พระเยซูกับเศรษฐีหนุ่ม มก.10:17-22
เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ "พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า" ท่านเรียกเราว่า ประเสริฐทำไมไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า "อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน 20คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา" 21พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขาแล้วตรัสว่า "ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา" 22เมื่อเขาได้ยินคำนั้น หน้าของเขาก็สลดลง แล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
มีเรื่องเล่าว่า มีมิชชั่นนารีคนหนึ่งชื่อ Dr.J T Cement ท่านได้เดินทางไปเป็นมิชชั่นนารีที่ประเทศอินเดีย และมิชชั่นนารีท่านนี้ก็ได้มีโอกาสจัดงานฟื้นฟูขึ้นที่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ก็ไปเข้าหูของมหาราชของรัฐ ซึ่งมหาราชท่านนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีมั่งคั่งที่สุดของเมืองนี้ มหาราชท่านนี้จึงได้เชิญ Dr.J T Cement มาเป็นแขกพิเศษในวังของเขา
ในระหว่างที่ Dr.J T Cement เดินเข้าไปในพระราชวังนั้นท่าน Dr.J T Cement ก็มองเห็นรถใหม่ๆหลายคนที่จอดเรียงรายอยู่ในโรงจอดรถ และเมื่อท่าน Dr.J T Cement ได้พบกับมหาราชท่านนี้ Dr.J T Cement ก็พบว่ามหาราชท่านนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี โดยเฉพาะผ้าที่มหาราชท่านนี้ใช้โพกศีรษะนั้นประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาราคาแพง
มหาราชท่านนี้ได้เชิญท่าน Dr.J T Cement ร่วมโต๊ะเสวยพระกายาหาร ท่าน Dr.J T Cement ก็พบว่า ภาชนะที่ใช้บนโต๊ะเสวยอาหารนั้นล้วนทำจากเงินและทองคำ อีกทั้งในขณะที่กำลังเสวยอยู่นั้น มหาราชท่านนี้ก็ให้สาวๆในฮาเร็มของท่านนั้นออกมาเต้นระบำให้ Dr.J T Cement ได้ชมด้วย แต่ภายในจิตใจของท่าน Dr.J T Cement กับรำพึงรำพันภายในจิตใจว่า มหาราชท่านนี้ไม่มีความสนใจในฝ่ายวิญญาณเอาเสียเลย
ตรงกันข้ามกับในวันรุ่งขึ้น ที่มีครอบครัวคริสเตียนยากจนครอบครัวหนึ่งได้เชิญ Dr.J T Cement มาร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน แต่เจ้าของบ้านกับออกตัวว่าที่บ้านของเขานั้นไม่มีอะไรมาก แต่ขอที่จะต้อนรับ Dr.J T Cement อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่าน Dr.J T Cement ก็ตอบรับคำเชิญที่จะไปทานอาหารเย็นกับครอบครัวนี้ และเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวนี้ขอให้ Dr.J T Cement อ่านพระคำของพระเจ้าและอธิษฐานเผื่อครอบครัวเขา
ก่อนที่ Dr.J T Cement จะลากลับ ท่านได้พูดกับเจ้าของบ้านว่า ก่อนที่ผมจะมา คุณบอกกับผมว่า “บ้านคุณเป็นบ้านเล็กๆและไม่ค่อยมีอะไร” แต่ผมอยากจะบอกกับคุณว่า “คุณและครอบครัวเป็นคนร่ำรวยในฝ่ายวิญญาณ”
จาก Word of God ใน มก.10:17-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 เขาเป็นเศรษฐีก็จริงแต่เขายังยากจนอยู่
พระคำของพระเจ้าปลายข้อที่ 22 บอกกับเราว่า เขามีทรัพย์สมบัติมาก
และให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในปลายข้อที่ 17 ด้วยกัน พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งคำว่าได้หรือได้รับคำนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า inherit ซึ่งแปลว่า 1) สืบทอด 2) มีคนให้มา 3) มรดกตกทอด 4) ได้มาโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
ดังนั้นการที่ชายคนนี้เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติจำนวนมากนั้น เป็นไปได้ไหมครับพี่น้องที่รัก ? ที่เขาจะได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ของเขา
ดังนั้นเมื่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาเข้ามาหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเขาจึงพูด
กับพระเยซูว่า เขาสามารถที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ แบบสืบทอดมรดกหรือโดยแบบที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลยจะได้ไหม
คำถามคือว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาเข้ามาหาพระเยซูแบบไหนครับ ? แบบคนร่ำรวยในฝ่ายวัตถุ แต่ถ้าเรามองอีกด้านหนึ่งหรือมองในอีกมิติหนึ่งนั่นก็คือในด้านฝ่ายจิตวิญญาณ ชายคนนี้ก็คือคนที่ยากจน
และการที่เขายากจนเพราะอะไรครับ ? เพราะเศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ การมีชีวิตนิรันดร์
คำถามคือว่าชีวิตนิรันดร์คืออะไร ชีวิตนิรันดร์คือชีวิตที่ได้รู้จักกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ ในทางกลับกันมีบางคนถามว่า อาจารย์ครับ เป็นไปได้ไหมที่เราร่ำรวยในฝ่ายวิญญาณ แต่กับยากจนในฝ่ายโลกหรือฝ่ายวัตถุ
2คร.8:9 เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์มั่งคั่งพระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์
จาก Word of God ใน มก.10:17-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 เศรษฐีหนุ่มเขาเป็นคนดีจริงแต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีนั่นเอง
