พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

คำเทศนาเรื่อง พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.20:1-18 1วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว2นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตร และสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า "เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน"3เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น4เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน5เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน6ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่7และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก8แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ9เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย 10แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน11ฝ่ายมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์12และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท13ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า "หญิงเอ๋ยร้องไห้ทำไม" เธอตอบว่า "เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน"14เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู15พระเยซูตรัสถามว่า "หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด" มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า "นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป"16พระเยซูตรัสกับเธอว่า "มารีย์เอ๋ย" มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า "รับโบนี" (ซึ่งแปลว่า อาจารย์)17พระเยซูตรัสกับเธอว่า "อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย"18มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า "ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่า พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

                พี่น้องที่รักครับ คริสเตียนนั้นมีเทศกาลใหญ่ๆอยู่ 2 เทศกาลด้วยกัน เทศกาลแรกนั่นก็คือ เทศกาล Christmas อีกเทศกาลหนึ่งนั่นก็คือเทศกาล Easter ซึ่งทั้ง 2 เทศกาลนี้จะว่าไปแล้ว คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าโดยส่วนมากนั้นเขามักจะรู้จักวัน Christmas มากกว่าวัน Easter                เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า วัน Christmas นั้นมันใกล้กับวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งบรรยากาศในช่วง Christmas & Happy New Year นั้นมันเป็นช่วงแห่งความสนุกสนานร่าเริง มันเป็นช่วงแห่งความชื่นชมยินดี มันเป็นช่วงแห่งการให้ มันเป็นช่วงแห่งการอวยพรซึ่งกันและกัน มันเป็นช่วงแห่งการเฉลิมฉลอง และผู้คนในสังคมโดยส่วนมาก ก็ชอบบรรยากาศในลักษณะอย่างนี้ แต่พอถึงช่วงวัน Easter ผู้คนในสังคมโดยส่วนมากนั้นกับไม่ค่อยที่จะมีใครให้ความสนใจ ยกเว้นพวกคริสตศาสนิกเท่านั้น

เหตุเพราะว่าคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าโดยส่วนมากนั้น เขาคิดว่า Easter    มันช่วงเวลาที่โศกเศร้าเสียใจ ซึ่งโดยปกติคนเรานั้นมักจะจัด ”ฉลองวันเกิดไม่ฉลองวันตาย” ถูกต้องไหมครับพี่น้อง ?

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ ผู้คนโดยส่วนมากจึงรู้จักเทศกาล Christmas มากกว่าวัน Easter ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใดนะครับสำหรับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทั้ง 2 เทศกาลนี้ ล้วนแต่เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองด้วยกันทั้งสิ้น

Christmas เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้เสด็จลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ส่วน Easter เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตาย การฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ก็เพื่อแสดงถึงความมีชัยชนะเหนือมารซาตานวิญญาณชั่วทั้งหลาย ประการที่สำคัญเป็นการประกาศให้กับคนทั้งโลกได้รู้ว่าพระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 9 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย”

ประการที่ 1 เราพบถึงความไม่เข้าใจของพวกสาวก

พี่น้องที่รักครับ นางมารีย์ มักดารีน นั้นถือได้ว่าเป็นสาวกที่มีความใกล้ชิดกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามากพอๆกับ 12 อัครสาวกของพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า นาง มารีย์ นั้นเป็นคนหนึ่ง ที่จะต้องเคยได้ยิน ได้ฟัง ถึงคำพยากรณ์ที่ออกจากปากขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยว่า พระองค์นั้นจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไร ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.20:17-19

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ขณะอยู่ตามหนทางได้พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาว่าดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้อยู่กับพวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติให้เยาะเย้ยเฆี่ยนตี และให้ตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามท่านจึงจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่"

มธ.20:17-19 ทำให้เราทราบว่า นี่คือคำพยากรณ์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงตรัสเอาไว้กับสาวกของพระองค์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงพูดถึงคำทำนายนี้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่าพระองค์ค่อยๆบอกในเรื่องนี้กับสาวกของพระองค์มาโดยตลอด

ซึ่งนางมารีย์และสาวกคนอื่นๆนั้น น่าจะมีความเข้าใจในบริบทนี้หรือมีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นอย่างดี แต่พระคำของพระเจ้า ยน.20:1-18 นี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า นางมารีย์และสาวกคนอื่นๆนั้นต่างไม่เข้าใจว่า “พระองค์นั้นจะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย”

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “พอเวลาเช้ามืดของวันอาทิตย์นางมารีย์ชาวมักดาลา นางได้ไปที่อุโมงค์ฝังพระศพเพื่อที่จะนมัสการพระเยซู นางเห็นหินได้เคลื่อนออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว

นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน

เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้นเขาวิ่งไปทั้งสองคนแต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อนเขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างในซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหากแล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วยเขาได้เห็นและเชื่อ

ซึ่งนั่นหมายความว่า ในชั่วโมงนั้น ในเวลานั้น ทั้งนางมารีย์ เปโตรและยอห์นสาวกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงรัก ต่างมีความเชื่อที่ตรงกันนั่นก็คือว่า “มีคนได้นำเอาพระศพขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นออกไปจากอุโมงค์จริงๆ” อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ

ผมเคยให้พี่น้องที่คริสตจักรอื่นๆได้ย่อยพระคำของพระเจ้าในตอนนี้นะครับ หลายคนบอกว่า “พระเยซูบอกก็จริงแต่พวกเขาลืม”แต่ในทัศนะของผมนะครับ ถ้าเราลองเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วพิจารณาดูผมคิดว่า

                ผมคิดว่า พวกสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในเวลานั้น เขาอยู่ในอาการ Shock ซึ่งพี่น้องจะต้องไม่ลืมนะครับว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากและเกิดขึ้นกับคนที่ตัวเองรัก

ผมคิดว่าต่อให้พวกสาวกเขารู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่โดยความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจในเวลานั้น บวกกับการที่พวกเขาอยู่ในภาวะที่สับสน บวกกับบรรยากาศในเวลานั้น พวกเขาจึงไม่ได้นึกถึงในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสกับพวกเขาเอาไว้ มารีย์กับพวกสาวกจึงคิดได้แต่เพียงว่า“มีคนได้นำเอาพระศพขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นออกไปจากอุโมงค์จริงๆ” อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ

และด้วยการที่นางมารีย์นั้นไม่เข้าใจ พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 11-15 บอกกับเราว่า นางมารีย์จึงร้องไห้เสียใจ เพราะนางคิดว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรง “ตายแล้วตายลับ” เหมือนกับความคิดหรือความเชื่อของคนไทย ที่คิดว่าหรือเชื่อว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”

ยิ่งเมื่อเธอได้ก้มมองลงไปดูที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูแล้ว นางมารีย์ก็ยิ่งร้องไห้มากเท่านั้น เพราะเธอเชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงตายแล้วตายลับจริงๆ ดังนั้นคนที่ตายไปแล้วจะช่วยเหลือใครได้นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้นางจึง 1) ดูสิ้นหวัง 2) ร้องไห้ออกมามาก ถึงขนาดตาของนางนั้น “ฝ้าฟาง” พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนในข้อที่ 15 ว่า“นางมารีย์เธอมองเห็นพระเยซูเป็นเพียงแค่คนทำสวนคนหนึ่งเท่านั้น” และนี่คือความไม่เข้าใจของพวกสาวก

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 16 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "มารีย์เอ๋ย" มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า "รับโบนี" (ซึ่งแปลว่า อาจารย์)

ประการที่ 2 เราพบพระคุณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

พี่น้องยังได้ใช่ไหมครับว่า นางมารีย์ มักดาลา นั้นถือได้ว่าเป็นสาวกที่มีความใกล้ชิดกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามากพอๆกับ 12 อัครสาวกของพระองค์ แต่คนที่กินอยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ทำไมนางมารีย์กับมองเห็นองค์พระเยซูคริสต์กลายเป็นคนทำสวนไปได้

ด้วยเหตุนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ตรัสกับเธอว่า " มารีย์เอ๋ย " พี่น้องที่รักครับ ถึงแม้ว่าในตอนแรกนั้น นางมารีย์จะจำพระเยซูไม่ได้ แต่เมื่อนางมารีย์ได้ยินเสียง และเมื่อนางได้ระลึกถึง นางจำได้ว่านี่คือเสียงขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า นางมารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า "รับโบนี" (ซึ่งแปลว่า อาจารย์)

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องก็คือว่า มนุษย์นั้นจะเข้าใจความล้ำลึกของพระเจ้าไม่ได้ด้วยสติปัญญา แต่ด้วยการที่พระเจ้านั้นทรงเปิดเผยพระองค์แก่มนุษย์และนี่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเราทั้งหลาย

พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ทำให้เราทราบว่า เมื่อนางมารีย์นั้นได้พบกับพระเจ้าผู้ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายและพระองค์นั้นยังทรงพระชนม์อยู่

ผมอยากให้พี่น้องได้จินตนาการถึงอากัปกิริยาของนางมารีย์ดูว่าเมื่อนางมารีย์ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้แล้วนางน่าจะมีอากัปกิริยาเป็นเช่นไร?

