พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า

ยน.14 : 8-11 ฟีลิปทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว"พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น"ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์จงเชื่อเราเถิดว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด

พี่น้องที่รักครับ 3 ศาสนาในใบโลกนี้ที่ต่างมีความเชื่อที่ตรงกันว่าโลกใบนี้นั้นมีพระเจ้านั้นประกอบไปด้วย ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนายิวหรือยูดาห์นั้น เขาต่างมีความเชื่อที่ตรงกันว่าโลกใบนี้นั้นมีพระเจ้า สิ่งที่แตกต่างกันนั่นก็คือว่า ศาสนาอิสลามและศาสนายิวหรือยูดาห์นั้น เขาไม่ได้เชื่อในความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พี่น้องจะต้องมีความเข้าใจให้ตรงกันนะครับ

ดังนั้นถ้ามีคนถามเราว่า รากฐานความเชื่อของคริสเตียนนั้นคืออะไร ? หนึ่งในคำตอบที่เราสามารถตอบคำถามของคนๆนั้นได้เลยนั่นก็คือว่า เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อีกทั้งเราไม่มีความสงสัยความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์และนี่เป็นหนึ่งในหลักข้อเชื่อที่สำคัญยิ่งของคริสเตียน

แต่ถ้ารากฐานความเชื่อของพี่น้องไม่ดี รากและต้นมันจะดีได้ไหมครับ ?

ดังนั้นรากกับต้นจึงต้องมีความสัมพันธ์กัน เราถึงจะเป็นคริสเตียนที่มีรากฐานที่ดีได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า 1) ต้นและผลแห่งความเชื่อของเรานั้นก็จะดีตามไปด้วย 2) เราจะเป็นคริสเตียนที่เติบโตและเกิดผลเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าฟิลิปนั้นเขามีความสงสัยในการเป็นพระเจ้าของพระเยซู เขาจึงทูลขอให้พระเยซูทรงสำแดงความเป็นพระเจ้าให้เขาได้เห็นอีกเพื่อที่เฟิลิปขาจะได้มีความมั่นใจในตัวขององค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น

องค์พระเยซูคริสต์จึงตรัสตอบกับฟิลิปว่า ฟิลิปเจ้าอยู่กับเรามาตั้งนานแล้ว เจ้ายังไม่เชื่ออีกหรือว่า เรานั้นทรงเป็นพระเจ้า

แล้วองค์พระเยซูคริสต์ตรัสกับฟิลิปต่อไปอีกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันฟิลิป เจ้าไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ว่าเรานั้นทรงเป็นพระเจ้า แต่ให้เจ้าจงพิจารณาถึงกิจการต่างๆที่เราได้กระทำมาแล้วและให้ท่านถามตัวท่านเองว่า สิ่งต่างๆที่เราได้กระทำนั้นมันมากพอไหมฟิลิป ที่ท่านจะเชื่อว่าเรานั้นอ่ะทรงเป็นพระเจ้า

พี่น้องทราบไหมครับว่า เฉพาะในพระธรรมยอห์นเพียงเล่มเดียว เริ่มตั้งแต่บทที่ 1-14 พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่ามีเหตุการณ์ต่างๆที่บ่งบอกถึงการที่องค์พระเยซูคริสต์นั้นทรงเป็นพระเจ้าเอาไว้ถึง 12 ประการด้วยกัน

ประการที่ 1 ยน1:43-51 รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา" ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ"นาธานาเอลถามเขาว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ" ฟีลิปตอบว่า "มาดูเถิด"พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัวเขาว่า "ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย"นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน"นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า "รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล"พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก"และพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"

พระเยซูทรงพบฟิลิปขณะที่เสด็จไปแคว้นกาลิลี หลังจากที่ฟิลิปได้พบกับพระองค์แล้ว ฟิลิปจึงได้ไปบอกกับนาธานาเอลว่าเขานั้นได้พบกับพระเจ้า อีกทั้งฟิลิปเขายังได้พานาธานาเอล มาพบกับพระเยซูคริสต์ด้วย เมื่อนาธานาเอลมาพบกับพระเยซูแล้ว พระเยซูคริสต์จึงตรัสกับเขาว่า ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกเจ้านั้นเราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อ

