พลังแห่งศรัทธา

คำเทศนาเรื่อง พลังแห่งศรัทธา

อ่าน ลก.4:16-30 , ยน.4:1-42 , ยน.4:43-54 และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่าพลังแห่งศรัทธา

มีคำพูดคำหนึ่ง ที่คนชอบพูดกัน นั่นก็คือคำว่า ศาสนาไหนก็เหมือนกันขอให้เชื่อจริงๆเถอะหรือขอให้ศรัทธาจริงๆเถอะก็ได้ไปสวรรค์เหมือนกัน พี่น้องคิดว่าคำพูดนี้เป็นจริงหรือไม่ครับ ?

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อจากนี้ไปพอเวลาเราป่วย เป็นไข้ไม่สบาย พอเวลาเภสัชถามเราว่า เราเป็นอะไรมา เราจะตอบเภสัชอย่างนี้ไหมครับว่า ยาอะไรก็ได้เอามาเถอะ กินเข้าไปก็เหมือนกันนั่นแหละ ? เราคงจะไปพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันจะเป็นภัยต่อชีวิตของเรา

ดังนั้นเภสัชกรเขาจะต้องถามอาการของพี่น้องก่อนว่าเราเป็นอะไรมา ทั้งนี้เพื่อที่เขาจะได้จ่ายยาตามโรคที่พี่น้องเจ็บไข้ได้ป่วยมาได้อย่างถูกต้อง

ดังนั้นการที่เราจะเชื่อหรือจะศรัทธาสิ่งใดก็ตามพี่น้องที่รักครับ เราจะต้องเชื่อในศาสนาที่จริงและถูกต้องซึ่งมันจะส่งผลต่อชีวิตของเราทั้งในวันนี้ วันหน้าและในกาลอนาคต

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันใน มก.6:1-6 เราพบอะไร ? เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เสด็จเข้าไปหมู่บ้านของพระองค์คือนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี ซึ่งนสซาเร็ธนี้เป็นหมู่บ้านที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถือกำเนิดและเติบโตขึ้นมาที่นี่อีกทั้งพระองค์ทรงมีถิ่นฐานทำกินที่นี่ด้วยนั่นก็คือพระองค์ทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย

แต่การกลับเข้ามาในหมู่บ้านขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในครั้งนี้ พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากผู้นำทางศาสนาหรือได้รับการยอมรับจากพวกฟาริสีในเมืองนั้นไหมครับ ?

ในตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ภายหลังจากที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงตรัสในข้อที่ 21 เท่านั้นแหละ คนยิวหลายหลายคนเกิดความหมางใจในพระเยซูในทันที

เพราะหลายรู้ว่าพระเยซูเป็นลูกช่างไม้ แต่ถ้าจะให้พวกเขามีความเชื่อและมีความศรัทธาว่า พระเยซูนั้นทรงเป็นพระเจ้า คนในเมืองนี้ไม่สามารถที่จะยอมรับได้ อีกทั้งคำที่พระเยซูตรัสนั้นเป็นคำใหญ่ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะให้อภัยได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนคิดที่จะฆ่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย

พี่น้องเคยได้ยินคำกล่าวนี้บ้างไหมครับว่า ? “ดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ” แต่ในเมื่อคนเรามันผิดใจกัน มันหมางใจอะไรกับใครแล้ว มันอยากจะมองดวงตากันอยู่ไหมครับ ? หน้ามันยังไม่อยากมองกันแล้วนับประสาอะไรที่มันอยากจะไปมองดวงตากัน

คนในหมู่บ้านนาซาเร็ธที่อยู่ในแคว้นกาลิลีมีความหมางใจต่อพระเยซู สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้ากระทำคืออะไรครับ ? พระองค์ทรงเดินจากพวกเขาไป

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า เมื่อเรามีโอกาสได้ทำการประกาศหรือเป็นพยานกับใครก็ตามแต่นั่นหมายความว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว

ส่วนคนที่เราได้ทำการประกาศหรือว่าเป็นพยานนั้น เขาจะมีความเชื่อหรือมีความศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือไม่อันนั้นเป็นเรื่องของเขา

หลายคนไปประกาศเป็นพยาน เขายังไม่รับเชื่อในพระเจ้า ดันไปเดือดร้อนแทนพระเจ้า ไปพูดกับเขาว่า “อุตสาห์เอาสวรรค์มาให้ถึงบ้านยังไม่เอาอีกอยากตกนรกก็ตามใจ” ไปพูดแบบนี้กินใจกันไหมครับ บาดหมางไหมครับ

บางคนไปพูดในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ Ex. ไปไหว้มันทำไมพระที่มนุษย์สร้างขึ้นจากไม้ จากอิฐหินดินทราย อย่างนี้มีโอกาสเลือดกบปากไหมครับ ?