เศรษฐีหนุ่มบอกกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในข้อที่ 20 ว่า บัญญัติของพระเจ้าทั้ง 10 ประการนั้นเขาทำได้ทั้งหมด และเขาเป็นคนที่มีมาตรฐานทางศีลธรรม , คุณธรรมสูงมาตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็กแล้ว
เมื่อเขาโตขึ้นธรรมศาลาต่างๆของคนยิวก็เห็นว่าเขาเป็นยิวที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติของพระเจ้า ดังนั้นชีวิตนิรันดร์ก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รับ แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับเศรษฐีหนุ่มว่า ธรรมบัญญัตินั้นมีแต่ข้อห้าม เช่น ห้ามมีพระเจ้าอื่นใด ห้ามออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร ห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ ห้ามฉ้อเขา
แต่บัญญัติใหม่ของเราคือ ให้มิใช่ห้าม เช่น ให้เราพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดและให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
ดังนั้นการมีศีลธรรมของเศรษฐีนั้นดีไหมครับ ? ดี แต่ไม่พอที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย เหมือนกับคนในยุคนี้ที่หลายคนนั้นทำดี แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ดี แต่ความดีที่มนุษย์ทำนั้นไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้า
มาตรฐานของพระเจ้าคือ ให้เราพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดและให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
ดังนั้นถ้าเราพิจารณาจากธรรมบัญญัติใหม่ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงให้ไว้ใน มก.12:30-31 อาจจะกล่าวได้ว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้หาได้ดำรงชีวิตตามพระบัญญัติใหม่ทั้ง 2 ข้อนี้แต่ประการใด
เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาไม่ได้รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด นอกจากเขาไม่ได้รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดแล้วเขายังมีรูปเคารพในใจของเขาอีกด้วยและรูปเคารพในใจของเขาคืออะไรครับ ? คือ เขารักทรัพย์สินเงินทองที่เขามียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาไม่ได้รักพระเจ้าหรือรักพระเยซูโดยการเชื่อฟังพระองค์
เขารักเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงหรือไม่ ? เปล่าอีกเช่นกัน เพราะเขามิได้นำทรัพย์สินของเขาไปช่วยเหลือหรือสงเคราะห์คนยากจนแต่อย่างใด
ดังนั้นเศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนดีก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีนั่นเองและเศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาได้กระทำบาปมากที่สุดบาปหนึ่งนั่นก็คือ เศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาจงใจที่จะปฎิเสธพระเยซู ทั้งๆที่เขารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหนุ่มคนนี้หรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ ที่ปฎิเสธพระเยซูเขาคนนั้นก็หมดหวังแล้วซึ่งชีวิตนิรันดร์
จาก Word of God ใน มก.10:17-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาเป็นคนฉลาดก็จริง แต่เขายังโง่อยู่
เศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง สังเกตจากคำถามที่เขาใช้ในการถามพระเยซู อีกประการหนึ่งที่แสดงให้ว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนฉลาดคือ การที่เขานั้นเข้าถึงแหล่งของข้อมูล เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขามีปัญหาเรื่องอะไรครับ ? เขามีปัญหาชีวิต
ปัญหาของเขาคือ เขาต้องการได้รับชีวิตนิรันดร์ พระคำของพระเจ้าใน [ยน.1:4] พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต
พี่น้องที่รักครับ เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขารู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งคำตอบของชีวิต ด้วยเหตุนี้เขาเลือกที่จะไปหาพวกฟาริสีหรือพวกธรรมาจารย์ไหมครับ ? คนฉลาดมักจะเข้าหาแหล่งคำตอบของคำถามเสมอเขาเลือกที่จะมาหาพระเยซู
แม้ว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้จะแสดงถึงความมีปัญญาผ่านการใช้คำถามที่เขาใช้ถามพระเยซูก็จริง แต่พอมาถึงปฎิกิริยาต่อคำตอบ เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขากลายเป็นคนเขลาไปเลย
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบอกกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ว่า ชีวิตนิรันดร์คือชีวิตที่ได้รู้จักกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงแนะนำเศรษฐีหนุ่มคนนี้ต่อไปในข้อที่ 21 ว่า "ท่านจงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา"
เมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามของเขาเสร็จปฎิกิริยาต่อคำตอบของเศรษฐีหนุ่มเป็นอย่างไรครับ ? แทนที่เขาจะรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต เขาทำไหมครับ ?
