คำเทศนาเรื่อง พระเยซูกับเศรษฐีหนุ่ม
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรม มก. 10 : 17 - 22 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระธรรม มก. 10 : 17 - 22 แล้วอ่านพร้อมกันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ และข้อพระคัมภีร์ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 17 และข้อที่ 22 พระวจนะของพระเจ้าทั้งสองข้อนี้ตรัสดังนี้ว่า“มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์และคุกเข่าทูลถามพระองค์…….แต่กลับไปเป็นทุกข์” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ พระเยซูกับเศรษฐีหนุ่ม ” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานครับ
พี่ - น้องที่รักครับ มีเรื่องเล่าว่า ดร. เจ ที ซีแมนด์ ได้เดินทางไปเป็นมิชชั่นนารีที่ประเทศอินเดีย และท่านได้ไปจัดงานฟื้นฟูที่เมืองหนึ่งทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ภายหลังเสร็จจากงานฟื้นฟู ก็ได้มีมหาราชาท่านหนึ่ง ซึ่งมหาราชาของรัฐก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ก็ได้เชิญดร. ซีแมนด์ ไปเป็นแขกในวังของเขา เมื่อดร.ซีแมนด์ เข้าไปในวังก็พบว่ามหาราชาท่านนี้มีรถโรลรอยส์ใหม่ๆหลายคันจอดอยู่ภายในโรงรถ ท่านแต่งกายด้วยผ้าไหมอย่างดี ผ้าโพกศีรษะประดับประดาด้วยเพชร ทับทิมและมรกต ดร. ซีแมนด์และมหาราชาท่านนี้ได้รับประทานอาหารและเครื่องดื่มจากภาชนะที่ทำจากเงิน ความมั่งคั่งอย่างอลังการของมหาราชานั้นเป็นที่ประทับใจของ ดร. ซีแมนด์ เป็นอย่างมาก
แต่ในเวลาเดียวกัน ดร.ซีแมนด์ ก็พบว่า มหาราชาคนนี้ก็เป็นคนที่ยากจนในฝ่ายจิตวิญญาณอย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะภายหลังจากที่เขาเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่ยุโรปมหาราชาท่านนี้ก็ได้นำเอาสาวๆ นักเต้นกลับมาไว้ที่ฮาเล็มของเขาด้วย
ในทางตรงกันข้าม ในวันต่อมาได้มีคริสเตียนที่ยากจนคนครอบครัวหนึ่ง ได้ชวน ดร. ซีแมนด์ ไปทานอาหารที่บ้านซึ่งเจ้าของบ้านก็ได้บอก ดร. ซีแมนด์ ว่าบ้านของเขานั้นเป็นบ้านหลังเล็กและเก่ามาก ภายในบ้านของเขาก็ไม่มีอะไรมากแต่ถึงอย่างไรก็ตามก็จะขอต้อนรับดร. ซีแมนด์ อย่างดีที่สุด เมื่อ ดร. ซีแมนด์ ตอบตกลงและเมื่อเขาไปถึงที่บ้าน เจ้าของบ้านก็ได้แนะนำให้ ดร. ซีแมนด์ ได้รู้จักกับภรรยาและบุตรของเขาทั้ง 2 คน ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวคริสเตียนที่ดี เป็นครอบครัวที่รักพระเจ้าและครอบครัวนี้มีส่วนในการรับใช้พระเจ้าในหลายๆ ด้าน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ขอให้ ดร. ซีแมนด์ อ่านพระคัมภีร์ให้เขาฟังและให้อธิษฐานเผื่อก่อนจะกลับ
2
ก่อนที่ดร. ซีแมนด์ จะก้าวพ้นออกจากประตูบ้านและได้พูดกับหัวหน้าครอบครัวคนนี้ว่า “ ก่อนที่ผมจะมา คุณบอกว่าบ้านของคุณไม่ค่อยมีอะไร เป็นบ้านเล็กๆและเก่ามาก และขาดปัจจัยหลายอย่างทางวัตถุ แต่ผมอยากจะบอกกับคุณว่า โดยความเชื่อที่คุณมี คุณและครอบครัวจึงเป็นคนที่ร่ำรวยในฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างมาก ”
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 เราพบว่าเขาเป็นเศรษฐีก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ยาจกอยู่
ในพระธรรมมาระโก บทที่ 10 ปลายข้อที่ 22 พระคำของพระเจ้าซึ่งเป็หนังสือศักดิ์สิทธิ์ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มคนนี้นั้นเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมาก
พี่ - น้องที่รักครับ การที่ชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์สมบัติมากนั้น น่าจะมาจากการที่เขาได้รับมาหรือไม่ก็น่าจะมาจากการที่เขานั้นหามาได้
การที่เขามีทรัพย์สมบัติมาก จากการที่เขาได้รับมา นั่นก็หมายความว่า เขาได้รับมรดกตกทอด โดยที่เขาแทบไม่ต้องทำประการใดเลย แต่ก็มีคนให้เขามาซึ่งอาจจะเป็นบิดา มารดาของเขาก็ได้
การที่เขามีทรัพย์สมบัติมาก จากการที่เขาหามาได้ นั่นก็หมายความว่า เขาอาจจะหามาได้จากธุรกิจหรือจากการค้าที่เขามีก็เป็นได้
พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ว่าเขาจะได้รับมาหรือหามาได้ก็ตาม พระคำของพระเจ้าซึ่งเป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ ชายหนุ่มคนนี้เขาเป็นเศรษฐี ” ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ ซึ่งเราจะต้องเข้าใจด้วยว่า มนุษย์นั้นมักจะมองในสิ่งที่ตามองเห็นนั่นก็คือ มองกันที่วัตถุ เราก็จะพบว่าชายหนุ่มคนนี้ น่าจะมีบ้านหลังที่ใหญ่ มีบริวารทาสให้ใช้งานอยู่หลายคน รวมทั้งน่าจะมีอาหารที่เลิศรสให้กินและมีเสื้อผ้าที่ดีสำหรับใช้สวมใส่
เพราะฉะนั้นถ้าเรามองเศรษฐีหนุ่มคนนี้จากมุมมองทางด้านวัตถุ เราก็จะพบว่าเขานั้นมีชีวิตที่มีความสุข เขานั้นอยู่กับความสะดวกสบาย ใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหรา เพราะเขาไม่ขาดสิ่งใดๆ เลย แต่ถ้าเรามองอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านในฝ่ายจิตวิญญาณ เราก็จะพบว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ยากจนมาก
คำถามคือว่าเราดูได้จากอะไร ? คำตอบก็คือ เราดูได้จากท่าทีและการกระทำหรือคำพูดของเขา
3
พระคำของพระเจ้าซึ่งเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ได้บอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนว่า มีคนหนึ่งทำไมครับพี่ - น้อง ? “ วิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงและทูลถามพระองค์ว่า อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ”
ด้วยท่าทีและการกระทำหรือคำพูดของเขานี่เอง ที่ทำให้เราทราบว่า 1 ) เขาเป็นคนที่ยากจนในฝ่ายจิตวิญญาณ 2 ) ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ การได้รับชีวิตนิรันดร์
มีหลายคนถามว่า เป็นไปได้หรือที่คนร่ำรวยในฝ่ายวัตถุ แต่กลับเป็นบุคคลที่ยากจนในฝ่ายจิตวิญญาณ ในทางกลับกันคือ เป็นไปได้หรือที่คนยากจนในฝ่ายวัตถุ แต่กลับเป็นบุคคลที่ร่ำรวยในฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นไปได้มั้ยครับพี่ - น้อง ? ให้เราเปิดไปที่ 2 คร. 8 : 9 “ เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์ ” คำตอบคือ เป็นไปได้
พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ชี้ให้เราเห็นว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้ได้เข้ามาหาพระเยซูคริสต์แบบคนที่ร่ำรวยในฝ่ายวัตถุ แต่เขากับเป็นคนที่ยากจนที่สุด ในฝ่ายจิตวิญญาณ
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่าร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 เราพบว่าเขาเป็นดีก็จริงแต่ก็ยังเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง
พี่ - น้องที่รักครับ ชายหนุ่มคนนี้ได้บอกกับพระเยซูว่า เขาเองนั้นได้ถือรักษาธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้ามาตั้งเด็ก และเขาก็สามารถที่จะถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าเอาไว้ได้ทั้งหมด ไม่มีพระบัญญัติข้อไหนเลยที่คนอย่างเขานั้นทำไม่ได้หรือปฏิบัติไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่าเขากำลังบอกกับพระเยซูว่า