เมื่อทั้ง 2 คนได้ยินดังนั้นพวกเขาจึงตกใจ เขาตกใจว่าพระองค์ทรงรู้ได้อย่างไร และด้วยคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกเจ้านั้นเราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อ” นี่เอง จึงทำให้นาธานาเอล เรียกองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า รับบีหรือพระอาจารย์ในทันที

สิ่งนี้ทำให้เราทราบว่า 1)พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า 2) พระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคนก่อนที่มนุษย์นั้นจะรู้จักกับพระองค์ 3)ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร พระเจ้าทรงทราบตั้งแต่ต้นแล้ว ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงไม่สามารถที่จะซ่อนการกระทำของตนไปจากพระพักตร์ของพระองค์ได้

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับทั้ง 2 คนว่า ถ้าท่านทั้ง 2 คนติดตามเรา "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์" ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่านจะได้เห็นในเหตุการณ์ต่างๆที่ใหญ่กว่านี้อีกซึ่งมนุษย์นั้นทำไม่ได้แต่เราทำได้ และนี่เป็นเหตุการณ์ 1/12 เหตุการณ์ที่พระองค์ทรงสำแดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

ประการที่ 2 ยน.2-1-11 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานสมรสและการอัศจรรย์ที่บ้านคานา ซึ่งงานมงคลสมรสนี้ได้ผ่านไปแล้ว 2 วัน แต่พอในวันที่ 3 องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์นั้นกับเพิ่งเสด็จมา ซึ่งฟิลิปกับนาธานาเอลก็อยู่ที่งานมงคลสมรสนั้นด้วย

*พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่นชั้นดีได้

*พระเยซูก็สามารถที่จะเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นคนพิเศษได้

*พระเยซูก็สามารถที่จะเปลี่ยนคนบาปให้กลายเป็นคนชอบธรรมได้

                พี่น้องที่รักครับ สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ทำการอัศจรรย์เท่านั้นแต่เป็นการประกาศถึงพระสิริและประกาศถึงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย

                ประการที่ 3 ยน.4:13-19 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ

พี่น้องจำได้ใช่ไหมครับ ก่อนที่หญิงชาวสะมาเรียคนนี้จะได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เธอตกเป็นทาสของอารมณ์ มาก่อน พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าเธอมีผัวมาแล้ว 5 คน องค์พระเยซูคริสต์บอกกับเธอว่า คนที่อยู่ปัจจุบันก็ไม่ใช่ผัวของเธอ

พี่น้องที่รักครับ คำพูดขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคำนี้ทำให้เราทราบว่า พระองค์นั้น ทรงรู้ถึงมุมที่เลวร้ายของหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ อีกทั้งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรู้ถึงทุกแง่มุมที่เลวร้ายในชีวิตของพี่น้องและผมเป็นอย่างดีด้วยเช่นเดียวกัน

พี่น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า คนยิวนั้นแท้ที่จริงแล้วเขาจะไม่คบหากับคนสะมาเรีย แต่นี่เป็นสะมาเรียที่มีมากผัวด้วยยิ่งไม่น่าคบใหญ่เลย แต่การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถ่อมพระทัยโดยการนั่งคุยกับหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ เป็นภาพที่สะท้อนให้เราเห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปอย่างเราทั้งหลาย พระองค์ทรงเกียจบาปที่เราได้กระทำ แต่พระองค์ไม่ได้เกียจเรา ด้วยเหตุนี้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้เธอสามารถที่จะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าได้

                องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำนั้นว่า หญิงเอ๋ยน้ำของโลกนี้ซึ่งเปรียบได้ดั่ง เกียจ ลาภ ยศ คำสรรเสริญ วัตถุ สิ่งของ อำนาจ เงินตรา ความรักที่เจ้าค้นหา ถ้าเจ้าได้ดื่ม เจ้าก็จะยังไม่อิ่ม ไม่พอ เจ้าก็ยังจะกระหายอีก

                แต่น้ำที่เราจะให้เจ้าดื่มนั้น คือ น้ำแห่งชีวิตหรือน้ำธำรงชีวิต ในที่นี้ก็คือพระคำของพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ถ้าเจ้าได้ดื่มน้ำแห่งชีวิต น้ำนี้จะเติมเจ้าให้เต็มอิ่มและเจ้าจะไม่กระหายอีกเลย

                และคำตรัสนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งพี่น้องที่รัก ที่สำแดงถึงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์ เพราะไม่มีใครหรือผู้ใดที่จะมาเติมความหิวกระหายในฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่มนุษย์ได้

ประการที่ 4 ยน.4:49-53 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงรักษาบุตรชายของขุนนางคนหนึ่ง พระคำของพระเจ้าบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ขุนนางคนนี้ทูลกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า ขอให้พระองค์ช่วยไปดูลูกของเขาให้หน่อยก่อนที่บุตรของเขาจะตาย

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับขุนนางหรือข้าราชการท่านนี้ว่า จงกลับไปเถิด บุตรของท่านจะไม่ตาย

สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำใน Case นี้คืออะไรครับ ? พระองค์ทรงตรัสว่า ไม่ตาย โรคของบุตรข้าราชการคนนี้ก็หายดี สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า นี่ไม่ใช่เป็นการรักษาโรคแต่นี่คือการอัศจรรย์ และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระองค์ทรงสำแดงความเป็นพระเจ้าของพระองค์

ประการที่ 5 ยน.6:5-14 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงคน 5000 คน ซึ่งBB บันทึกเอาไว้ว่านับเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ซึ่งฟิลิปก็อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย องค์พระเยซูคริสต์เจ้าถามฟิลิปแบบทดสอบความคิด จิตใจและความเชื่อของฟิลิปดูว่า ฟิลิปจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

พระเยซูตรัสกับฟิลิปว่า เราจะทำอย่างไรดี ฟิลิปทูลพระองค์เงิน 200 เหรียญเดนาริอัล จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้ กินคนละคำยังไม่พอเลย

Andrew ได้ยินดังนี้จึงทูลพระองค์ว่า มีเด็กคนหนึ่งเขามีขนมปังบาร์เลย 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว พอจะทำอะไรได้บ้างไหมพระองค์เจ้าข้า

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงขอสิ่งนั้นจากเด็ก ครั้นเมื่อโมทนาขอบคุณพระเจ้าแล้ว การทวีคูณเกิดขึ้นในทันที องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ให้ทุกคนกินได้ตามที่ใจปรารถนา นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสำแดงความเป็นพระเจ้าของพระองค์

แต่ที่มากกว่านั้นที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนเรานั่นก็คำตรัสที่ว่า จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่นหลายคนตีความว่า พระองค์ทรงสอนให้เราประหยัดใช่หรือไม่ ?

แท้จริงแล้วพระองค์ต้องการที่จะสอนเราว่า ให้เรานั้นเห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ต่างหาก เช่น ความรอดที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรานั้น เราเห็นคุณค่าบ้างไหม ?

ประการที่ 6 ยน.6:16-21 เป็นเรื่องราวที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเดินอยู่บนผิวน้ำในทะเลสาบ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถที่จะเดินอยู่บนผิวน้ำนั้นได้ ซึ่งสาวกของพระองค์รวมถึงฟิลิปก็อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย

ดังนั้นพระคำของพระเจ้าตอนนี้ จึงเป็นอีกตอนหนึ่งที่ทำให้เราเห็นถึง 1) การทรงสำแดงอำนาจของพระเจ้าที่ทรงอยู่เหนือธรรมชาติ หรือ 2 ) ทำให้เราเห็นถึงการทรงสำแดงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 7 ยน.6:63,68-69 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับถ้อยคำที่ให้ชีวิต

(63)จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต (68)ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์(69)และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์วิสุทธิ์ของพระเจ้า"

พี่น้องที่รักครับ คำสอนในศาสนาต่างๆนั้นเป็นคำสอนที่ดีแต่สาเหตุที่คนในศาสนิกต่างๆไม่สามารถที่จะทำตามคำสอนนั้นได้ เหตุเพราะคำสอนในศาสนาอื่นๆนั้นขาดความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์และขาดฤทธิ์เดชของพระเจ้า

คำว่า ศักดิ์สิทธิ์ ในทางของพระเจ้านั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปหาซื้อสร้อยคอไม้กางเขน แล้วนำมาห้อยคอของเราแล้วนั่นถึงจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์อันนั้นไม่ใช่นะครับ