คำตอบของพระเยซูได้สร้างความหนักใจให้กับชีวิตของเขาอย่างมากถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 22 ได้บอกกับเราว่า เมื่อเศรษฐีหนุ่มเขาได้ยินคำนั้นใบหน้าของเขาก็สลดลง
เมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามของเขาเสร็จปฎิกิริยาต่อคำตอบของเศรษฐี
หนุ่มเป็นอย่างไรครับ ? เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขากลายเป็นคนเขลาไปเลย พระคำของพระเจ้าบันทึกเอาไว้ว่า แล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์ ซึ่งนั่นหมายความว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาก็เลือกหนทางของชีวิตที่ผิดพลาดในทันที
พี่น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า เศรษฐีหนุ่มต้องการอะไรครับ ? เขาต้องการชีวิตนิรันดร์ แต่เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ให้กับเขาแล้ว เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขากับปฎิเสธชีวิตนั้นทันที และสิ่งที่โง่เขลาที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำคือการปฎิเสธพระเยซูผู้ซึ่งเป็นแหล่งชีวิต
จาก Word of God ใน มก.10:17-22 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 4 เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาอยู่ใกล้พระเยซูก็จริง แต่เขาก็ยังห่างไกลจากพระเจ้าอยู่
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาวิ่งมาหาพระองค์และคุกเข่าอยู่ใกล้ๆพระองค์ ถ้าพูดถึงในทางภูมิศาสตร์จะว่าไปแล้วเศรษฐีหนุ่มคนนี้อยู่ห่างองค์พระเยซูคริสต์แค่คืบเท่านั้นเอง แต่ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณแล้วเศรษฐีหนุ่มคนนี้อยู่ห่างไกลพระเยซูอยู่มาก
ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่ามีบุคคลมากมายหลายคนที่ในภูมิศาสตร์แล้วเขานั้นยืนอยู่ใกล้ๆกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณแล้วเขาอยู่ห่างไกลพระเยซูอยู่มาก
ปีลาตก็เป็นคนหนึ่ง ที่มีโอกาสยืนใกล้ๆกับพระเยซู คุยกับพระเยซู อีกทั้งมีคำถามหลายคำถาม ถามต่อพระเยซู และปีลาตก็รู้สึกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดาๆ แต่ในตอนท้ายปีลาตก็ห่างไกลจากพระเยซู
ยูดาส อิสคาริโอท สาวก 1/12 สาวกก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเดินไปไหนมาไหนกับพระเยซู รับฟังคำสอนของพระเยซู เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำ เคยกินเคยนอนกับพระเยซู เคยจุบกับพระเยซู แต่ตอนท้ายเขาก็ห่างไกลไปจากพระเยซู
เศรษฐีหนุ่มคนนี้ก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก เขาได้วิ่งมาหาพระเยซูและคุกเข่าอยู่ใกล้ๆพระองค์ พี่น้องอยากทราบไหมครับว่า เมื่อเราวิ่งเข้ามาหาพระองค์และคุกเข่าอยู่ใกล้ๆพระองค์ พระองค์ทรงทำอย่างไรกับเรา พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา
เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจว่า ทุกครั้งที่เรามาหาพระองค์พระองค์จะทรงเพ่งดูเราด้วยความรักในตัวเรา แต่เมื่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ได้รับความรักจากพระเจ้าแล้ว ได้รับคำตอบจากพระเจ้าแล้ว เขากับหมุนตัวกลับและเดินจากพระเยซูไป และเบื้องหน้าของการหมุนตัวกลับและเดินจากพระเยซูไปของเศรษฐีหนุ่มคนนี้นั่นคือความมืดและความหมดหวังในการที่เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากในเวลานี้ที่มีผู้เชื่อมากมายหลายคนที่เขาได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว อีกทั้งได้รับความรักของพระเจ้าแล้ว และพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเขาแล้ว
ผู้เชื่อหลายคนเคยเข้ากลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ของคริสตจักรแล้ว หลายคนเคยรับบัพติสมาในน้ำแล้ว หลายคนเคยออกมารับการอธิษฐานเผื่อด้านหน้าเวทีหลายต่อหลายครั้งแล้ว และหลายคนก็หมุนตัวกลับ 180 องศาและเดินจากพระเยซูไป ซึ่งเบื้องหน้าของการหมุนตัวกลับและเดินจากพระเยซูไปของผู้เชื่อที่หลงหายคือการยืนอยู่ที่ประตูแห่งแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าแต่คนๆนั้นไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด
ซึ่งพี่น้องและผมสามารถที่จะผ่านความน่าเศร้านี้ไปได้โดยการมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ ซึ่งชีวิตนิรันดร์ คือ ชีวิตที่ได้รู้จักกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ 1 ยน. 5:12 ดังนั้นผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ดังนั้นให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา
ประการที่ 1 เขาเป็นเศรษฐีก็จริงแต่เขายังยากจนอยู่
ประการที่ 2 เศรษฐีหนุ่มเขาเป็นคนดีจริงแต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีนั่นเอง
ประการที่ 3 เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาเป็นคนฉลาดก็จริง แต่เขายังโง่อยู่
ประการที่ 4 เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาอยู่ใกล้พระเยซูก็จริง แต่เขาก็ยังห่างไกลจากพระเจ้าอยู่