เมื่อเรามีโอกาสประกาศเป็นพยานนั่นหมายความว่า เราได้ทำในส่วนของเราแล้วกับพระเจ้า ส่วนคนที่เราได้ประกาศเป็นพยาน เขายังไม่มีความเชื่อ เขายังไม่ศรัทธา เราก็ทำอย่างที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำนั่นคืออะไรครับ ? พระองค์ทรงเดินจากพวกเขาไป

ผลร้ายที่สุดที่คนในหมู่บ้านนาซาเร็ธได้รับ คืออะไรครับ ? พวกเขาขาดพระพรจากพระเจ้า ซึ่งโดยแท้จริงแล้วคนในหมู่บ้านนี้พวกเขาควรเป็นกลุ่มคนแรกๆที่ได้รับพระพรจากพระเจ้ามาก

เพราะว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงอยู่กับพวกเขาตั้งแต่แรกเกิด แต่ชาวเมืองนี้กับเป็นพวกใกล้เกลือกินด่าง พวกเขากับไม่เห็นคุณค่าของพระองค์ พวกเขาจึงขาดพระพรที่พวกเขาควรจะได้รับไปอย่างน่าเสียดาย

“ไม่มีความเชื่อ ไม่มีความศรัทธาหรือเคยเชื่อในพระเยซูแล้วและเลิกเชื่อพระพรที่ได้รับก็เกิดขึ้นยาก” ดังนั้นพระพรอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้เชื่อนั่นก็คือ “การมีความเชื่อ” เชื่อว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเป็นพระเจ้า

ดังนั้นพี่น้องจะต้องถามตัวเองอยู่เสมอๆว่า 1.เรายังเชื่อในพระเจ้าอยู่ไหม 2.พระเจ้ายังอยู่ในหัวใจของเราหรือไหม ถ้าเราตอบว่าพระเจ้ายังอยู่ในหัวใจของเรา

Q : ต่อมาก็คือว่า 1. พระองค์ทรงอยู่ทั้ง 4 ห้องของหัวใจของเราหรือไม่ ? 2.มันจะยังคงมีอยู่ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าแล้วยังจะทะเลาะกับคนนั้นคนนี้อยู่ ? 3.เราได้ยอมทุกสิ่งต่อพระเยซูอย่างบทเพลงที่เราร้องหรือไม่

“ถ้าเรายอมให้พระเจ้ายุ่งกับชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะไม่ยุ่ง แต่ถ้าเราไม่ยอมให้พระเจ้ายุ่งกับชีวิตของเรา พระองค์ก็จะไม่ยุ่งแต่ชีวิตของเรานั้นแหละที่จะยุ่งและจะยุ่งตลอดไป”

ให้เราอ่านพระคำของพระเจ้าใน ยน.4:1-42 พี่น้องเห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนในหมู่บ้านนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี กับคนในหมู่บ้านสิคาร์แคว้นสะมาเรียไหมครับ ? คนในหมู่บ้านสิคาร์ เขามีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า

พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือเป็นผู้ช่วยโลกนี้ให้รอด ซึ่งจุดเริ่มต้นของความเชื่อและความศรัทธาของคนในหมู่บ้านนี้มาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยอิ่มและไม่เคยพอในเรื่องกามอารมณ์แต่พอเธอได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่บ่อน้ำนั้น เธอได้รับการเติมเต็มจนอิ่ม

ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า หญิงคนนี้เธอเชื่อและศรัทธาว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเป็นพระคริสต์จริงๆผู้หญิงคนนี้เธอจึงไปประกาศและเป็นพยานอีกทั้งออกปากเชิญชวนคนในหมู่บ้านสิคาร์ให้ออกมาดูว่ามันใช่คนนี้ไหม ที่เป็นพระเมสิยาห์พระเจ้าผู้ที่จะเสด็จมา

พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้น ที่ว่า "ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ" 40 ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่กับเขา และพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน 41 และคนอื่นเป็นอันมากได้เชื่อเพราะพระดำรัสของพระองค์ 42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า "ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้แน่ว่าท่านองค์นี้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอด คือพระคริสต์"