แต่คำว่า ศักดิ์สิทธิ์ ในทางของพระเจ้าคือ การที่เรานั้นอ่านพระคำของพระเจ้าแล้ว พระคำของพระเจ้าสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆนั้นได้ และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในไหลสู่ภายนอก ภาษา Eng ใช้คำว่าFrom inside Out นี่คือความหมายของ คำว่าศักดิ์สิทธิ์ ในทางของคริสเตียน

พระคำของพระเจ้าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์และสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้เพราะเป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้งไม่ใช่เพียงแค่ให้ปัญญาหรือให้ข้อแนะ แนวคิดในการดำเนินชีวิตของมนุษย์เท่านั้น แต่พระคำของพระเจ้านั้นแตะที่ใจ สัมผัสไปถึงจิตวิญญาณ แทงเข้าไปในข้อและไขในกระดูก ทะลุทะลวงเข้าไปแม้กระทั่งในจิตวิญญาณของเรา

เพราะฉะนั้นคนที่เชื่อในพระเจ้าจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่โดยถ้อยคำของพระองค์ เหมือนกับหญิงชาวสะมาเรียที่ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่บ่อน้ำนั้น ที่ได้ยินถ้อยคำขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว เขาอยากที่จะเลิกเป็นชู้กับผัวของคนอื่นและนี่คือการสำแดงความเป็นพระเจ้าอย่างหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์

ส่วนคนที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้วชีวิตของเขายังไม่เปลี่ยนนั่นเป็นเพราะว่า เขาไม่ได้อ่านพระคำของพระเจ้า เมื่อเขาไม่ได้อ่านพระคำของพระเจ้าแล้ว พระคำของพระเจ้าจะแตะใจหรือสัมผัสใจของเขาไหมครับพี่น้อง ?

ประการที่ 8 ยน.8:3-11 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับฐานล่วงประเวณี ซึ่งโดยแท้จริงแล้วพวกฟาริสีธรรมาจารย์ เขาต้องการที่จะจับผิดพระเยซูผ่านการกระทำความผิดของหญิงล่วงประเวณีคนนี้เท่านั้น

แท้ที่จริงแล้วองค์พระเยซูคริสต์สามารถที่จะพิพากษาความผิดนี้ได้ แต่ทำไมพระองค์ถึงเลือกที่จะเขียนความผิดนั้นลงที่ดิน และคำถามที่ผู้เชื่อส่วนมากชอบถามกันนั่นก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเขียนอะไรและมีความหมายอย่างไร ?

พระองค์ทรงเขียนคำว่า ในมนุษย์ปราศจากความยุติธรรม เพราะการล่วงประเวณีต้องกระทำกันกี่ฝ่ายครับ แต่พวกฟาริสีธรรมาจารย์กับจับผู้หญิงมาเพียงฝ่ายเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

และการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเลือกเขียนข้อความลงที่พื้นดินมีความหมายในฝ่ายจิตวิญญาณว่า 1)พระเจ้านั้นทรงรัก และทรงความเมตตาต่อมนุษย์ 2)ความผิดบาปนั้นสามารถที่จะลบล้างหรือได้รับการอภัยได้

การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับพวกฟาริสีและธรรมจารย์รวมถึงพวกคนที่มามุงดูในเหตุการณ์นั้นว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน 8แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก 9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์”

ข้อที่ 8 เป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เราเห็นถึงวิธีการในการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้

ข้อที่ 9 เป็นสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจด้วยว่า พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความผิดบาปและผู้ที่จะยกโทษความผิดบาปให้กับมนุษย์ได้นั้นมีพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นจริงๆ และนี่คือการสำแดงความเป็นพระเจ้าอย่างหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 9 ยน.9:1-3,6-7 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายดี ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นทำไม่ได้เลย แต่พระเจ้านั้นทรงทำได้และนี่คือการสำแดงความเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์

แต่พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า มีผู้รับใช้ของพระเจ้าอีกท่านหนึ่ง ท่านนี้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในระหว่างเดินทางไปดามัสกัส ท่านนี้คือใครครับ ? อ.เปาโล

สมัยที่ อ.เปาโล ยังตาดีอยู่นั้นท่านมองไม่เห็นพระเยซูคริสต์ แต่เมื่อพระเจ้าทรงทำให้ตาในฝ่ายร่างกายของ อ.เปาโล นั้นบอดชั่วคราว แต่ตาใจของท่าน อ. เปาโล นั้นได้ถูกเปิดออก

