พระเยซูเครื่องบูชาจากสวรรค์
มธ.27:27-56 พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์ไว้
28 และพวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ 29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า "กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ" 30 แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ 31 เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน 32 ขณะที่พวกเขาออกไปนั้น เขาได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาจึงเกณฑ์คนนั้นให้แบกกางเขนของพระองค์ไป 33 เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ34 เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย
35 ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับสลากแบ่งปันกันเพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะโดยศาสดาพยากรณ์ซึ่งว่า `เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับสลากกัน' 36 แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น
37 และได้เอาถ้อยคำข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า "ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชนชาติยิว" 38 คราวนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง 39 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา 40 กล่าวว่า "เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด" 41 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เช่นกันว่า 42 "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา
43 เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็ให้พระองค์ทรงช่วยเขาให้รอดเดี๋ยวนี้เถิด ด้วยเขาได้กล่าวว่า `เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า'" 44 ถึงโจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์เหมือนกัน 45 แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง 46 ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" 47 บางคนในพวกที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า "คนนี้เรียกเอลียาห์" 48 ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย
49 แต่คนอื่นร้องว่า "อย่าเพิ่ง ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่" 50 ฝ่ายพระเยซู เมื่อพระองค์ร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง ก็ทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป 51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน 52 อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของพวกวิสุทธิชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา 53 ภายหลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏแก่คนเป็นอันมาก 54 บัดนี้ เมื่อนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกันได้เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งบังเกิดขึ้น ก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า" 55 ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีเพื่อปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล 56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเสส และมารดาของบุตรเศเบดี และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “พระเยซูเครื่องบูชาจากสวรรค์”
พี่น้องที่รักครับ ถ้ามีคนถามพี่น้องว่าในโลกใบนี้ มันมีอะไรบ้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พี่น้องจะตอบเขาว่าอย่างไรครับ ? ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เราจะต้องตอบคำถามนี้ให้ได้นะครับว่า ในโลกใบนี้มี 3 สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งแรกคือ 1.พระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง 2.ความรักของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง 3.พระสัญญาของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
นอกเหนือจากที่กล่าวมา นั่นหมายความว่า ทุกๆสรรพสิ่งในโลกใบนี้นั้นมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่โดยตลอดเวลา พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเรานะครับว่า ในสมัยของอาดำ-เอวา มนุษย์ใช้เท้าเป็นพาหนะในการเดินทาง
แต่พอมาในสมัยของโนอาห์ พระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระเจ้าทรงให้โนอาห์ใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทาง ในสมัยต่อๆมามนุษย์เริ่มที่จะมีวิวัฒนาการมากขึ้น Ex. เช่น มนุษย์เริ่มใช้เครื่องทุ่นแรง โดยใช้อูฐและใช้ลาเป็นพาหนะ และมนุษย์เริ่มมีรถม้าเป็นพาหนะในการเดินทางในสมัยของอียิปต์
ซึ่งในสมัยต่อๆมาก็พัฒนาเป็นเครื่องยนต์กลไก พร้อมๆกับมีเทคโนโลยีที่ถูกผลิตออกมาใช้งานในทุกยุคทุกสมัยจนถึงในเวลานี้และในอนาคต อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีที่เราว่าทันสมัยแล้ว ในอีกไม่นานมันก็จะต้องตกรุ่นไป เพราะมันจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆออกมาอยู่โดยตลอด
สิ่งที่พระคำของพระเจ้าเจ้าต้องการที่บอกกับพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ในขณะที่มนุษย์มีวิวัฒนาการใหม่ๆออกมาอย่างไม่เคยหยุดยั้ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนั่นก็คือ กมลสันดานของมนุษย์ในการที่จะหยุดทำในเรื่องความผิดบาป
ความรู้ทางโลก ปัญญาทางโลก วิวัฒนาการทางโลก เทคโนโลยีทางโลก ที่ผมได้กล่าวไปทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้ ไม่สามารถที่จะหยุดให้มนุษย์ที่จะกระทำความบาปได้ จริงหรือไม่จริงครับพี่น้อง ?