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า การฟื้นจากความตายนั้นมันเป็นเรื่องที่เกินฝัน ดังนั้นอากัปกิริยาของนางมารีย์นั้น ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเศร้าโศกเสียใจ กลายเป็นความชื่นชมยินดี จากร้องห่มร้องไห้มากกลายเป็นหัวเราะมาก จากสิ้นหวังเปลี่ยนเป็นมีความหวัง จากรู้สึกที่มืดมิดในฝ่ายวิญญาณกับกลายมีความสว่างไสวในฝ่ายวิญญาณขึ้นมาในทันที

ซึ่ง “ความชื่นชมยินดี” คำนี้ พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับมาตรฐาน ใช้คำว่า Overjoyed ซึ่งมีความหมายว่า มันไม่ใช่ความชื่นชมยินดีแบบธรรมดา แต่เป็นความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจที่ไม่สามารถพรรณาได้

พี่น้องที่รักครับ เมื่อส่วนที่อยู่ภายในของมนุษย์ นั่นก็คือ จิตใจและจิตวิญญาณนั้นเมื่อมันดี กายภายนอกของมนุษย์นั้นจะเป็นอย่างไรครับ ? ก็จะต้องดีด้วย

ผมเชื่ออย่างมั่นใจสีหน้าแววตาของนางมารีย์นั้น จะต้องเต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วย Aura ของพระคริสต์ ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า เทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีในชีวิตของนางมารีย์นั้นได้เริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อนางได้พบกับพระเยซู

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนจะต้องเข้าสู่การเฉลิมฉลองในวัน Easter นี้ด้วยความชื่นชมยินดีทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ สีหน้าและแววตาของเรานั้นก็จะต้องเปรมปรีด์เหมือนกับนางมารีย์ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะชีวิตแห่งอนาคตของพี่น้องและผมนั้นต่างมีความหวังด้วยกันทั้งสิ้น

พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 18 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อนางมารีย์ มักดาลา ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว นางจึงได้ Run ไปบอกกับพวกสาวกด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่า พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ

สิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะสื่อสารกับพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า พี่น้องอย่าได้รับเอาท่าที Overjoyed” “ความชื่นชมยินดี” นี้เอาไว้ภายในชีวิตของพี่น้องเฉยๆเท่านั้น

แต่พี่น้องควรที่จะRun โดยการนำเอาเรื่องราวที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไปบอกให้กับคนอื่นๆได้ฟังด้วยความตื่นเต้น เพื่อให้คนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้น ได้มีโอกาสที่จะ 1)ได้รับความรอด 2)เข้ามาเสาะแสวงหาพระเจ้าที่เที่ยงแท้และยังทรงพระชนม์อยู่ร่วมกับเรา

ซึ่งถ้าเราจะมาพิจารณาถึงสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำเพื่อเราเพียง 3 วัน คือ ตั้งแต่วันพฤหัส - วันอาทิตย์ (วันเสาร์พระองค์ทรงเสด็จลงไปประกาศที่แดนมรณา) เราก็จะพบว่า

1) องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำตามแผนการณ์ตามที่พระองค์ได้รับมอบหมายมาจากพระบิดานั้นสำเร็จไหมครับ ?

2) พระองค์ทรงประกาศความมีชัยชนะเหนือมารซาตานสำเร็จไหมครับ ?

ซึ่งนักเทศน์โดยส่วนมากก็จะให้ความสำคัญกับทั้ง 2 ประการนี้ แต่ในทัศนะของผมนั้น ผมคิดว่าพระเจ้าได้ซ่อนความล้ำลึกเอาไว้ในแผนการณ์ของพระองค์อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน และแผนการที่ว่านี้ก็คือให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ยน.20:21

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า”พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"

ผมคิดว่าพระเจ้าได้ซ่อนความล้ำลึกเอาไว้ในแผนการณ์ของพระองค์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือว่า พระองค์ทรงวางแผนการประกาศ เรื่องราวของวัน Easter เอาไว้ให้กับพวกเราล่วงหน้าเพื่อที่พวกเรานั้นจะได้เป็นพยานฝ่ายพระองค์ พี่น้องคิดว่ามีใครที่สามารถวางแผนระยะยาวอย่างนี้ได้แบบบ้างมีไหมครับ ? ไม่มีนอกเหนือจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว ขอบคุณพระเจ้า

สรุปพระคำของพระเจ้าที่มาถึงพี่น้องน้องเช่าวันนี้คือ

เทศกาล “Easter” เป็นเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีที่พระคริสต์ได้ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายและเราควรที่จะตระหนักว่า พระเจ้าทรงใช้พระเยซูมาฉันใด พระเยซูก็ทรงใช้เราไปฉันนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

              

Green City