1 ) เขาเป็นยิวที่เคร่งครัดในศาสนาของยิว
2 ) เขาเป็นยิวที่ทุกธรรมศาลาให้การยอมรับในตัวเขา
3 ) เขาเป็นยิวที่ได้รับการปลูกฝังให้มีมาตรฐานทางคุณธรรมที่สูงมาตั้งแต่เด็ก
4 ) เขาเป็นยิวที่ชอบธรรม ซึ่งถ้าพระเยซูไปถามคนทั่วๆ ไปก็จะต้องบอกว่าเขานั้นเป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่ง เขาจึงถามพระเยซูว่า “ พระอาจารย์เจ้าข้า ถ้าข้าพเจ้าทำอย่างนี้แล้วยังไม่พอ แล้วข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ ”
4
พระเยซูคริสต์ทรงตอบคำถามของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ว่า ธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการที่พระเจ้าได้ทรงประทานผ่านทางโมเสสซึ่งอยู่ในหนังสือ อพยพบทที่ 20
ตั้งแต่ข้อที่ 1 - 4 ซึ่งว่าด้วยการักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับพระเจ้านั้น เรา ( เราในที่นี้หมายถึง องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ) เราจะนำมารวมกันให้เป็นบัญญัติข้อแรกของเรา นั่นก็คือ “ และพวกท่านทั้งหลายจงรักพระเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน ” และธรรมบัญญัติตั้งแต่ข้อที่ 5 - 10 ในสมัยของโมเสส ซึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราจะเอามารวมกันเป็นบัญญัติข้อที่สองของเรา นั่นก็คือ “ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี ”
เมื่อพระเยซูได้ตอบคำถามของเศรษฐีหนุ่มคนนี้แล้ว พระเยซูจึงตรัสกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ด้วยความเอ็นดูว่า “ จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่ และแจกจ่ายให้กับคนยากจน ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงกลับมาติดตามเรา ”เมื่อเศรษฐีหนุ่มได้ยินดังนั้นแล้วเขาทำตามมั้ยครับพี่ - น้อง ? คำตอบคือ ไม่
เราต้องเข้าใจว่า การไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้นถือว่าเป็นบาป และเราต้องเข้าใจอีกด้วยว่าบาปนั้นไม่ใช่เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นแล้วตาย หรือเหมือนกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่
Mexicoแต่บาปนั้นเป็นโรคในฝ่ายจิตวิญญาณที่ฝังแน่นอยู่ในชีวิตของเรา ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงไม่ต้องไปเข้าโรงเรียนแห่งการทำบาป เพราะมนุษย์ทุกคนพร้อมที่จะทำบาปได้เสมอ ดังนั้นโรคบาปจะต้องใช้กล้องพิเศษของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะมองเห็น เช่นเดียวกับโรคบางโรคที่แพทย์ปัจจุบันยังต้องใช้อุลตร้าซาวด์ถึงจะมองเห็นเชื้อโรค
ดังนั้นถ้าเราจะมองเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ผ่านกล้องของพระเจ้าหรือทางธรรมบัญญัติทั้ง 2 ข้อที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ผ่านไปอย่างสดๆ ร้อนๆ เราก็จะพบว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้หาได้ดำรงชีวิตตามธรรมบัญญัติทั้ง 2 ข้อนี้แต่อย่างใดไม่
ซึ่งนั่นหมายความว่า แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ดีแต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีนั่นเอง
ซึ่งนั่นหมายความว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้ไม่ได้รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดอย่างแท้จริง เหตุเพราะเขายังมีรูปเคารพอยู่ในใจ พี่ - น้องเข้าใจคำว่ารูปเคารพในใจมั้ยครับ ?
รูปเคารพในใจคือ อะไรก็ตามที่พี่ - น้องให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้นมากเกินไปกว่าพระเจ้า นั่นก็คือ การที่พี่ - น้องมีรูปเคารพในใจ Ex. เช่น เมื่อภรรยาผมได้คลอดบุตร
5
ออกมาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม และผมนั้นได้ให้ความสำคัญต่อลูกของผมมากกว่าการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า พี่ - น้องฟังให้ดีๆ น๊ะครับ
1 ) ลูกนั้นได้กลายเป็นรูปเคารพภายในใจของผมในทันที 2 ) ลูกนั้นได้กลายเป็นพระอีกองค์หนึ่งในชีวิตของผมในทันที 3 ) ในฝ่ายวิญญาณนั่นเท่ากับว่าผมกำลังเล่นชู้กับพระอื่นในทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขามีรูปเคารพในใจ และรูปเคารพภายในใจที่เขามีนั่นคืออะไรครับ ? ทรัพย์สินเงินทองที่มากหลายของเขานั่นเอง
ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า ในเช้าวันนี้ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องด้วยความรักของพระเจ้าและอยากจะบอกกับท่านอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังมีพี่ - น้องในคริสตจักรฯของเราหลายคน ที่ยังมีรูปเคารพอยู่ในใจนั้นอยู่อีกมาก บางคนก็มีลูก เป็นรูปเคารพในใจบางคนก็มีแฟนหรือสามีเป็นรูปเคารพในใจ บางคนก็มีงานเหรือธุระในวันอาทิตย์เป็นรูปเคารพในใจ เพราะฉะนั้นขอพระเจ้าช่วยเราที่เราจะไม่เป็นเหมือนกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้
บัญญัติข้อที่สองว่าอย่างไรน๊ะครับพี่ - น้อง“ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ” เมื่อพระเยซูทรงบอกกับเขาว่า “ จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้กับคนยากจน ” คำถามคือว่า เขารักเพื่อนมนุษย์มั้ยครับ ? คำตอบคือ ไม่ เหตุเพราะเขาไม่ได้นำทรัพย์สมบัติของเขาไปช่วยหรือสงเคราะห์ต่อคนยากจนแต่ประการใด
สิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบอกกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ผ่านทางธรรมบัญญัติทั้ง 2 ข้อนี้ก็คือว่า ความชอบธรรมที่แท้จริงนั้นหาใช่เพียงแค่การทำความดีและยับยั้งที่จะไม่ประพฤติชั่ว แต่กับเป็นการหาทางที่จะรับพระบุตรของพระองค์ไว้ในชีวิต และถ้าเรารับพระกิตติคุณขององค์อย่างลึกซึ้ง เราก็จะรักในพระเจ้าองค์นี้ และก็พยายามทำความดีเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ผ่านคำกำชับที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้กับเรา
ซึ่งนั่นหมายความว่า อะไรก็ตามที่มีคำว่า จง นั่นคือสิ่งที่เราผู้ซึ่งเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้เชื่อทุกคนมิใช่บางคน จะต้องมีใจที่อยากจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าไม่ปฏิบัติไม่ได้ เช่น มธ. 3 : 8 “ จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น ”
มธ. 5 : 24 “ จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชากลับไปคืนดีกลับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน”
มธ. 5 : 16 “ จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวงเพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ ” เป็นต้น
6
ดังนั้นเศรษฐีหนุ่มคนนี้จึงมาหาพระเยซูซึ่งภายนอกนั้น เขาดูเป็นคนที่ชอบธรรม แต่แท้ที่จริงแล้วเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง
จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 เราพบว่าเขาเป็นคนฉลาดก็จริงแต่เขาก็ยังเป็นคนที่โง่เขลาอยู่ดีนั่นเอง