ความรู้ทางโลก ปัญญาทางโลก วิวัฒนาการทางโลก เทคโนโลยีทางโลก นอกจากไม่สามารถที่จะหยุดมนุษย์ไม่ให้ทำบาปได้แล้ว มนุษย์ยังทำสิ่งที่ชั่วได้ใหม่ๆเสมออีกด้วยพี่น้องว่าจริงหรือไม่ ?
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า โรคบาปนั้นเป็นโรคฝ่ายวิญญาณ
ความรู้ทางโลก ปัญญาทางโลก วิวัฒนาการทางโลก เทคโนโลยีทางโลกไม่สามารถที่จะเข้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณได้
1 คร.1:20-21 คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาของโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ 21 เพราะตามเรื่องที่เป็นพระสติปัญญาของพระเจ้าแล้ว โลกจะรู้จักพระเจ้าโดยปัญญาไม่ได้ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยการเทศนาที่โง่เขลานั้น
พี่น้องที่รักครับ คำเทศน์ คำสอนของศาสดาในโลกนี้ฟังดูเพราะเสนาะหู อีกทั้งคำสอนของนักปราชญาต่างๆก็ดูดีมีเหตุมีผล Ex.ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำบุญตักบาตร , การไปกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่น นี่ นู่น , การไปแสวงหาวัตถุมงคล , การไปปล่อยนก , ปลา , เต่า , ตะพาบน้ำ , การไปเข้าสู่พิธีกรรมต่างๆทางศาสนาเยอะแยะมากมาย
สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่า ผมต้องการที่จะไปลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่นนะครับ แท้จริงเราให้เกียรติกับทุกศาสนา เราไม่ดูหมิ่นดูแคลนกัน แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนั่นก็คือว่า กิจกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งมนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้มนุษย์นั้นกลับไปสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้
คำถามกิจกรรมต่างๆที่กล่าวมานั้นสามารถที่จะเปลี่ยนนิสัยบาปของมนุษย์ได้ไหม ? Ex. 1.พี่น้องเคยเห็นคนไปไหว้พระไหว้เจ้ามาแล้วออกมาหาเบอร์ที่แผง Lottery บ้างมีไหมครับ ? 2. พี่น้องเคยเห็นคนถือศีลกินเจแล้วอย่างสูบบุหรี่กินเหล้าในโรงเจบ้างมีไหมครับ ?
กิจกรรมต่างๆเหล่านั้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนนิสัยบาปของมนุษย์ได้ เพราะภายหลังจาก อาดำ-เอวา ได้ล้มลงในความบาปจิตวิญญาณของมนุษย์จึงมีพิษของมารผสมอยู่ด้วย
ดังนั้นพี่น้องจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมมนุษย์ถึงทำดีได้ไม่นานแล้วก็ไปทำสิ่งที่ไม่ดีได้ในเวลาไม่นานเพราะจิตวิญญาณของมนุษย์มีพิษของมารผสมอยู่ด้วย ผู้ที่จะเปลี่ยนนิสัยบาปของมนุษย์ได้หรือถอนพิษร้ายของมารนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆนั่นก็คือ พระผู้ที่เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา
ฮบ.9:1-10 แท้จริงถึงแม้พันธสัญญาเดิมนั้นก็ยังได้มีกฎสำหรับการปรนนิบัติในพิธีนมัสการ และได้มีสถานอันบริสุทธิ์สำหรับโลกนี้ 2 เพราะว่าได้มีพลับพลาสร้างขึ้นตกแต่งเสร็จแล้ว คือห้องชั้นนอก ซึ่งมีคันประทีป โต๊ะ และขนมปังหน้าพระพักตร์ ห้องนี้เรียกว่าที่บริสุทธิ์ 3 และภายในม่านชั้นที่สองมีห้องพลับพลาซึ่งเรียกว่า ที่บริสุทธิ์ที่สุด 4 ห้องนั้นมีแท่นทองคำสำหรับถวายเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำทุกด้าน ในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อ และมีแผ่นศิลาพันธสัญญา 5 และเหนือหีบนั้นมีรูปเครูบแห่งสง่าราศีคลุมพระที่นั่งพระกรุณานั้น สิ่งเหล่านี้เราจะพรรณนาให้ละเอียดในที่นี้ไม่ได้ 6 แล้วเมื่อจัดตั้งสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างนั้นแล้ว พวกปุโรหิตก็เข้าไปในพลับพลาห้องที่หนึ่งทุกครั้งที่ปรนนิบัติพระเจ้า 7 แต่ในห้องที่สองนั้นมีมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเอง และเพื่อความผิดของประชาชนด้วย
8 อย่างนั้นแหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงว่า ทางซึ่งจะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้นไม่ได้ปรากฏแจ้ง คราวเมื่อพลับพลาเดิมยังตั้งอยู่ 9 พลับพลาเดิมเป็นเครื่องเปรียบสำหรับในเวลานั้น คือมีการถวายของให้และเครื่องบูชา ซึ่งจะกระทำให้ใจวินิจฉัยผิดและชอบของผู้ถวายนั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้ 10 ซึ่งเป็นแต่เพียงของกินของดื่ม และพิธีชำระล้างต่างๆ และเป็นพิธีสำหรับเนื้อหนังที่ได้บัญญัติไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่
พระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้ บอกกับเราว่านี่ไม่ใช่เป็นพิธีกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่เป็นพิธีกรรมที่พระเจ้าได้กำหนดลงมาและมอบให้กับคนยิวในการที่คนยิวนั้นจะกลับไปหาพระองค์ได้
พระคำของพระเจ้าในฮบ.9:1-10 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่จะมาถวายเครื่องบูชาหรือของกำนัลให้กับพระเจ้านั้น ไม่ใช่มาถวายเครื่องบูชาหรือของกำนัลต่อพระเจ้าเป็นแบบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ต้องมาถวายแด่พระเจ้าด้วยหัวใจที่สำนึกผิดต่อพระเจ้าด้วย
คำถามก็คือว่า พี่น้องคิดว่าจะมีคนยิวสักกี่คนที่จะมาถวายเครื่องบูชาหรือถวายของกำนัลแด่พระเจ้า ด้วยท่าทีที่ถูกต้องตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดเอาไว้ให้อย่างนี้ได้
การถวายเครื่องบูชาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้กับคนยิวถวายแด่พระองค์นั้น คนยิวยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับการการถวายเครื่องบูชาหรือการบวงสรวงและกิจกรรมอื่นๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งกระทำกันแบบสุกๆดิบๆ รีบๆร้อนๆ พี่น้องคิดว่ามันจะทำให้มนุษย์กลับไปสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ?
