ไม่ใช่ต้องการที่จะทิ่มแทงหัวใจของคนพวกนี้ หรือทำให้คนพวกนี้ต้องเสียหน้า แต่การที่พระเยซูทรงตรัสเช่นนี้

ลก. 2 : 27 “ วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต”

วันสะบาโตนั้น ถูกสร้างขึ้นมา

เพื่อให้มนุษย์นั้น ได้รับการบำบัด ได้รับการรักษาทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ

เพื่อให้มนุษย์ได้รับพระพรไม่ใช่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ต้องมารับภาระในการมาคจ.

เพื่อให้มนุษย์มาทำการดีไม่ใช่มาทำการร้ายใส่กัน

ยน. 8:34 ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป แปลความได้ว่า บาปก็คือบาป เช่น การพูดโกหกหรือการพูดที่ไม่จริงเท่านั้น ที่เรามักจะเข้าใจตรงกันว่า นั่นคือบาป แต่ B / B สอนเราว่า

มธ. 5 : 37 จริงก็ว่าจริงไม่ก็ว่าไม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าการที่เราหยุดพูดความจริงนั้นนั่นก็คือบาปด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกันกับการที่เรารู้ว่าอะไรดี แล้วเราไม่ทำ นั่นก็คือบาป

ดังนั้นพี่ - น้องจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่พอพระเยซูได้เห็นถึงความทุกข์ของคนมือลีบนั้นพระองค์จึงให้สำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งหมด

แต่พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ พอได้ฟังคำถามของพระเยซูว่า ในวันสะบาโตเราควรทำการดีหรือการร้ายควรจะช่วยดีหรือควรจะผลาญชีวิตดี พวกนี้ก็มีใจเป็นอริต่อพระเยซูในทันที เพราะคิดอย่างที่พี่ - น้องตอบผมเมื่อสักครู่นั่นแหละ

ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงทุกข์ใจต่อพวกเขา เพราะใจของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์นั้นแข็งกระด้าง และเขาให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบ ข้อบังคับ มากกว่าที่จะสำแดงพระเมตตาของพระเจ้า เขากลายเป็นคนที่เคร่งศาสนาแต่ไม่ยอมทำความดี

เมื่อเรารู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ดีแล้ว เราจึงมาถึงเรื่องของ ชายมือลีบและการรักษาโรคภาษาต้นฉบับ ไม่ได้บอกเราว่า ชายคนนี้มีมือลีบมาตั้งแต่กำเนิดหรือไม่ แต่พูดว่าชายที่มีมือแต่ต่อมาลีบ ซึ่งนั่นหมายความว่า

1 ) ไม่ได้มือลีบมือตั้งแต่กำเนิดหรือมาลีบเอาในภายหลัง 2 ) เมื่อก่อนเขามีมือที่ปกติ ใช้งานได้ แต่ต่อมามือนั้นลีบไป เป็นมือที่ไร้ชีวิต ไร้กำลัง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ และวางนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ตัวของชายคนนี้

เมื่อพระเยซูได้พบกับชายที่มือลีบคนนี้ สิ่งแรกที่พระองค์ทรงกระทำนั่นคืออะไรครับ ?

พระเยซูพูดกับเขาว่า “ จงลุกขึ้นมายืนข้างหน้า ” เหตุที่พระเยซูทรงกระทำอย่างนี้ เพราะพระเยซูต้องการที่จะทำให้เรื่องนี้เปิดเผย เหมือนเรื่องของหญิงโลหิตตกและพระองค์ทรงทราบดีว่า พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์นั้น ได้ส่งแมวมองเข้ามาคอยจับผิดพระองค์ ดังนั้นพระเยซูจึงต้องการที่จะเปิดเผยให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นในที่สาธารณะ

พระเยซูตรัสกับชายมือลีบคนนี้ว่า “ จงเหยียดมือออกเถิด ”

พี่ - น้องที่รักครับ ชายมือลีบคนนี้ เขาถูกพระเยซูขอร้อง  ให้ทำในสิ่งที่เขาอาจจะเคยทำมาแล้วในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งถูกต้องและผมก็เชื่อว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นด้วย

แต่เป็นไปได้มั้ยครับพี่ - น้อง ที่เขาอาจจะยังทำไม่เต็มที่ ทำให้ความพยายามของเขาที่ผ่านมานั้นล้มเหลวในทุกครั้ง หรือเขาอาจะยังทำไม่เต็มกำลัง   ความสามารถ ทำให้ความพยายามของเขาที่ผ่านมานั้นยังไม่สำเร็จเลยสักครั้ง   หรือเขาอาจจะหมดหวังไปแล้วก็ได้

