คำเทศนาเรื่อง พระเจ้าผู้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ จะอยู่ใน
ยน.3:16 “ พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือ ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ”
ลก. 1 : 27 - 28 “ ให้ไปหาหญิงพรหมจารีคนหนึ่งที่หมั้นไว้กับชายที่ชื่อโยเซฟ ซึ่งเป็นคนในเชื้อวงศ์ของดาวิด หญิงพรหมจารีคนนั้นชื่อมาเรีย ทูตสวรรค์มาหานางแล้วบอกว่า เธอผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานมาก จงชื่นชมยินดีเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตอยู่กับเธอ”
มธ. 1 : 21 “ เธอจะให้พระกำเนิดบุตรชาย แล้วจงเรียกนามท่านว่า เยซู ”
ลก. 2 : 7 “ นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา”
พี่น้องที่รักครับ เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา Cecil B. De mille ได้สร้างภาพยนตร์หรือได้สร้างหนังพระเยซู ประเภทขาว ดำขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นหนังเงียบคือ ไม่มีการพูดใดๆทั้งสิ้นเรื่อง The King of King หรือราชันเหนือราชันซึ่งในสมัยนั้นมีผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้สูงถึง 500000 คน ผู้ประกาศที่พระเจ้าได้ทรงเจิมท่านอย่างมากมายในการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์นั่นก็คือ Dr. Billy Graham
Dr. Billy Graham ได้ถามผู้สร้างหนังหรือภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า
เฮ้หนังของคุณเรื่องนี้ทำไม ไม่ให้คนแสดงพูดด้วยล่ะผู้สร้างตอบว่า ไม่หรอกครับ ถ้าผมให้พระเยซูพูดฝรั่ง คนเอเชียก็จะหาว่าพระเยซูเป็นฝรั่ง ถ้าผมให้พระเยซูพูดจีน คนอเมริกันก็จะคิดว่าพระเยซูเป็นพระของจีน
ดังนั้นผมจึงให้คนดูคิดเอาเอง เพราะพระองค์สามารถที่จะพูดภาษาของคนดูได้ทุกภาษา ดังนั้นเวลาที่มีคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาก็จะรู้สึกว่าพระเยซูไม่ใช่พระของคนฝรั่ง แต่พระเยซูเป็นพระของเขา และเป็นพระของคนทั่วทั้งโลกด้วยเช่นกัน
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ยน.3:16 ทำให้เราทราบว่า เมื่อสองพันกับแปดปีที่ผ่านมานั้น ได้มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสรรค์และแผ่นดินโลก ได้ทรงสละซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ได้ทรงสละซึ่งฐานะและความยิ่งใหญ่อย่างหมดสิ้นของตน เพื่อที่จะเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ที่ปกติธรรมดาๆ ผ่านทางผู้หญิงชาวยิวคนหนึ่ง
ลก.1:27-28 ทำให้เราทราบว่าหญิงคนนั้นเป็นหญิงที่บริสุทธิ์หรือเป็นหญิงพรหมจารีย์ พี่ - น้องที่รักครับ ผู้หญิงคนนี้เธอได้รับโอกาสและได้รับสิทธิพิเศษ ในการเป็นแม่คน โดยไม่ต้องผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับชายใดมาก่อน
ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า การประสูติของพระเยซูนั้นทรงอัศจรรย์ หรืออาจจะกล่าวๆ ได้ว่าการเสด็จเข้ามาในโลกของพระเยซูในโลกนี้นั้นทรงอัศจรรย์
และเมื่อนางมาเรีย ได้คลอดบุตรเป็นชาย ชื่อนี้ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่โอฬารตระการตายิ่งกว่าอนุสาวรีย์ใดๆ ในโลก ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมาตั้งอยู่รวมกัน
และเมื่อนางมาเรีย ได้คลอดบุตรเป็นชาย ชื่อนี้เมื่อได้ผุดขึ้น ณ.ที่ใด เวลาใดก็จะงดงามยิ่งกว่าทุ่งบัวตองในยามหน้าร้อนหลายพันเท่าทวี
เมื่อนางมาเรีย ได้คลอดบุตรเป็นชาย ชื่อนี้เมื่อถูกร้องหรือเอ่ยถึงเมื่อใดก็จะไพเราะยิ่งกว่าบทเพลงไพเราะใดๆ มารวมกัน
เมื่อนางมาเรีย ได้คลอดบุตรเป็นชาย ชื่อของเด็กคนนี้ ได้ทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
อานุภาพของชื่อนี้ยิ่งใหญ่กว่าความยิ่งใหญ่ใดๆทั้งมวลมารวมกันและในพระวจนะของพระเจ้าในหนังสือ มธ.1:21 ทำให้ทราบว่านามนั้นคือ เยซู
พี่น้องที่รักครับ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้เสด็จเข้ามาประสูติหรือได้เสด็จเข้ามาบังเกิดในโลกนี้ พระวจนะของพระเจ้าใน ลก.2:7 ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าโลกนี้ไม่อยากที่จะต้อนรับพระองค์ พระคัมภีร์ได้บอกกับเราว่า เหตุที่พระองค์ต้องพักอาศัยอยู่ในโรงนาเก่าๆ ก็เพราะว่าประตูบ้าน ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเบธเลเฮ็มนั้น ถูกปิดลงทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกคนต่างมีพื้นที่เป็นของตัวเองกันหมดทุกคนหรือทุกคนต่างมีที่หลับที่นอนกันหมดทุกคน
เมื่อพระคริสต์เสด็จมาประสูติ เพื่อนำสันติสุขมาให้แก่โลกนี้ แต่โลกนี้ไม่อยากที่จะต้อนรับพระองค์ พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม เพราะทุกๆ ห้องของโรงแรมนั้น ประตูได้ถูกปิดลงหมดเรียบแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่เดินทางจากที่ต่างๆ มาที่เบธเลเฮ็ม พร้อมๆ กับครอบครัวของโยเซฟและนางมาเรียในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น พวกปุโรหิตย์ คนเลวี นักธรรม พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ พ่อค้า นักธุรกิจ คนงาน กุลีและอื่นๆ
ที่สำคัญก็คือว่า บางคน ที่เดินทางมาที่เบธเลเฮ็มนั้น บางคนอาจจะมีเชื้อสายเดียวกันกับพระองค์ คือ มีเชื้อสายของดาวิดเหมือนกับพระองค์ก็เป็นได้ เป็นไปได้ไหมครับพี่น้อง ? เป็นไปได้
แต่ทุกคนทำไมครับ ทุกคนต่างมีที่หลับที่นอนกันหมดทุกคน ยกเว้น ครอบครัวของโยเซฟกับนางมาเรียเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีที่หลับที่นอน ด้วยเหตุนี้เองนางจึงต้องอาศัยอยู่ในโรงนาเก่าๆ โดยนางมาเรียได้เอาพระเยซูพันผ้าอ้อม และวางพระองค์ไว้ในรางหญ้า
พี่น้องที่รักครับ ถ้าเราดูภาพที่พระคริสต์เสด็จมาบังเกิดในภาพ Post Card เรามักจะพบว่า นักวาดรูปหรือนักจิตรกรรมมักจะชอบวาดรูปพระเยซู ที่บรรทมอยู่ในรางหญ้าที่ทำอย่างดี พร้อมๆกับมีทูตสวรรค์มาล้อมรอบพระองค์และมีเสียงเพลงมาบรรเลงคอยขับกล่อมให้กับพระองค์ได้ฟังอย่างมีความสุข
แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นอย่างนั้นมั้ยครับ ? พระองค์ทรงบรรทมอยู่ในรางหญ้าเก่าๆ ในโรงนาที่เหม็นอับ อากาศก็หนาวเหน็บ สกปรกก็สกปรก แม้แต่คนก็ยังไม่อยากอยู่ และนี่คือข้อเท็จจริง ที่พระวจนะของพระเจ้า ได้บันทึกเอาไว้
ผมเคยเล่าเรื่องนี้ ให้กับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าฟัง เขาบอกว่าอย่างไรพี่น้องอยากรู้มั้ยครับ ? เขาบอกว่า ชาวบ้านเบธเลเฮ็มนั้น ใจดำ เจ้าของโรงแรมนั้นก็ ใจดำ ด้วยเหมือนกัน
ผมบอกเขาว่า ก่อนที่เราจะไปตำหนิหรือจะไปว่าเขาอย่างนั้น เราเองก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า คนสมัยนี้ก็ไม่ต้อนรับพระองค์เช่นเดียวกัน พี่น้องว่าจริงไหม ?
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กทุนมูลนิธิฯเมื่อวานนี้เป็นต้น ที่เข้าร่วมงานวันคริสตมาสของมูลนิธิฯที่จัดขึ้นในแต่ละปีเป็นจำนวนไม่น้อย บางคนไปร่วมงานทุกปี บางคนไปงานคริสตมาสก็หลายครั้งหลายหน บางคนได้ยินเรื่องราวหรือรู้ความหมายของวันคริสตมาส ดีกว่าคริสเตียนเสียอีก เพราะฟังมาเยอะมาก และบางคนก็เคยพูดคำว่า สุขสันต์วันคริสมาสด้วย
เฉกเช่นเดียวกับคนไทยในเวลานี้ ที่มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ได้ยินเรื่องราวขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าผ่านวันคริสตมาส แต่ใจของเขากับปิด แต่ใจของเขากับไม่มีที่ว่างให้กับพระองค์ เสมือนกับว่าทุกห้องของหัวใจเขานั้นมันได้เต็มหมดแล้ว
ห้องนี้สำหรับ 1) เรื่องการเรียน 2) เรื่องแฟน 3) เรื่องงานและ O.T. 4) การหาเงินทอง 5) ครอบครัว 6) ความสุขส่วนตัว 7) แชทอินเตอร์เน็ท 8) หนังสือโป้กับ CD ลามก 9) หนังการ์ตูนที่ไร้สาระ 10) ภาพยนตร์และละครน้ำเน่า 11) ตลกคาเฟ่ที่ไม่มีแก่นสาร 12) เหล้า บุหรี่ 13) แทงหวยเล่นเบอร์ 14) คอมพิวเตอร์เกมส์และอื่นๆอีกมากมาย เป็นต้น พี่น้องคิดว่ามีคนที่เป็นแบบนี้เยอะไหมครับในสังคมไทย ?
รวมทั้งผู้เชื่อบางคนด้วยเช่นกัน ที่บางครั้งเราก็เปิดประตูให้กับพระองค์และบางครั้งเราก็ปิดประตูใส่พระองค์ คริสเตียนประเภทนี้เราเรียกว่า คริสเตียนลักปิดลักเปิด ถ้าคริสเตียนมีอายุใกล้ๆ 50 หรือ 50 ขึ้น เราอาจจะเรียกคริสเตียนประเภทนี้ว่า คริสเตียนวัยทอง ก็ได้ ทั้งนี้เอาอารมณ์และความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้ง
พี่น้องที่รักครับ เมื่อเด็กน้อยที่มีนามว่าเยซูคนนี้ ได้เติบโตตามระยะของเด็ก เหมือนกับเด็กทุกคน และเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มวัย 30 ปี พระจริยาวัตรและคำตรัสหรือพูดของพระองค์นั้น ได้ตรึงให้ผู้คนต้องหยุดคิด ได้ตรึงให้ผู้คนต้องหยุดฟัง ในคำสอนของพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ทรงอาศัยอยู่แต่ในอิสราเอลเท่านั้น ไม่เคยได้เดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ เหมือนกับคนในสมัยนี้ และที่ๆ พระองค์ทรงเดินทางไกลมากที่สุด นั่นก็คือ การเดินทางไปเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส ที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี
พระเยซูทรงบอกใครต่อใครว่า พระองค์นั้นทรงยากจน ก็เพื่อที่จะให้คนอื่นๆ นั้นมั่งมี
คำถามก็คือว่า พระองค์ทรงยากจนขนาดไหน ? คำตอบอยู่ใน มธ.8:20
มธ. 8:20 บอกกับเราว่า พระองค์นั้นทรงยากจน ขนาดไม่มีแม้กระทั่งที่ที่จะวางศีรษะ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ต้องระเหเร่ร่อน ค่ำไหนนอนนั่น หรือต้องอาศัยบ้านคนอื่นเขานอน กระเป๋าสตางค์ของพระองค์อยู่ที่ปากของปลา พระองค์ทรงขอเรือเขานั่งเพื่อใช้ในการเดินทาง ทรงขอลาเขาขี่ และขอที่เขาฝังหรือขอที่เขาตาย
พระองค์ไม่ได้ศึกษาทางการแพทย์เหมือนกับนายแพทย์ลูกา แน่นอนแพทย์สภาก็คงไม่ยอมที่จะให้ใบประกอบโรคศิลป์แก่พระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงรักษาโรคต่างๆ ให้แก่ผู้คนที่เดินทางมาหาพระองค์มาแล้วนับไม่ถ้วน และที่สำคัญก็คือ มักจะเป็นโรคที่แพทย์ในสมัยนั้นรักษาไม่ได้เสียด้วย
พี่น้องยังจำได้ใช่มั้ยครับว่า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาประสูติในโลกนี้ โลกนี้ไม่อยากจะต้อนรับพระองค์ แต่เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ลก.23:45 ดวงอาทิตย์นั้นก็มืดไป ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ฟ้าสวรรค์ก็ร่ำไห้คร่ำครวญให้กับการจากไปของพระองค์
ภายหลังจากที่พระองค์ เสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาของพระองค์ เราไม่พบว่าพระองค์ได้เขียนตำราเล่มใดๆ ทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็มีนักประพันธ์และนักเขียนจำนวนมากที่สุดในโลก ได้เขียนถึงในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ทั้งที่เขียนเป็นหนังสือและได้เขียนเป็นบทความต่างๆ ที่เมื่อนำเอารวมกันแล้ว ห้องสมุดแห่งชาตินับพันๆ แห่งไม่สามารถที่จะบรรจุเอาไว้ได้ทั้งหมด
พระองค์ไม่เคยตั้งโรงเรียน ไม่เคยตั้งวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย และไม่เคยตั้งสถาบันใดๆ เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระองค์ทั้งสิ้น แต่ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาของพระองค์บนสวรรค์ กับมีโรงเรียน มีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทอดคำสอนของพระองค์ให้ดำรงอยู่กับโลกใบนี้มาแล้วเกือบ 2,000 ปี
พระองค์ไม่เคยพกพาอาวุธ ไม่เคยติดดาบ ไม่เคยก่อตั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และพระองค์ไม่เคยสถาปนากองกำลังใดๆ ขึ้นมาเป็นของตนเองเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบันนี้ แต่ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาของพระองค์ ก็มีคนที่พร้อม พร้อมที่จะสละชีวิตของพวกเขา เพื่อยืนหยัดในความเชื่อและเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระองค์อยู่เป็นล้านๆ คน
พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับว่า เมื่อพระคริสต์เสด็จมาประสูติบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่ต้อนรับพระองค์ แต่ประเทศต่างๆทั่วโลก ต่างนิยมที่จะนับวันที่ในแต่ละเดือนจากจุดที่พระองค์เกิด ซึ่งแท้ที่จริงโลกนี้มีสิทธิ์ ที่จะนับวันที่ในแต่ละเดือน จากจุดที่สำคัญต่างๆของประวัติศาสตร์โลกได้หลายจุด เช่น จะนับจากจุดที่เกิดอาณาจักรโรมก็ได้ หรือจะนับจากวันที่เกิดการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศสก็ได้ หรือจะนับจากจุดที่ท่านนบีมูฮัมหมัดเดินทางจากมักกะอ์ไปมาดีนะก็ได้ หรือจะนับจากวันที่พระพุทธเจ้าประสูติก็ได้แต่โลกทั้งโลก ต่างนิยมนับวันที่ในแต่ละเดือน จากวันที่พระเยซูทรงประสูติ และได้นับอย่างนี้มาเป็นพันๆปีแล้วและนี่คือเรื่องราวของพระเจ้า ผู้ได้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในอีกแง่มุมหนึ่งทั้งนี้เพื่ออะไร ?
คำตอบน่าจะอยู่ใน 2คร.5:19 “ คือ พระเจ้าทรงให้โลกนี้ คืนดีกันกับพระองค์ โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขาและทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ ” ทั้งนี้เพื่อที่จะฉุดชีวิตของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ให้กลับคืนดีกลับพระเจ้า