ด้วยเหตุนี้ไงครับพี่น้องที่รัก ผมจึงได้เคยให้คำนิยามแก่พี่น้องเอาไว้ว่า
นิยามของคำว่า“ศาสนา” คือ ความพยายามของมนุษย์ที่จะกลับไปหาพระเจ้า
ส่วนนิยามของคำว่า “ข่าวประเสริฐ” คือ ความพยายามของพระเจ้าที่เข้ามาหามนุษย์
และสาเหตุที่พระองค์ต้องเข้ามาหามนุษย์เพราะความดีทั้งหมดที่มนุษย์ทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อาจจะเปรียบได้เหมือนพละกำลังของมนุษย์ก็ได้ มันไม่มีพละกำลังมากพอที่จะทำให้มนุษย์นั้นกลับไปถึงแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ส่งเครื่องบูชาจากสวรรค์นั่นก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าลงมาสู่โลกซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมากที่สุดเท่าที่โลกนี้ได้มีการลงทุนมาก
พระคำของพระเจ้าใน มธ.27:27 ตรัสว่า พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไป แท้ที่จริงแล้วทหารเหล่านี้หลายคนเคยได้ยินและได้เห็นถึงสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำ อีกทั้งมีทหารบางคนที่เขาก็เคยได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์จากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วย ให้ที่ประชุมดูจาก ลก.22:50-53 และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด 51 แต่พระเยซูตรัสว่า "พอเสียทีเถอะ" แล้วพระองค์ทรงถูกต้องใบหูคนนั้นให้เขาหาย
52 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่พวกปุโรหิตใหญ่ พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบถือตะบองออกมา 53 เมื่อเราอยู่กับท่านทั้งหลายในพระวิหารทุกๆวัน ท่านก็มิได้ยื่นมือออกจับเรา แต่เวลานี้เป็นทีของท่านและเป็นอำนาจแห่งความมืด"
พี่น้องที่รักครับ ทหารคนที่เขาได้รับการต่อใบหูอย่างอัศจรรย์จากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างสดๆร้อนๆในตอนนี้ แทนที่เขาจะปกป้ององค์พระเยซูคริสต์เจ้า
แต่เมื่อเขาได้รับการต่อใบหูแล้วอย่างเป็นปกติแลว้เขายังสามารถที่จะจับกุมพระเยซูต่อไปได้นั้น นั่นเป็นเพราะในเวลานั้น มาร ซาตาน มันได้ครอบครองความคิดจิตใจของมนุษย์อย่างเต็มขนาดแล้ว ให้เรามาดูในสิ่งที่พวกทหารทำกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่ามีอะไรบ้างอยู่ในข้อที่ 27-31 ?
1.พวกเขาเปลื้องฉลองของพระองค์ออก (แต่ไม่ใช่เปลือยกายนะครับ) 2.พวกเขาเอาหนามมาสานเป็นมงกุฏสวมพระเศียรของพระองค์ 3.พวกเขาเอาไม้อ้อให้พระองค์ถือในมือ 4.พวกเขาเยาะเย้ย ถ่มน้ำลาย และเอาไม้อ้อนั้นมาตีที่พระเศียรของพระองค์ 5.พวกเขาเอาพระองค์ไปตรึงที่กางเขน
เพื่อให้พี่น้องเห็นภาพที่ชัดเจน ผมขออนุญาตที่จะเปรียบเทียบขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ทั้งแบบในทางโลกและในทางของคริสเตียนด้วยนะครับ
ขั้นตอนที่ 1-4 เปรียบเทียบแบบทางโลก ภาพนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการทารุณกรรมสัตว์ ส่วนขั้นตอนที่ 5 คือ เอาสัตว์มาเข้าซองแล้วฆ่า
ขั้นตอนที่ 1-4 เปรียบเทียบแบบทางของคริสเตียน พระองค์ทรงรับ 1.ความอับอายแทนเรา 2. การทนทุกข์ทรมานแทนเรา 3. รอยแผลเฆี่ยนและการเจ็บปวดแทนเรา 4.การถูกเยาะเย้ยแทนเรา 5. การถูกพิพากษาแทนเรา
ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจว่าบนเส้นทางที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เดินในตอนนี้นั้น 1.พระองค์ทรงชดใช้หนี้และรับความผิดบาป แทนเราหมดเรียบร้อยแล้ว 2.พระองค์ทรงปลดปล่อยให้เรามีอิสระ มีเสรีภาพ มีความเป็นไท ดังนั้นเราจึงไม่ตกเป็นทาสของมาร ซาตานอีกต่อไป
พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามาสะบักธานี" แปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย"
พี่น้องที่รักครับ พระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มมีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้า พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั้น พระทรงอยู่พร้อมกันเสมอ มีเพียงตอนนี้ตอนเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นแยกออกจากพระบุตร
คำถามคือว่า ทำไมพระบิดากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงแยกออกจากพระบุตร ? คำตอบคือ เพราะว่าพระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปของมนุษย์ตั้งแต่คู่แรกของโลกจนถึงคนสุดท้ายของโลกมาไว้ที่พระองค์
สภาพขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้จึงน่าเกียจมากที่สุดแม้กระทั่งพระบิดาก็ยังทนดูไม่ได้ แต่พระองค์ก็ทรงยอมเพราะพระองค์รู้ว่าพละกำลังของมนุษย์ทำในเรื่องนี้ไมได้เลย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงต้องนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไปในที่วิสุทธิสถานและทรงสำเร็จการไถ่บาปนิรันดร์
พระคำของพระเจ้าตรัสว่า 51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน
ระหว่าง “มนุษย์กับพระเจ้า” นั้นมันมีม่านของสวรรค์กั้นอยู่ม่านกั้นห้องระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถานนั้นมีความหนาเป็นอย่างมาก สะท้อนให้เราเห็นถึงความบาปของมนุษย์กับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่า มันไปด้วยกันไม่ได้
คนที่จะผ่านม่านเข้าไปที่อภิสุทธิสถานได้นั้นมีเพียงมหาปุโรหิตย์ที่ได้รับการแต่งตั้งหรือได้รับการอนุญาตจากพระเจ้าเท่านั้นและเข้าไปได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเรานั่นก็คือว่า การทำดีย่อมได้ดี 1.แต่คุณจะทะลุผ้าม่านนั้นด้วยตัวของคุณเองไม่ได้แต่คุณจะต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแผ่นดินสวรรค์ก่อน
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าม่านขาดจากบนลงล่าง หมายความว่า ความดีไม่สามารถทำให้ประตูสวรรค์เปิดออกได้ แต่การสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ทำให้ประตูสวรรค์ถูกเปิดออก มนุษย์จะได้รับความรอดและเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น
กจ.4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"
ถ้าเราเข้าใจพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ พี่น้องก็จะพบว่านี่เป็นเครื่องบูชาจากสวรรค์จริงๆ ที่บริสุทธิ์จริงๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ที่ขลังจริงๆ ด้วยเหตุนี้คริสเตียนเราไม่จำเป็นจะต้องไปเสาะแสวงหาเครื่องรางของขลังหรือสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า พระองค์ไม่ได้เพียงแค่ถวายตัวของพระองค์เป็นเครื่องบูชาเท่านั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าให้สาวกของพระองค์ได้เห็น
เมื่อสาวกทั้ง 11 คนของพระองค์ได้เห็นพระอาจารย์ของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาต่างถวายตัวและอุทิศตัวของพวกเขาในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าอย่างเข้มแข็ง ซึ่งพระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้ในสิ่งที่สาวกได้ทรงกระทำเอาไว้ในหนังสือกิจการ
เราเองถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นการฟื้นและการเป็นขึ้นมาจากความตายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเหมือนอย่างสาวกของพระองค์เมื่อ 2018 ที่ผ่านมาก็ตาม แต่เราก็เชื่อว่าพระเจ้าคือพระวาทะ เราเชื่อว่าพระวาทะคือพระเจ้า เราเชื่อว่าพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์
เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าและพระวาทะ และพระวาทะของพระเจ้าใน
รม.12:1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการปรนนิบัติอันสมควรของท่านทั้งหลาย
เราเองก็ควรที่จะถวายตัวของเราให้เป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันอีกทั้งมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อการไถ่ของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อเราทั้งหลายนั้นจะไม่สูญเปล่าแต่กับคุ้มค่าในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำเพื่อเราทุกคน
โดยเฉพาะในยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้วพี่น้องที่รัก ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้แล้วเพียงแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง นี่เป็นโอกาสทอง เป็นนาทีทองที่เราจะสะสมสิ่งที่นิรันดร์ในกาลอนาคตผ่านปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าวันนี้ อาเมน ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน