พระคัมภีร์หนังสือที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทย

คำเทศนาเรื่อง

พระคัมภีร์หนังสือที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทย

                        

ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรม 2ทมธ.3:16 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 2ทมธ.3:16 แล้วอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า พระคัมภีร์หนังสือที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทยให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

            พี่ - น้องที่รักครับ มีนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้เรามักจะเรียกนักปราชญ์พวกนี้ด้วยภาษาสมัยใหม่ เรามักจะเรียกพวกเขาว่าอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? เรามักจะเรียกเขาว่า“กูรู”

นักปราชญ์หรือกูรูท่านนี้ ได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจมากๆว่า “คนที่ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ใกล้ตัวนั้นคือคนที่ถูกสาป” และท่านก็ยังได้ให้เหตุผลต่อไปอีกด้วยว่า “เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตาของเขานั้นได้มืดบอดไปจากสิ่งที่ประเสริฐและความมหัศจรรย์ที่วางอยู่ใกล้ๆตัว”

ซึ่งผมไม่ทราบว่านักปราชญ์ท่านนี้หรือกูรูท่านนี้ ท่านได้รับแรงดลใจมาจากอะไร ท่านถึงได้กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา แต่อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รัก

เมื่อผมได้นำถ้อยคำของนักปราชญ์หรือกูรูท่านนี้มาพิจารณาประกอบกับการเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพี่ - น้องทั้งในคริสตจักรแห่งนี้และในคริสตจักรต่างๆแล้ว

ผมก็พบความจริงที่ว่าพี่ - น้องคริสเตียนของเราโดยส่วนมากนั้นได้สูญเสียศักยภาพในการมองกันไปมากพอสมควร เหตุเพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากหนังสือเล่มอื่นๆ ที่มีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งหมด แต่ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนกับให้ความสำคัญกับ ไทยรัฐ เดลินิวส์ คมชัดลึก มากกว่าพระคัมภีร์

ผมก็พบความจริงที่ว่าพี่ - น้องคริสเตียนของเราโดยส่วนมากนั้นได้สูญเสียศักยภาพในการมองกันไปมากพอสมควร เหตุเพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากหนังสือเล่มอื่นๆ ที่มีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งหมด แต่ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนกับให้ความสำคัญกับ 3 5 7 9 NBT และ TPBS มากกว่าความมหัศจรรย์ใจที่เราจะได้รับจากการอ่านพระคำของพระเจ้า

เมื่อผมได้นำถ้อยคำของปราชญ์หรือกูรูท่านนี้มาพิจารณาประกอบกับการเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพี่ - น้องของเราทั้งในคริสตจักรแห่งนี้และในคริสตจักรต่างๆแล้ว

ผมพบความจริงที่ว่า ตาของพี่ - น้องซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหลายๆ คนนั้นมีปัญหา ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระคริสตธรรมคัมภีร์แปลว่าหนังสือ“ศักดิ์สิทธิ์” แต่เรากับมองหนังสือที่“ศักดิ์สิทธิ์” เล่มนี้ว่ามันเป็นเพียงแค่หนังสือที่ธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น ผู้เชื่อที่มีความคิดอย่างนี้โดยส่วนมาก จึงไม่ค่อยให้คุณค่าและความสำคัญกับหนังสือเล่มนี้กันสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหนังสือที่ไม่ธรรมดาๆ เล่มนี้ จึงได้กลายเป็นหนังสือที่ธรรมดาๆ ไปอย่างที่เขาคิด

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน.11 : 40 ตรัสกับเราดังนี้ว่า“ ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ”ดังนั้นถ้าพี่ - น้องและผมต่างเชื่อว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์ หนังสือเล่มนี้มันก็จะศักดิ์สิทธิ์โดยการเปลี่ยนแปลงชีวิตของพี่ - น้องและผม รวมทั้งเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทยทั้งประเทศและรวมทั้งคนทั่วโลกได้ อาเมน แต่พี่ - น้องต้องอ่านมันด้วยนะครับ ไม่ใช่เชื่อเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ยอมอ่านก็คงจะไม่ได้

แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเข้าใจให้ตรงกัน นั่นก็คือ ความหมายของคำว่า“ศักดิ์สิทธิ์”ของคริสเตียนกับคำว่า“ศักดิ์สิทธิ์”ของคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่ามันมีความแตกต่างกันตรงไหนหรืออย่างไร

คำว่า“ศักดิ์สิทธิ์” ในความหมายของคริสเตียนนั้น หมายความว่า “ มันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ”

เช่น จากการที่เราเป็นคนที่ไม่ถ่อมใจ เรากลายเป็นคนที่ถ่อมใจลง และเมื่อเรายิ่งอ่านพระคัมภีร์มากขึ้นและมากขั้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะเป็นคนที่มีจิตใจที่จะต้องถ่อมลงมากขึ้นเท่านั้น

คำว่า“ศักดิ์สิทธิ์” ในความหมายของคริสเตียนนั้น หมายความว่า “ มันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ”

เช่น จากการที่พี่ - น้องชอบเป็นคนที่อยู่ในโลกียวิสัยของโลก แต่เมื่อพี่ - น้องได้อ่านพระคัมภีร์และยิ่งอ่านมากขึ้นเท่าไหร่ ทำให้พี่ - น้องกลายเป็นคนที่ต้องการที่จะมีชีวิตที่สะอาด ทำให้พี่ - น้องกลายเป็นคนที่เกลียดชังความบาปมากขึ้นเท่านั้น และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของคนที่เชื่อในพระเจ้า

ส่วนคำว่า“ศักดิ์สิทธิ์” ในความหมายของคนที่ไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น หมายถึง เครื่องรางของขลัง หมายถึง การเก็บบูชาเอาไว้ที่บ้าน ส่วนคนๆ นั้นจะเอาไว้บนหิ้ง หรือจะเอาวางไว้ที่หัวนอน หรือจะพกติดตัวไปติดตัวมาและหรือจะเอาไว้ที่ใดๆก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พระคัมภีร์หาได้เป็นเครื่องรางของขลังไม่

แต่ถึงกระนั้นก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ผมก็พบว่ายังมีผู้เชื่อหลายต่อหลายคน ที่มีความปรารถนาอยากที่จะให้พระคัมภีร์นั้น เป็นเสมือนกับเครื่องรางของขลังอยู่ในชีวิตแห่งความเชื่อของเขา

กล่าวคือ ระหว่างสัปดาห์ผู้เชื่อหลายคนต่างก็เอาพระคัมภีร์เก็บไว้บนหัวนอน บางคนก็เก็บพระคัมภีร์เอาไว้บนชั้นหนังสือ บางคนก็วางไว้บนโต๊ะทำงาน พอถึงวันอาทิตย์เขาก็เอาพระคัมภีร์ใส่กระเป๋า แล้วก็พามาด้วยที่คริสตจักรฯ พอกลับไปถึงบ้านเขาก็เอาพระคัมภีร์ออกจากกระเป๋าแล้วก็เอาวางไว้ที่เดิม

ผมเคยถามผู้เชื่อใหม่บางคนที่ทำอย่างนี้ว่า แล้วทำไมคุณไม่เก็บ พระคัมภีร์เอาไว้ในกระเป๋าเสียเลยล่ะ พอถึงวันอาทิตย์ก็จะได้ถือมาได้เลย ไม่ต้องหยิบเข้าหยิบออกให้เสียเวลา  

เขาตอบผมว่า ถ้าทำอย่างนั้นพระเยซูก็หายใจไม่ซิครับอาจารย์ ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า อย่าทำให้พระคัมภีร์เป็นของขลังและไม่ต้องกลัวว่าพระเยซูจะหายใจไม่ออก )

เมื่อผมได้นำเอาถ้อยคำของปราชญ์ท่านนี้หรือกูรูท่านนี้ มาพิจารณาประกอบกับการเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพี่ - น้องของเราทั้งในคริสตจักรแห่งนี้และในคริสตจักรต่างๆ ก็ทำให้ผมคิดถึงสุภาษิตไทย สุภาษิตหนึ่งที่ได้กล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “ ใกล้เกลือกินด่าง ”

มันหมายความว่าอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? หมายความว่า เรามีของดีอยู่ใกล้มือแท้ๆ แต่เรากลับไม่เอา เรากลับไปเอาสิ่งที่อยู่ไกลและด้อยคุณค่ากว่ามาก

ผู้ชายไทยหลายต่อหลายคนที่อยู่ในฐานะสามีนะครับ มักที่จะมีพฤติกรรมแบบนี้ คือ ชอบมีกิ๊ก มีภรรยาน้อย ชอบบรรยากาศในวงเหล้ามากกว่าเมียที่อยู่ที่บ้าน สิ่งต่างๆ เหล่านั้นด้อยคุณค่ากว่าภรรยาของตนเองเป็นอย่างมาก

ถ้าผมจะนำเอาสุภาษิตไทยที่ได้กล่าวเอาไว้เมื่อสักครู่นี้ มาแปลในสำนวนของผม ก็อาจจะแปลได้ดังนี้ว่า “ พระคัมภีร์นั้นอยู่ใกล้ตัวของเรามากเกินไป ตาของผู้เชื่อคนนั้น จึงมืดไปจากสิ่งที่ประเสริฐที่สุดขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นได้ ” และทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้กล่าวมานั้น เป็นเพียงแค่การกล่าวนำเท่านั้นนะครับพี่ - น้อง ผมยังไม่ได้พาพี่ - น้องเข้าสู่การเทศนาเลย

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ในเช้าวันนี้เราพบเพียงแค่ประการเดียวเท่านั้นเอง นั่นก็คือ เราพบรากศัพท์ดั้งเดิม พระคำของพระเจ้าใน 2 ทมธ. 3 : 16 บอกกับเราว่า “ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า ”คำว่า “ ดลใจ ” คำนี้เป็นคำกริยา เป็นรากศัพท์ดั้งเดิม หมายถึง “การหายใจออก”

มีใครพูดแล้วไม่ต้องหายใจออกบ้างมีไหมครับ ? ไม่มีนะครับ

เพราะฉะนั้นการหายใจออกนี้ หมายถึง คำพูดที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เป็นคำตรัสของพระองค์

พระเจ้า พระเยโฮวาห์ทรงตรัสกับคน 40 คน โดยให้แต่ละคนเขียนถึงในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ซึ่งผู้เขียนแต่ละคน ก็เขียนกันอยู่กันคนละที่ คนละแห่ง เขียนกันต่างเวลา ต่างสถานที่ แต่สาระที่ผู้เขียนแต่ละคนได้เขียนออกมานั้น ต่างมีเนื้อหาสาระที่ความสอดคล้องที่ต้องกันหรือตรงกัน ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการสำแดงออกถึงความเป็นเอกภาพของพระคัมภีร์ได้อย่างน่าแปลกประหลาดใจ

และสิ่งนี้เองพี่ - น้องที่รัก ที่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า นี่ไม่ใช่เป็นความสามารถของผู้เขียนคนใดแต่อย่างใด แต่เกิดจากการ “ดลใจ” จากนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และนั่นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พี่ - น้องยังจำได้ไหมครับว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก พระเจ้าทรงสร้างโลกด้วยอะไร ? ด้วยพระวาทะของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เองพระวาทะเป็นเหตุทำให้เกิดสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นพระวาทะแห่งชีวิต

ฟลป. 2 : 16 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ จงยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิต ”ในเช้าวันนี้ผมจะไม่ถามพี่ - น้องว่า วันนี้พี่ - น้องได้ยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิตนี้ เอาไว้ในชีวิตแห่งความเชื่อของพี่ - น้องมากน้อยแค่ไหน แต่ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องด้วยใจที่สัตย์ซื่อว่า พี่ - น้องไม่สามารถที่จะยึดพระวาทะแห่งชีวิตนี้เอาไว้ในชีวิตของพี่ - น้องได้เลย

ถ้าพี่ - น้องไม่เรียนรู้ที่จะอ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวของพี่ - น้องเองเสียก่อนหรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าพี่ - น้องไม่เรียนรู้ที่จะอ่านหรือศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเองแล้วไซร้ พระคัมภีร์จะเกิดผลกับชีวิตของท่านนั้นได้อย่างไร

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า การฟังพระคำจากที่ธรรมาสน์ก็ดี การเข้าศึกษารวีวารศึกษาก็ดี หรือการเข้ากลุ่มสามัคคีธรรมก็ดี นั่นเป็นสิ่งที่ดีและดีมากๆ และพี่ - น้องควรที่จะทำต่อไปแต่มันยังไม่พอ

พระคัมภีร์หรือพระคำของพระเจ้านั้น จะยังไม่แสดงพลังหรือฤทธิ์อำนาจได้อย่างเต็มที่ จนกว่าพี่ - น้องคนนั้นจะได้เปิดพระคัมภีร์อ่านด้วยตัวของท่านเองเสียก่อน ประการที่สำคัญก็คือว่าพี่ - น้องจะต้องมีใจปรารถนาที่จะเชื่อฟังและทำตามพระคัมภีร์นั้นด้วย  

            ในขณะเดียวกันก็มีผู้เชื่อหลายต่อหลายคน ที่คิดว่าตนเองนั้นได้อ่านพระคัมภีร์แล้ว ซึ่งผมอยากจะบอกกับท่านตรงนี้ว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านอาจจะยังไม่ได้อ่านมันเลยก็เป็นได้

มีเรื่องเล่าว่า หลายปีมาแล้วได้มีนักเขียนคนหนึ่งชื่อว่า

William Robertson เขาได้เขียนบทความลงในนิตยสาร “Bristh Weekly ” เขาใช้หัวข้อว่า หนังสือที่ข้าพเจ้าคิดว่าอ่านแล้วแต่แท้จริงยังไม่ได้อ่าน ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขาคิดว่าเขาได้อ่านแล้ว ซึ่งจริงๆแล้ว WilliamRobertson เขาก็ได้อ่านมันนั่นแหละ เพียงแต่เขาอ่านแล้ว เขาไม่เข้าใจมันก็เท่านั้นเอง จึงเป็นเหตุทำให้เขาอ่านก็เหมือนไม่ได้อ่าน

ซึ่งผู้เชื่อหลายต่อหลายคนก็ตกอยู่ในสภาวการณ์เช่นนี้ ที่พออ่านแล้วเราเจอข้อพระคัมภีร์ที่ยากๆ ก็ทำให้เรานั้นไม่อยากที่จะอ่านมัน หรือเราข้ามไปอ่านตอนที่ง่ายๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ก็เป็นในลักษณะเดียวกันนั่นก็คือ อ่านก็เหมือนไม่ได้อ่าน

คนที่จะซื้อเพชร ซื้อพลอย ก่อนที่เขาจะซื้อเขาทำไมครับพี่ - น้อง เขาต้องใช้เวลากับมันนานพอสมควร ส่องดูแล้ว ส่องดูอีก กว่าจะตัดสินใจซื้อได้ในแต่ละกะรัต

เช่นเดียวกันครับพี่ - น้องที่รัก ถ้าพี่ - น้องอ่านพระคัมภีร์ ด้วยการกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ เหมือนกับที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้เขียนไว้ใน สดด. 119 : 15   หรือถ้าพี่ - น้องอ่านด้วยใจอธิษฐาน

ดังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ได้เขียนไว้ใน สดด. 86 : 11 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่าขอเปิดเผยพระดำรัสของพระองค์แก่ข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะเห็นความล้ำลึกในพระวจนะของพระองค์

ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ที่ชี้ให้เราเห็นว่า แม้ว่ามันจะเป็นข้อพระคัมภีร์ที่ยากต่อการที่เราจะเข้าใจ แต่ถ้าเราอ่านโดยการอธิษฐานและพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้านั่นล่ะ จะเป็นผู้ที่เปิดเผยหรือสะท้อนความเข้าใจนั้นให้แก่เรา

แต่เราเองต่างหาก ที่ไม่ได้มีการจัดสรรเวลาอย่างมีคุณภาพ ในการที่จะแสวงหาพระองค์ แล้วเราก็โทษนู่น โทษนี่ บางคนก็อ้างว่ามีธุรกิจมาก งานเยอะ

บางคนก็อ้างว่ายุคโลกาภิวัตน์นี้ มันมีเรื่องจิปาถะที่เราจะต้องทำอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายก่ายกอง จนเป็นเหตุทำให้เรามักไม่ค่อยที่จะมีเวลาในการกลั่นกรอง ใคร่ครวญหรือพิจารณาพระวจนะคำของพระเจ้า

ซึ่งผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องด้วยใจรักว่า หยุดอ้างเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลได้แล้วครับ ถ้าพี่ - น้องมัวแต่อ้างเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลอย่างนี้อยู่ร่ำไป แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับ ที่พระคำของพระเจ้าถึงจะสร้างชีวิตใหม่หรือหล่อหลอมชีวิตใหม่ให้กับท่านได้เสียที

ดังนั้นในเช้าวันนี้ ผมจึงอยากที่จะหนุนใจและท้าทายพี่ - น้องให้รักในการที่จะอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า และอยากที่จะให้พี่ - น้องได้มีค่านิยมใหม่ต่อการอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า และค่านิยมที่ว่านี้นั่นก็คือ ให้เรามีความรู้สึกที่ว่า “ ชีวิตของเรามันจะดำรงอยู่ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ได้อ่านพระวจนะคำของพระเจ้าในทุกๆ เช้าวันใหม่ ”

ยิ่งถ้าพี่ - น้องเปิดความคิดและจิตใจของพี่ - น้องในการที่จะน้อมนำพระคำของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของพี่ - น้องมากเท่าไหร่ พี่ - น้องก็จะรู้ถึงฤทธิ์อำนาจของหนังสือเล่มนี้ ผ่านการอ่านจากชีวิตของพี่ - น้องมากขึ้นเท่านั้น และถ้าทุกคนอ่านด้วยใจอธิษฐาน อ่านด้วยการกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณา หรือที่พวกเราชอบพูดว่า“ เคี้ยวเอื้อง ”เขาก็จะมีศิลปะในการภาวนาพระคำ เขาก็จะมีศิลปะในการผูกพระคำกับความคิดของเขา หรือฝังพระคำของพระเจ้าเข้าไปในชีวิตของเขา จนกระทั่งความจริงในพระวจนะข้อนั้น กระทบกับจิตใจส่วนลึกของเขา และเขาก็จะมีความซาบซึ้งใจกับพระคำของพระเจ้านั้นเป็นอย่างดี และนี่เป็นวิถีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้พระคำของพระเจ้ามีชีวิตในตัวเรา

            ครั้งหนึ่งเมื่อผมมีโอกาสได้ไปงาน Carnival of Joy ที่เมืองธานี ผมกับภรรยา เรานั่งอยู่บนอัฒจรรย์แถวหลังสุด ซึ่งบรรยากาศในที่ประชุมนั้นก็มืดพอสมควร นักแสดงหญิงคนหนึ่งจากคริสตจักรฟ้าคราม เธอได้กล่าวพระคำของพระเจ้าขึ้นมาข้อหนึ่งจากพระธรรมสดุดี

ผมฟังพระคำของพระเจ้าข้อนั้นแล้ว น้ำตาผมไหล และไม่อายคนที่อยู่ข้างๆ จนกระทั่งมีศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้ล้วงไปในกระเป๋าของภรรยาท่าน เพื่อที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้กับผม แต่ผมก็ต้องหัวเราะทั้งน้ำตา เพราะสิ่งที่ศิษยาภิบาลท่านนั้นหยิบมาให้กับผมนั้น มันเป็นผ้าอนามัยของสตรีไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า ขอบคุณพระเจ้า

            หลายคนถามผมว่า ผมมาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร ผมตัดสินใจที่จะต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต แน่นอนครับจะต้องมีคนมาประกาศหรือมาเป็นพยาน แน่นอนครับ ผมชอบสังคมหรือชุมชนของคริสเตียน เพราะเป็นสังคมที่อบอุ่น

แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ที่ทำให้ผมเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ผมตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้า เพราะพระวจนะคำของพระเจ้าใน อสย. 42 : 3 และในมธ. 12 : 20 ซึ่งเป็นข้อความเดียวกัน พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ ไม้อ้อที่ช้ำแล้วพระองค์จะไม่ดับตะเกียงที่ริบหรี่พระองค์จะไม่ดับ ”

ในเวลานั้นผมสิ้นเนื้อประดาตัว ขนาดอาหารประจำวันบางมื้อ ผมยังต้องขอเขากิน และใครๆก็ไม่มีใครที่อยากจะคบผม แต่พระวจนะคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้เปิดบาดแผลให้กับผมพร้อมๆ กับรักษาบาดแผลของผมให้หายไปในคราวเดียวกัน

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า พระคำของพระเจ้านั้นมีพลังที่จะเปิดให้เรานั้นเห็นแผลในชีวิตของเรา ไม่ว่าแผลนั้นจะเป็นแผลในอดีตหรือจะเป็นแผลในปัจจุบัน และหรือไม่ว่าแผลนั้นจะเป็นแผลอะไรก็ตามแต่ ถ้าเรายอมต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า พระเจ้าจะทรงรักษาบาดแผลนั้นให้กับเราอย่างแน่นอน แต่เราจะต้องเป็นเข้าไปรับการรักษาบาดแผลนั้นด้วยตัวของเราเองและนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ ของหนังสือเล่มนี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา

ซึ่งในหลายยุค หลายสมัย มีคนคิดที่จะเผาและทำลายหนังสือเล่มนี้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังอยู่รอดและปลอดภัย และก็จะคงอยู่ตลอดไปจนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะเสด็จกลับมา เมื่อพระคัมภีร์นั้นเป็นถ้อยคำของพระเจ้า

คำถามก็คือว่า แล้วพระเจ้าต้องการที่จะสอนให้มนุษย์นั้น ได้รู้อะไรบ้างจากพระวจนะคำของพระองค์

พี่ - น้องที่รักครับ แท้จริงแล้วพระคัมภีร์นั้นสอนเราทุกอย่าง แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์นั้น อาจจะไม่ได้สอนเราอย่างละเอียดในทุกแง่มุมของชีวิต

เช่น พระคัมภีร์อาจจะไม่ได้สอนเราว่า เราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้อย่างไร หรือเราจะรวยเร็วจากตลาดหลักทรัพย์นั้นได้อย่างไร อันนี้พระคัมภีร์ไม่ได้บอกกับเราหรือไม่ได้สอนเรา แต่พระคัมภีร์ได้บอกถึงในสิ่งที่มนุษย์จำเป็นจะต้องทราบ

เช่น ในหนังสือปฐมกาลพระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้เรารู้ว่า โลกใบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉยๆ แต่มีพระผู้สร้างนั่นก็คือพระเจ้า และในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ก็ยังได้บอกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มีมาเหนือชีวิตของมนุษย์คู่แรกของโลกด้วยว่า พระองค์นั้นทรงมีพระประสงค์เช่นไร

แต่เมื่ออาดำเอวาได้ล้มลงในความบาป โดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่อาดำเอวานะครับ ที่เป็นคนแสวงหาพระเจ้าแล้วถามว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน แต่พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้แสวงหามนุษย์แล้วเป็นคนถามว่าอาดำเจ้าอยู่ที่ไหน

จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ชี้ให้เราเห็นว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถที่จะเสาะหาและพบพระเจ้าได้ด้วยตัวเอง แต่พระเจ้าจะต้องเป็นผู้เสาะหาและเปิดเผยพระองค์เองต่อมนุษย์

ในขณะเดียวกันพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกเราแต่เพียงว่า พระเจ้าเสาะหามนุษย์เท่านั้น แต่ยังบอกเราต่อไปอีกด้วยว่า พระเจ้าทรงเสาะหามนุษย์นั้นอย่างไร เริ่มอย่างไร ดำเนินต่อไปอย่างไร และสุดท้ายจบลงที่ตรงไหน พระคัมภีร์จบลงที่ตรงไหนครับพี่ - น้อง ?

พระคัมภีร์จบลงที่หนังสือวิวรณ์( วิวรณ์ หมายถึงการทำให้เห็น ) พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองให้กับมนุษย์ได้แลเห็น ตั้งแต่ฉากแรกในหนังสือปฐมกาลจนถึงฉากสุดท้ายในหนังสือวิวรณ์

ดังพระคำของพระเจ้าในหนังสือ วว.22:13 ที่พระคำของพระเจ้าตรัสเอาไว้ดังนี้ว่าเราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายเป็นปฐมและเป็นอวสานอาจจะกล่าวได้ว่าพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่มนั้นเป็นการเปิดเผยพระองค์เองต่อมนุษย์โลก

ในขณะเดียวกันพี่ - น้องที่รัก พระคัมภีร์หาได้เปิดเผยให้เราเห็นแต่พระเจ้าแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ รม. 7 : 24 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้ ”

จากพระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือ รม. 7 : 24 ได้ชี้ให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์นั้นยังได้เปิดเผย ให้มนุษย์ได้แลเห็นสภาพที่แท้จริงของมนุษย์ อย่างตรงไปตรงมาด้วยว่า มนุษย์นั้นมีจุดอ่อนหรือมีจุดที่เปราะบางของชีวิตอยู่ที่ตรงไหน และผลที่มนุษย์ควรจะได้รับเป็นเช่นไร

และเมื่อผมแบ่งปันมาถึงตรงนี้พี่ - น้องก็อย่าเพิ่งหมดหวัง เหตุเพราะพระคัมภีร์ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่ ยังได้บอกกับเราต่อไปอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นจะรอดพ้นจากความบาปและกลายเป็นมนุษย์คนใหม่นั้นได้อย่างไร ?

มีคำพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า“ ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม ”ฉันใดพระคัมภีร์ทุกเล่ม“ มุ่งสู่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าฉันนั้น ”ดังนั้นมนุษย์จะรอดพ้นจากความบาปได้โดยผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

ดังนั้นพี่ - น้อง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพระคัมภีร์เดิมถึงได้ชี้ไปที่พระคัมภีร์ใหม่ และทำไมพระคัมภีร์ใหม่ ถึงได้ชี้กลับไปที่พระคัมภีร์เดิม เหตุเพราะพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง

ดังนั้นถ้าพี่ - น้องอยากที่จะรู้ถึงแก่นแท้ของมนุษย์ พี่ - น้องอยากที่จะรู้จักตัวของเราเองพี่ - น้องไม่จำเป็นที่จะต้องไปศึกษาจากหนังสือเล่มใด หรือเราไม่ต้องเรียนให้สูงขนาดจบ “ ด๊อกเตอร์ ” ก็ได้

เหตุเพราะสภาพที่แท้จริงของมนุษย์นั้น ได้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ และผู้ที่ดลใจให้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้นั่นก็คือ พระเจ้าที่เป็นผู้สร้างชีวิตของเราขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จึงรู้จักทุกสิ่งในชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาพี่ - น้องที่รัก พี่ - น้องและผมจึงจำเป็นที่จะต้องอ่านพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจัง อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อที่เราจะได้รู้จักมนุษย์และเพื่อที่เราจะได้รู้จักตัวของเราเองอย่างแท้จริง

น่าเสียดายตรงที่ว่า ผู้เชื่อหลายต่อหลายคน ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ หลายคนอ่านก็อ่านแบบมีแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้อง เช่น บางคนอ่านพระคัมภีร์เป็นเหมือนเครื่องทำให้ช่วยหลับ บางคนอ่านพระคัมภีร์เป็นเหมือนวรรณคดี บางคนอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า บางคนอ่านแบบเฉยๆไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปประพฤติ นำไปปฏิบัติ ผู้เชื่อบางคน ถูกพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณบังคับให้อ่านพระคัมภีร์ แต่เขากับไม่ได้มีท่าทีที่จะตอบสนองการเชิญชวนของพระคัมภีร์แต่อย่างใด ซึ่งท่าทีต่างๆ เหล่านี้ละครับพี่ - น้องที่รัก เป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่มาถึงพระเยซู

ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร เหตุเพราะในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอง ก็มีคนเหล่านี้อยู่ในสมัยของพระองค์ด้วยเช่นกัน ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ยน.5:39-40 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิตเพราะฉะนั้นหลายคนที่อ่านคัมภีร์ด้วยท่าทีแบบนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่

มีเรื่องเล่าว่า มีสตรีสาวสวยคนหนึ่ง เธอได้หยิบวรรณกรรมเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านแต่เธอไม่พบคุณค่าอะไรเธอจึงปิดและวางไว้ที่หัวนอน เพราะเธอไม่เห็นคุณประโยชน์จากวรรณกรรมนั้น ต่อมาภายหลังสตรีสาวสวยคนนี้ เธอได้มีโอกาสพบกับผู้เขียนวรรณกรรมเล่มนั้น และเธอได้หลงรักเขาและต่อมาเธอได้ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้พบคุณค่าของวรรณกรรมเล่มนั้น วรรณกรรมเล่มนั้นจึงเป็นวรรณกรรม ที่เธอรักและให้คุณค่ามากที่สุดในชีวิตของเธอ  

ในทำนองเดียวกันพี่ - น้องชายหญิงที่รักครับ ถ้าวันนี้พี่ - น้องบอกว่าพี่ - น้องรักพระเจ้า รักพระเยซู พี่ - น้องก็จะต้องรักและเห็นคุณค่าแห่งพระวจนะคำของพระองค์ด้วย

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยการเรื่องเล่าของสุภาพสตรีท่านหนึ่งเธอมีชื่อว่า ซูซี่ ยาเม่อร์ เธอเป็นชาวอังกฤษ ซูซี่ ยาเม่อร์ เธอเกิดมาในครอบครัวที่ดี เธอมีพ่อแม่ที่ดี หมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ในอังกฤษนั้นเป็นหมู่บ้านที่ต่อต้านการเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพ่อแม่ของเธอจึงมีทัศนคติในทำนองที่ว่า คนฉลาดจะต้องไม่นับถือศาสนคริสต์ หรือจะต้องไม่เชื่อในเรื่องของพระเยซู

ซูซี่ เธอเป็นนักสังคมวิทยา เธอหลงรักประเทศเกาหลีมากเป็นพิเศษ เธอจึงได้ไปทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประเทศเกาหลี และได้แต่งงานกับคนเกาหลีที่ประเทศเกาหลี ซูซี่เธอได้ประพันธ์หนังสือที่ดีเล่มหนึ่งขึ้นมา ชื่อว่า “Never Ending Flower”

ต่อมาภายหลังเธอได้ลองอ่านหนังสือชื่อ “ชีวิตของพระเยซู” ที่คนอื่นเขียน เมื่อซูซี่อ่านจบ เธอก็สนใจในพระเยซูมากขึ้น เธอจึงตัดสินใจอ่านประวัติของพระเยซูจากพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม และเธอได้เขียนโน้ตเอาไว้สั้นๆว่า

“ ยิ่งอ่านไปแต่ละหน้าพระเยซูก็ยิ่งปรากฏแก่ข้าพเจ้า พูดกับข้าพเจ้า และเหนี่ยวนำความคิดของข้าพเจ้า และทรงสำแดงความรักความเมตตาต่อข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ายากที่จะต้านทานพลังแห่งความรักของพระองค์ได้

ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้พบกับพระองค์แบบหน้าต่อหน้า และข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้าได้ตกไปเป็นสมบัติของพระองค์แล้ว ด้วยความเต็มใจ และปราศจากข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น

ในที่สุด ซูซี่ ก็ได้ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต แม้ว่าเธอจะเป็นสตรีที่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่คราวใดก็ตามที่เธอเล่าถึงพระเยซูจากในพระคัมภีร์ ดูเธอเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หน้าตาของเธอดูมีประกายขึ้นมาในทันที

ซึ่งเราจะไม่พบว่า มีหนังสือเล่มใดในโลกนี้อีกเลยพี่ - น้องที่รัก ที่จะมีอิทธิพลและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของมนุษย์ เท่ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์ ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมหนังสือเล่มนี้เอาไว้ พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือที่พิเศษสุด ยากที่จะหาหนังสือเล่มใดๆ ในโลกเสมอเหมือน

ดังนั้นในเช้าวันนี้ ผมจึงอยากที่จะหนุนใจและท้าทายพี่ - น้องในคริสตจักรฯ แห่งนี้ให้ทุกๆคนนั้นได้เปิดอ่าน และอ่านอย่างภาวนา โดยให้เวลาในการที่จะใคร่ครวญถึงข้อพระคำนั้น แบบกลับไปกลับมา

เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า ได้เป็นผู้สะท้อนหรือเปิดเผยความจริงทั้งหมดในพระคำตอนนั้นๆ ให้กับเรา และให้เราได้เชื่อฟังและทำตาม   โดยนำเอาไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และมันจะเป็นการดีสักเท่าไหร่พี่ - น้องที่รัก ที่เราจะได้แนะนำพระคัมภีร์เล่มนี้ให้กับคนอื่นนั้นได้อ่านด้วย ( ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน )

Green City