และนี่คือผลจากการที่หญิงมากในกามอารมณ์เพียงคนเดียวคนนี้ มีความเชื่อและมีความศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจริงๆพระพรจริงๆจึงเกิดขึ้นกับเขาและพระพรจริงๆนั่นก็คือความรอดได้เกิดขึ้นกับคนทั้งหมู่บ้านสิคาร์

คำถามคือว่า เรารู้ได้อย่าไร ? คำตอบอยู่ในข้อที่ 42

ให้เรากลับมาพิจารณาชีวิตของเรา เรามีความเชื่อ เรามีความศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแรงกล้าแบบนี้ไหม หญิงมักมายในกามอารมณ์คนนี้เป็นแบบอย่างของการเป็นเกลือและแสงสว่างที่เราต้องลอกเลียนแบบ

พวกเราทราบแล้วนะครับว่าองค์พระเยซูคริสต์เพิ่งออกมาจากนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี สถานที่ๆ 1.หลายคนมีความไม่พึงพอใจในพระองค์จึงทำเกิดการกินแหนงแคลงใจหรือเกิดความบาดหมางกับพระองค์ 2.ผู้นำทางศาสนาไม่ให้การยอมรับและมีบางคนโดยเฉพาะพวกฟาริสีคิดหมายที่จะฆ่าพระองค์ด้วยและพระองค์ได้ออกมาจากเมืองนั้นและพักอาศัยอยู่อยู่ในเมืองสิคาร์ได้เพียง 2 วัน

ให้เราอ่านใน ยน.4:43 ด้วยกัน พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พระองค์คิดจะกลับไปที่นาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีอีก คำถามคือว่า พระองค์จะกลับไปที่นั่นทำไม สิ่งนี้ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าสาวกของพระองค์ก็มีความไม่เข้าใจในตัวของพระองค์ด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะกลับเข้าไปที่นาซาเร็ธใหม่อีกครั้งหนึ่งไม่ใช่ต้องการที่จะเอาชนะพวกเขาแต่ประการใด แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะบอกกับเราว่า

1.คำพูด คำวิจารณ์ใดๆก็ตามมันไม่สามารถเปลี่ยนของแท้ให้เป็นของเทียมได้

2.พระเจ้าแท้ก็คือพระเจ้าแท้ พระเจ้าแท้ไม่กลัวไฟ พระเจ้าแท้ไม่กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ พระเจ้าแท้ไม่กลัวความเข้าใจผิดใดๆทั้งสิ้น

ในชีวิตจริงของเราก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ ที่เราเองก็ไม่มีใครสักคน ที่จะสามารถหลบลี้หนีเลี่ยงต่อคำวิพากษ์ คำวิจารณ์ คำติฉิน คำนินทาเหล่านี้ได้

ผมเองซึ่งไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ก็ยังมีคนมากล่าวหาผม ว่าผมไปนอนกับพี่น้องคนนั้น ไปนอนกับพี่น้องคนนี้ ไหนๆจะกล่าวหาผมทั้งทีก็ช่วยหาคู่นอนที่มันสวยๆให้ผมหน่อยได้ไหม Ex. เห็น อ.ก้อง ไปนอนกับอัมพัชราภา ไปนอนกับ Pancake ผมจะได้รู้สึกดีหน่อย

คำถามคือว่า คำวิพากษ์ วิจารณ์ คำติฉิน คำนินทาเหล่านี้เราควรให้ความสนใจไหมครับ ? องค์พระเยซูคริสต์เจ้าพระองค์ไม่ทรงสนพระทัยต่อคำวิพากษ์ วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น เราเองก็เช่นกัน ถ้าหากเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด เราเองก็ไม่ควรที่จะไปสนใจ เราไม่ควรให้ราคากับมัน

แต่สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสนพระทัยคืออะไรครับ ? คือ การรักษาความชอบธรรมเอาไว้ในชีวิตของพระองค์โดยที่พระองค์ไม่ทรงถือสาหาความ โดยการยกโทษให้อภัยและให้โอกาสกับทุกคนเสมอและเราเองก็ควรที่จะเป็นอย่างพระอาจารย์ของเราด้วย แต่ถ้าหากในสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงเราเองก็ต้องยอมรับความจริงด้วยความถ่อมใจและนำมาพิจารณาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้น

แต่เนื่องจากสิ่งที่คนพูดถึงพระองค์นั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องจริง Ex. เช่น พระองค์รักษาคนให้หายด้วยฤทธิ์อำนาจที่มาจากมารด้วยเหตุผลนี้เองทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงกลับเข้าไปในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างการเดินทางไปที่แคว้นกาลิลีนั้นพระองค์ทรงพบกับข้าราชการชั้นสูงของโรมคนหนึ่ง ข้าราชการชั้นสูงของโรมคนนี้เขาทำอะไรครับ ? อ้อนวอนต่อพระองค์

พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกอะไรแก่เราครับ ? ในโลกนี้ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งอะไรก็ตาม คุณจะชั้นยศสูงแค่ไหนหรือมี C ขั้นระดับไหนหรือคุณจะได้มันมาอย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆเหล่านี้ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าแล้ว 1.มันใช้ไม่ได้เลย 2.คุณต้องคุกเข่า

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า การขอความเมตตาต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของข้าราชการระดับสูงคนนี้ไม่ใช่เป็นการขอแบบธรรมดา 1.แต่เป็นการแสดงความปรารถนาของเขาต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจากส่วนลึกภายในจิตใจจริงๆ 2.แต่เป็นการขอร้อง เป็นการคร่ำครวญ เป็นการวิงวอนต่อพระเจ้าในทำนองที่ว่า “งานนี้ต้องพระองค์คนเดียวเท่านั้นจริงๆ” ซึ่งคำอธิษฐานนี้ เป็นคำอธิษฐานในลักษณะแบบเดียวกับคำอธิษฐานของนางฮันนาห์ในพระวิหาร

            พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะถามพวกเราในเช้าวันนี้ว่า เรามีการอธิษฐานกับพระเจ้าแบบ ขอร้อง คร่ำครวญ วิงวอน ถืออดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้าแบบนี้บ้างไหมในชีวิตของเรา

            ผมทราบมาว่ากว่าพี่ปุ๋ยจะเอาชนะใจพี่อ้อยได้ พี่ปุ๋ยต้องใช้เวลานานมาก พี่ปุ๋ยต้องลงทุนเดินเท้าเพื่อไปหาพี่อ้อยและต้องสำแดงชีวิตอื่นๆอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เวลาพอสมควรพี่ปุ๋ยถึงสามารถชนะใจพี่อ้อยได้

            คริสเตียนไทยอยากให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราเร็วๆไวๆ โดยเฉพาะในทุกครั้งที่เรามีปัญหา 1.แต่เราได้ทำอะไรเพื่อที่จะชนะใจพระเจ้าบ้าง 2.แต่เราได้ลงทุนอะไรกับพระองค์บ้าง

1.เคยเทคำอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างจริงๆจังๆบ้างไหม

2.เคยที่จะถืออดอาหารและอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยใจที่ร้อนรนมากน้อยแค่ไหน

3.เคยอธิษฐานกับพระเจ้าแบบคร่ำครวญครวญวิงวอนกับพระเจ้าด้วยน้ำตาไหลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

พี่น้องคริสเตียนในประเทศเกาหลีใต้เขามีชีวิตในการนมัสการและอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างจริงจังมากและด้วยเสียงที่ดังมาก พวกเขาอธิษฐานกับพระเจ้านานมากๆ และในทุกๆวัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงชนะใจพระเจ้า

ส่วนคริสเตียนไทยเป็นอย่างไรครับ มาโบสถ์ก็สาย ฟังเทศน์ก็หลับหรือไม่ก็เล่น Line ถวายทรัพย์ก็โกง สามัคคีธรรมก็ไม่อยู่ ศุกร์อธิษฐานก็เบี้ยว เข้าเซลล์ก็เม้าท์ รับใช้ก็เกี่ยงเด้ ก่อนนอนก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่าเหมือนเมื่อวานพระองค์เจ้าข้า พวกเราทำกันอย่างนี้แล้วมันจะชนะใจพระเจ้าได้อย่างไร

อนุชนรวมทั้งคนหนุ่มคนสาวในหลายคริสตจักรคุยกับแฟนคุยได้ทั้งวัน Line คุยกันคุยกันอยู่นั่นแหละ แต่ทำไมคุยกับพระเจ้าไม่เห็นจะลงทุนคุยแบบนั้นบ้างเลย

การอ้อนวอนของเราต่อพระเจ้าจะเป็นผล ถ้าเราแสดงออกถึงความเชื่อ ความศรัทธาที่เรามีในพระเจ้า เช่น เฝ้าเดี่ยวทุกวัน ให้เกียรติกับวันสะบาโต ไม่โกงสิ่งของที่เป็นของพระเจ้า รับใช้ตามของประทานและอื่นๆ

พลังแห่งความเชื่อและความศรัทธาที่ข้าราชการระดับสูงคนนี้มีต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นเหตุทำให้เขาได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ ให้เราดูใน ยน.4:50-53 และอ่านด้วยกัน

พระพรแรก คือ บุตรชายของเขานั้นไม่ตายในฝ่ายกายภาพ พระพรที่ 2 คือ ทั้งครอบครัวของข้าราชการระดับสูงคนนี้เขาไม่ตายในฝ่ายวิญญาณ และนี่คือผลจากการที่ข้าราชการระดับสูงคนนี้เชื่อจริง ศรัทธาจริง พระพรจริงจึงเกิดขึ้นกับเขา

ผมขอพาพี่น้องกลับไปที่ข้อที่ 45 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าฉะนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในเทศกาลเลี้ยง ณ กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งหลายได้ไปในเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย

ในครั้งแรกที่องค์เสด็จเข้าไปที่หมู่บ้านชาวเมืองนาซาเร็ธและคนในแคว้นกาลิลี เกิดการบาดหมางกับพระองค์และมีบางคนคิดหมายที่จะฆ่าพระองค์ให้ตาย เพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้พูดคำใหญ่ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นั้น ทั้งๆที่คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงแค่ลูกช่างไม้เท่านั้น

แต่ในครั้งที่ 2 นี้ ชาวเมืองกาลิลีเขาเริ่มให้การต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าขึ้นมาบ้าง เพราะมีชาวกาลิลีบางคนได้เห็นถึงสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำบ้าง แต่คนกลุ่มแรกที่ไม่พอใจองค์พระเยซูคริสต์เจ้ายังมีอยู่ด้วยไหมครับ ? โดยเฉพาะพวกฟาริสี

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พี่น้องคิดว่าชาวเมืองกาลิลีเขาจะมีความเชื่อ มีความศรัทธา ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแบบเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนคนชาวเมืองสิคาร์ไหมครับ ?

ซึ่งนั่นหมายความว่า คนในแคว้นกาลิลียังไม่ได้มีความเชื่อ ยังไม่ได้มีความศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง

คำถามคือว่า ความเชื่อ ความศรัทธาที่แท้จริงคืออะไร ?

ฮบ.11:1 “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง”

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อหรือความศรัทธาที่แท้จริงนั้น ต้องไม่มีเงื่อนไข ต้องไม่มีแม้ ไม่มีแต่ หากมีเงื่อนไข มีแม้มีแต่ Ex.ต้องให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานก่อน ต้องให้ได้เห็นการอัศจรรย์ก่อน นั่นไม่ใช่ความเชื่อ นั่นไม่ใช่ความศรัทธาที่แท้จริง

ชีวิตคริสเตียนของเราถ้าขาด 1.ความเชื่อก็ขาดการอัศจรรย์2.พลังศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นยาก และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ชาวเมืองแคว้นกาลิลีขาดพระพรของพระเจ้า

ก่อนจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ผมมีคำถามขอพี่น้องช่วยตอบ

1.คนในหมู่บ้านนาซาเร็ธและคนในแคว้นกาลิลีเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าไหมครับ ? เขาเชื่อและเขาศรัทธาในพระเจ้าพระเยโฮวาห์ ณ. จุดนี้เขาดูเหมือนอยู่ใกล้พระเจ้ามาก แต่เมื่อเขาไม่เชื่อและไม่ได้ศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ณ.จุดนี้ทำให้พวกเขาห่างไกลจากพระเจ้ามาก ใกล้แต่ไกล

2.ก่อนหน้านี้ชาวเมืองสิคาร์นั้นเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไหมครับ รวมถึงข้าราชการระดับสูงชาวโรมันคนนี้ด้วยเขาเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไหมครับ ? ในตอนแรกชีวิตของพวกเขาดูเหมือนไกลจากพระเจ้ามาก แต่เมื่อเขาได้เชื่อและได้ศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาดูใกล้กับพระเจ้ามาก ไกลแต่ใกล้

ขอพระเจ้าเมตตาพวกเราทุกคน ที่พวกเราจะมีความเชื่อและมีความศรัทธาทั้งในพระเจ้า ทั้งในองค์พระเยซูคริสต์และในองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นความเชื่อเป็นความศรัทธาแบบเดียวกันกับชาวเมืองสิคาร์หรือแบบข้าราชการระดับสูงคนนี้

คือ มีความเชื่อและมีความศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแบบสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแบบนี้ก็จะทำให้ผู้ที่มีความศรัทธานั้นได้รับพระพร

Green City