และเมื่อท่าน อ.เปาโล ได้รับการรักษาให้มองเห็นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ภายหลังจากนั้น อ.เปาโล เป็นอย่างไรครับ ? ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วยความเข้มแข็ง

ด้วยเหตุนี้ อ.เปาโล จึงกล่าวเอาไว้ในหนังสือ อฟ.1:18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร

ซึ่งนั่นหมายความว่า คริสเตียนเรามีกี่ตาครับ ? มี 2 ตาคือตาในฝ่ายร่างกายและมีตาในฝ่ายจิตวิญญาณและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ปรารถนาที่จะให้เราใช้ทั้ง 2 ตานั้นแหละ ตาหนึ่งก็ใช้มองในฝ่ายกายภาพ อีกตาหนึ่งก็ใช้มองในฝ่ายจิตวิญญาณ

และเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถที่จะมองด้วยตาของมนุษย์ได้ ดังนั้นเราต้องมองด้วยตาใจ คือ มองด้วยความเชื่อ ความหวังและมองด้วยความศรัทธาที่เรามีในพระเจ้า

ในฝ่ายร่างกาย คนตาคนบอดนี้เขาบอดจริง แต่ตาใจของเขานั้นไม่ได้บอดด้วย ตาใจของเขานั้นมองด้วยความเชื่อ ความหวังและด้วยความศรัทธาว่า วันหนึ่งถ้าเขาได้พบกับเยซูบุตรดาวิดเขาจะไม่พลาดจากวินาทีนั้น

ผมปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าที่คริสตจักรแห่งนี้ผมได้รับค่าตอบแทนน้อยมาก ซึ่งถ้าผมใช้ตาในฝ่ายมนุษย์มองไปที่บนกระดานสิบลดทำให้ผมรู้สึกเครียดมากไหมครับ

แต่ที่ผมยังรับใช้พระเจ้าอยู่ได้ เพราะผมใช้ตาใจของผมมอง มองด้วยความเชื่อ ความหวังและมองด้วยความศรัทธาที่ผมและครอบครัวนั้นมีในพระเจ้า

ประการที่ 10 ยน.11:1-44 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการมรณกรรมของลาซารัส ซึ่งพระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ลาซารัสได้ตายไปแล้วและเขาถูกนำไปฝังไว้ที่อุโมงค์นานถึง 4 วันแล้ว

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า ที่อุโมงค์ฝังศพนั้นมีคนที่ตายไปแล้วเยอะแยะมากมาย ในกรณีนี้พระองค์ไม่ได้เรียกคนตายทุกคนให้ฟื้น แต่พระองค์ทรงเรียกลาซารัสเพียงคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นการเรียกในครั้งนี้จึงเป็นการเรียกอย่างเฉพาะเจาะจง ส่วนคนอื่นที่นอนตายอยู่นั้นก็คงให้นอนตายอยู่อย่างนั้นต่อไปภาพนี้ทำให้เราได้เห็นว่า

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงเรียกชื่อเราและขานชื่อเราให้ฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายและเฉพาะผู้ที่มีชื่อที่ถูกจดเอาไว้ในหนังสือม้วนหรือหนังสือแห่งชีวิตเท่านั้นที่จะได้ใช้ชีวิตที่เป็นอมตะร่วมกันกับพระองค์

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกลาซารัสซึ่งตายไปแล้วและฝังที่อุโมงค์ฝังศพนานถึง 4 วัน ลาซารัสก็เดินออกมาจากอุโมงค์นั้นโดยมีผ้าพันหน้า พันมือ พันท้ายติดตัวเขาออกมาด้วยและนี่คือการสำแดงความเป็นพระเจ้าอย่างหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 11 ยน.13:12-15 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงล้างเท้ามนุษย์ พระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกกับเราว่า พระองค์ทรงวางแบบ

กจ.1:1 พระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการเอาไว้เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย ทั้งในการเทศนาสั่งสอนทั้งในการดำเนินชีวิต

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้ตระหนักว่า ทุกสิ่งอย่างที่ดีนั้นล้วนเป็นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น

คำถามคือว่า พระองค์ทรงวางแบบอย่างอะไรเอาไว้ ? คำตอบคือ ความถ่อมใจที่เกินกว่ามนุษย์นั้นจะทำได้

พี่น้องทราบใช่ไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นใครหรือเป็นผู้ใด ? เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เป็นราชาเหนือราชา เป็นพระเหนือพระทั้งปวง เป็นบรมครู เป็นพระอาจารย์

คำถามคือว่า มีกษัตริย์ มีพระราชา มีเจ้าอาวาส มีเกจิอาจารย์ประเทศไหนบ้างไหมในโลกใบนี้ที่เป็นเหมือนดั่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และนี่คือการสำแดงความเป็นพระเจ้าอย่างหนึ่งขององค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 12 ยน.14:1-3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนทางไปสู่พระบิดา องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า เราไปจัดเตรียมที่บนแผ่นดินสวรรค์เอาไว้ให้กับท่านทั้งหลาย

คำถามคือว่า มีคำสอนในศาสนาไหนบ้างหรือมีศาสดาหรือผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณคนไหนบ้างไหมครับ ? ที่จะออกมาพูดและกล้าให้คำมั่นสัญญากับคนในความเชื่อของตนได้อย่างหนักแน่นมั่นคงได้เหมือนดั่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

เหตุที่เขาไม่กล้าออกมาให้คำมั่นสัญญากับคนในความเชื่อของตน เพราะเขาไม่ใช่เจ้าของฟ้าสวรรค์แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินสวรรค์ พระองค์จึงกล้าที่จะบอกกับเราว่า

ถ้าเจ้ารับเราด้วยปากและเชื่อด้วยใจของเจ้าว่าเรานั้นทรงเป็นพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า เราจะไปจัดเตรียมนิเวศน์หรือว่าบ้านบนแผ่นดินสวรรค์เอาไว้ให้กับเจ้า

ด้วยเหตุนี้คริสเตียนเราจึงไม่จัดให้มีการทำบุญส่งข้าวปลาอาหารหรือส่งอะไรต่อมิอะไรไปให้กับคนตายทั้งสิ้นเพราะบนแผ่นดินสวรรค์นั้นมีพร้อมสรรพ สมบูรณ์พูนสุขแล้ว ครบถ้วนแล้วคำพูดที่ว่านี้สำแดงถึงความเป็นพระเจ้าอย่างหนึ่งของพระองค์

                ดังนั้นการที่ฟิลิปทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว"องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตอบว่า ฟิลิปถ้าเจ้าไม่เชื่อในเราไม่เป็นไร แต่เจ้าเชื่อในสิ่งที่เราได้กระทำมาจะได้ไหมว่า เรานั้นทรงเป็นพระเจ้า

และจากข้อพระคัมภีร์ที่ผมยกมาทั้ง 12 ข้อจากพระธรรมยอห์นเพียงเล่มเดียวและยกมาเพียงแค่ 14 บทนั้นพี่น้องพอที่จะเชื่อได้หรือยังว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

                อย่าให้เราเป็นเหมือนกับฟิลิปในตอนนี้ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสำแดงและเปิดเผยอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่างให้เขานั้นได้เห็น แล้วเขายังถามพระเยซูอยู่ได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆหรือ

พี่น้องที่รักครับ ลูกที่ดีของพระเจ้านั้นไม่จำเป็นจะต้องให้พระเจ้านั้นต้องสำแดงนู่น นี่ นั่น ให้ครบเสียก่อนถึงจะเชื่อว่าพระคริสต์นั้นทรงเป็นพระเจ้า

แต่ลูกที่ดีของพระเจ้าเพียงแค่เรามีประสบการณ์กับพระองค์แบบวันต่อวันก็สมควรแล้วที่เราจะเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

และประสบการณ์ที่เรามีในพระองค์ในแต่ละวันนั้นมันเพียงพอหรือไม่ ที่จะทำให้เรานั้น รักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด

ประการที่สำคัญ คำพูดนี้องค์พระเยซูคริสต์ไม่ได้ต้องการที่จะพูดกับฟิลิปเพียงคนเดียวเท่านั้นนะครับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่พระองค์ต้องการที่จะพูดกับทุกๆคนในโลกใบนี้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เพียงแต่ในเวลานี้พระองค์เสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาของพระองค์บนสวรรค์ เราพร้อมที่จะพูดให้กับคนอื่นๆได้ฟังแทนพระองค์หรือไม่ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

Green City