พี่ - น้องที่รักครับ คนที่ล้มเหลวส่วนมากก็เพราะ 1 ) เขาทิ้งความหวัง 2 ) เขาจอดเก่ง

มีเรื่องเล่าว่า มีพ่อลูกคู่หนึ่งมีอาชีพทำไร่ แล้วเช้าวันหนึ่งพ่อก็สอนให้ลูกเอา ลา ออกไปในท้องทุ่ง เพื่อบันทึกพืชผลที่เก็บเกี่ยว ลูกก็จูง ลา ออกไป แต่ ลา ไม่ยอมเดิน

ลูกจึงตะโกนถามพ่อว่าจะทำอย่างไร พ่อบอกว่า “ ใช้พลังจิตของเอ็งซิวะ”

ลูกก็ตะโกนบอกพ่อว่า ผมใช้ พลังจิต แล้วพ่อ แต่ ลา มันมี พลังจอด มากกว่า

ลาใช้พลังจอด เจ้าของลาใช้พลังจิต แต่พลังจอดมากกว่าพลังจิต

คนที่ล้มเหลวส่วนมากก็เพราะ 3 ) เมื่อล้มเหลวครั้งแรกหรือในตอนแรกๆ แล้วๆ เขาก็จะพากันจอด ไม่พยายามอีก โดยเฉพาะคนไทยส่วนมาก มักจะเป็นอย่างที่ผมได้กล่าวมาเมื่อสักครู่

พี่ - น้องรู้จัก โทมัส เอดิสัน มั้ยครับ ? โทมัส เอดิสัน ได้ทดลองสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา 700 ครั้งกว่าจะสำเร็จ แต่เขากับพูดว่า เขาพบว่ามีอยู่ 700 วิธีที่ไม่ได้ผล ซึ่งนั่นหมายความว่า เอดิสัน ไม่เคยหมดหวัง เขาพยายามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ คนเราควรที่จะเพิ่มความหวังของเราไปเรื่อยๆ

ปัจจุบันแรงบันดาลใจในลักษณะนี้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่คอยจะกระตุ้นกันอยู่เสมอ เพราะเรามักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วเรายังทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ถ้าเขาเห็นความสามารถในตัวเรา และเห็นในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และเขาคิดว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เขาจะคอยมากระตุ้นเรา สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา เป็นต้น

พระเยซูตรัสกับชายมือลีบคนนี้ว่า“ จงเหยียดมือออกเถิด ”

ซึ่งนั่นหมายความว่า 1 ) พระเยซูต้องการที่จะท้าทายเขา 2 ) พระเยซูต้องการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ให้กับชายมือลีบคนนี้

ชายคนนี้พูดกับพระเยซูมั้ยครับว่า พระองค์มาสั่งผมทำไม ไม่รู้หรือว่าประสาทมือของผมมันเสียไปแล้วหรือผมทำไม่ได้หรอกพระเยซู ชายมือลีบคนนี้พูดกับพระเยซูอย่างนี้หรือเปล่าครับพี่ - น้อง ?

พระวจนะของพระเจ้าพูดไว้อย่างชัดเจนว่า“ เขาก็กระทำตาม

พี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าได้สร้างความหวังให้กับชายมือลีบคนนี้ พระคำของพระเจ้า ได้สร้างขวัญและกำลังใจขึ้นใหม่ให้กับชายคนนี้ และเมื่อชายมือลีบคนนี้เคลื่อนไปพร้อมกับถ้อยคำของพระองค์ พระคำของพระเจ้าก็ได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า และมือของเขาก็หายเป็นปกติ”

พระคัมภีร์เดิมในหนังสืออพยพ. 14 : 16 ทำให้เราทราบว่า เมื่อโมเสสเคลื่อนไปกับพระบัญชาของพระเจ้าหรือเคลื่อนไปกับถ้อยคำของพระองค์ เขาก็พบว่าทะเลนั้นแยกออกได้

พระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ในหนังสือ ยน.21 : 5 - 6 ทำให้เราทราบว่า เมื่อเปโตร

ทอดอวนไปทางขวา   ตามคำสั่งหรือคำตรัสของพระเยซู เขาก็พบว่าปลานั้นติดเต็มอวน

ปัจจุบันถ้าพี่ - น้องและผมและรวมทั้งทั้งคริสตจักรฯ ได้เคลื่อนไปกับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นถ้อยคำของพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะพบพระสัญญาของ Gที่จะสำเร็จและเป็นจริง ทั้งในส่วนชีวิตของเราและในส่วนของคริสตจักรแห่งนี้อย่างแน่นอน

พระเยซูตรัสกับชายมือลีบคนนี้ว่า “ จงเหยียดมืออกเถิด ”

พี่ - น้องที่รักครับ พระเยซู ทรงหนุนน้ำใจและทรงกระตุ้นชายมือลีบคนนี้ ให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง พระเยซูอยากให้ชายมือลีบคนนี้ ได้ผจญภัยไปกับคำตรัสของพระองค์

พระเยซูอยากให้ชายมือลีบคนนี้ ได้ตื่นเต้นไปกับโลกแห่งความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า เพราะในโลกแห่งความเชื่อและความวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น 1 ) เต็มเปี่ยมไปด้วยความอัศจรรย์ใจเสมอ 2 ) เต็มไปด้วยสิ่งที่อยู่เหนือการอธิบายของเหตุและผลพระคำของพระเจ้าพูดไว้อย่างชัดเจนว่า เขาก็กระทำตามและมือของเขาก็หายเป็นปกติ

พี่ - น้องที่รักครับ นักบริหารที่ดี นักวิทยาศาสตร์ที่ดี นักกีฬาที่ดี เขาจะต้องมีความคิดที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ และไม่เคยมีใครทำมาก่อน และถ้าเราทำในสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้มันก็ไม่เป็นสิ่งที่ท้าทายเราเท่าที่ควร

พระเยซูตรัสกับชายมือลีบคนนี้ว่า จงเหยียดมือออกเถิด

ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเยซูได้ท้าทายชายมือลีบคนนี้ว่า ให้พิชิตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และให้ทำสิ่งนี้ต่อหน้าธารกำนัลเดี๋ยวนี้ เพื่อถวายเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ บนคำสั่งของพระเจ้า ถ้าเราดูแบบเผินๆ แล้วมันไม่น่าจะมีความเป็นไปได้เลย พี่ - น้องว่าจริงมั้ยครับ ? แต่ที่มันมีความเป็นไปได้ เหตุเพราะว่าเราเชื่อฟังและทำตามพระองค์นั่นเอง

เช่นเดียวกับชายมือลีบคนนี้ ที่เขาทำตามพระคำพระเจ้า เขาเหยียดมือของเขาออก และเขาก็พบว่ามันค่อยๆ เหยียดออกได้มากขึ้น ทีละหน่อย ทีละเล็ก ทีละน้อย และมากขึ้นๆ ในที่สุดเขาเหยียดออกได้อย่างเต็มที่ ต่อหน้าต่อตาของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ที่กำลังเฝ้ามองเขาอยู่

เช่นเดียวกับในปัจจุบันนี้ ที่ G ต้องการที่จะให้บุตรชาย บุตรหญิงของพระองค์ ทุกคน ได้ถวายเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้าของเรา ด้วยการเหยียดออกไปอย่างสุดมือ ในพระราชกิจของพระเจ้า คำถามที่พี่ - น้องไม่ต้องตอบผม แต่ให้ท่านได้ตอบคำถามนี้ภายในจิตใจของท่านก็คือว่า วันนี้ท่านได้เหยียดมือของท่านออกไป ในงานของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน ทีละหน่อย ทีละเล็ก ทีละน้อยหรือสุดปลายมือของท่าน

พระเยซูตรัสกับชายมือลีบคนนี้ว่า“ จงเหยียดมือออกเถิด ”

พี่ - น้องที่รักครับ โดยแท้จริงแล้ว พระเยซูจะไม่ให้ชายคนนี้เหยียดมือของเขาออกไปเลยก็ได้ หรือพระองค์ทำให้ชายมือลีบคนนี้หายมือลีบเลยก็ได้ พระเยซูทำได้มั้ยครับ ? ทำได้ แต่พระเยซูไม่ทำเช่นนั้น เพราะอะไรครับ ?

เพราะชายคนนี้ ถูกสั่งให้ทำในส่วนของเขาก่อน นั่นก็คือ พระองค์อยากให้ชายมือลีบคนนี้ ได้ยื่นมือแห่งความเชื่อและความวางใจในพระองค์นั้นออกไป และเมื่อมันสุดปลายมือของชายมือลีบคนนี้แล้ว พลังงานทุกอย่างที่มีอยู่ในพระองค์ ที่สามารถจะช่วยเคลื่อนฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณที่เราทำไม่ได้ ให้ทำได้

เพราะพระเยซู ต้องการให้เราค้นพบ จุดที่เราไม่มีทรัพยากรหรือไม่มีกำลัง ไม่มีเรี่ยวแรงหรือไม่มีความสามารถ ที่เราจะทำได้ด้วยตัวของเราเองอีกต่อไป และเมื่อนั้นเราจะได้สัมผัสกับพระองค์ ดังที่ อ. เปาโล ได้เขียนไว้ใน ฟป. 4 : 13 ฉบับของสมาคมพระคริสตธรรมไทย “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” ฉบับอมตะธรรมร่วมสมัย “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์เป็นผู้ชูกำลังเรา”

พี่ - น้องที่รักครับ เรื่องของชายมือลีบนี้ มิใช่เป็นเรื่องของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์หรือคนที่นั่งดูเหตุการณ์ในธรรมศาลาเท่านั้น แต่สอนใจเราด้วย ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า เรื่องนี้สำหรับเราด้วย )

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราได้ยินพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้แล้ว    

เรารู้สึกเย็นชาต่อความทุกข์ของคนอื่น หรือเรารู้สึกรักคนอื่นไม่ได้หรือรักคนอื่นไม่เป็น หรือเราไม่มีความรู้สึกเหมือนกับองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากกับพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ในสมัยนั้น

( ให้ที่ประชุมยกมือขึ้น ) เท่าที่ผมสำรวจดูอย่างคร่าวๆ ผมพบว่าในฝ่ายร่างกายของผู้ที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ทุกคนนั้น ไม่มีใครสักคน ที่เป็นคนมือลีบเหมือนกับชายคนนี้ แต่ชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของผู้เชื่อหรือคริสเตียนหลายคน อาจจะลีบมากกว่าชายมือลีบคนนี้ เป็นไปได้มั้ยครับพี่ - น้อง

ชีวิตแห่งการ Pray  ของหลายคน ดูเหมือนจะเป็นนัก Pray  ดูเหมือนจะจริง แต่ลีบ

ชีวิตแห่งการนมัสการ G ของหลายคน ดูเหมือนจะเป็นนัก Wors ดูเหมือนจะจริงแต่ลีบ

ชีวิตแห่งการมอบถวาย แด่พระเจ้าของผู้เชื่อหรือ C หลายคนนั้น ดูเหมือนจะจริง แต่ลีบ

ชีวิตแห่งการเฝ้าเดี่ยว   โดยส่วนตัวและครอบครัวของหลายๆ คน ดูเหมือนจะจริง แต่ลีบ

ชีวิตแห่งการ B / B โดยส่วนตัวของหลายๆ คน ดูเหมือนจะจริงแต่ลีบ และอื่นๆ อีกมากมาย เราจึงเป็นคริสเตียนที่ขาดประสิทธิภาพและขาดประสิทธิผลในฝ่ายวิญญาณ บุคลิกภาพในฝ่ายวิญญาณของเราจึงเสียไป เพราะเราลีบ

พี่ - น้องที่รักครับ ในเช้าวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงประทับอยู่กับเรา และในเช้าวันนี้    ถ้าพี่ - น้องรู้ว่าในฝ่ายวิญญาณของเรานั้น มีอะไรที่มันลีบไป และท่านปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกับชายมือลีบคนนี้ ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าผมขอแนะนำให้พี่ - น้องเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเยโฮวาห์ราฟา เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐปรารถนาที่จะช่วยท่าน แต่สิ่งที่ท่านจะต้องทำนั่นก็คือ พี่ - น้อง จะต้องเต็มใจจะเหยียดจิตวิญญาณต่างๆ ที่ลีบๆ ของท่านนั้นออกมาให้กับ G โดยความเชื่อและด้วยความวางใจในพระองค์ และเมื่อสุดปลายมือของพี่ - น้องแล้ว พี่ - น้องทราบมั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น ? อำนาจของสวรรค์จะลงมาสัมผัสท่าน นำพี่ - น้องพ้นจากสภาพทีลีบในฝ่ายวิญญาณนั้น พระสัญญาของพระเจ้าบอกกับเราไว้อย่างชัดเจนถึง 14 ครั้ง ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่ นั่นก็คือ พระองค์จะทรงรักษาเราให้หาย

สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1 ) ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสตพระเจ้าของเรา2 ) อย่าเป็นเหมือนพวกฟาริสีหรือพวกธรรมาจารย์ 3 ) ให้เราได้ทำในส่วนของเรา ด้วยความเชื่อและความไว้วางใจในพระองค์

ตอบสนอง พระคำของพระเจ้าด้วยบทเพลง เมื่อทรงสัมผัสฉัน

Green City