พี่ - น้องที่รักครับ เศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ฉลาด สิ่งที่ยืนยันว่าเขาเป็นคนฉลาดนั่นก็คือ เมื่อเขารู้ว่าเขามีคำถามบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เขาจึงเลือกที่จะเข้าไปให้ถึงแหล่งข้อมูลที่เขาควรจะได้รับคำตอบ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน ยน.14 : 6 ว่า “ เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเราเป็นชีวิต ” ดังนั้นเศรษฐีหนุ่มคนนี้จึงเลือกที่จะเข้าไปหาองค์พระเยซูคริสตเจ้ามากกว่าที่จะเลือกเข้าไปหาพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์หรือคนอื่นๆหรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่าคนฉลาดนั้นมักจะเข้าหาแหล่งคำตอบของคำถามที่เขาจะได้รับเสมอ
อีกประการหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ฉลาดนั่นก็คือ การตั้งคำถาม นักบริหารบางคนกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่าสื่อมวลชนหรือนักข่าวคนไหนฉลาดหรือไม่ฉลาดให้สังเกตดูได้จากการตั้งคำถาม และในทางตรงกันข้าม นักข่าวหรือสื่อสารมวลชนบางคนก็ได้กล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า ผู้ให้สัมภาษณ์คนไหนเก่งหรือไม่เก่ง มีกึ๋นหรือไม่มีกึ๋น ให้สังเกตดูจากการตอบคำถาม
การตั้งคำถามของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ว่า “ พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ ” ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของเขาว่า เขาอยากรู้อย่างลึกซึ้ง การถามอย่างตรงไปตรงมา บ่งบอกถึงความต้องการเข้าสู่ประเด็น มากกว่าหายใจทิ้งไปกับคำถามที่อ้อมค้อม วกไปวนมาหรือกว่าจะถามได้ต้องบิดตัวไปมา
พี่ - น้องที่รักครับ แม้ว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้ จะแสดงถึงความฉลาดและมีปัญญาผ่านทางการตั้งคำถามก็จริง แต่พอมาถึงปฏิกิริยาต่อคำตอบ ที่พระเยซูได้ตรัสตอบแก่เขาว่า “ จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้กับคนยากจน ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงกลับมาติดตามเรา ” เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาก็เลือกหนทางแห่งชีวิตที่ผิดพลาดในทันที
พี่ - น้องต้องไม่ลืมว่าน๊ะครับว่า โดยแท้จริงแล้วเศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาต้องการที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่แทนที่เขาจะรีบต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์ไว้ในชีวิตของเขา
7
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เขากลับปฏิเสธชีวิตนั้น
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เขากับคิดว่า คำตอบของพระเยซูนั้นต้องทำให้ต้องขบคิดอย่างหนักหรือต้องรู้สึกเครียด
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วเขากับคิดว่าการได้รับชีวิตนิรันดร์นั้นดูจะเป็นต้นเหตุของปัญหาสำหรับชีวิตของเขามากๆ เลยทีเดียว
มีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งได้มาหาผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่มีชื่อเสียงเรืองนาม คือ ดี แอล มูดี้ และชายคนนี้ได้พูดกับ ดี แอล มูดี้ ว่า “ อาจารย์ครับ ถ้าอาจารย์ตอบคำถามต่างๆ ให้จุใจผมคืนนี้ได้ทุกข้อ คืนพรุ่งนี้ผมจะกลับมาและจะเชื่อในพระเยซู ” อาจารย์ ดี แอล มูดี้ ตอบว่า “ เสียใจครับ คือ คุณจัดลำดับเวลาและขั้นตอนผิดไปหน่อย คือ ถ้าคุณเชื่อพระเยซูเสียก่อนในคืนนี้ แล้ววันพรุ่งนี้คุณลองนำคำถามต่างๆ มาหาผม ผมจะตอบให้จุใจคุณในทุกคำถามเลยทีเดียว ”
พี่ - น้องที่รักครับ ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ แม้ว่าเราอาจจะมีคำถามและเราอาจจะได้รับคำตอบอย่างไม่จุใจ หรือคริสเตียนบางคนอาจจะตอบคำถามของเราได้อย่างไม่จุใจก็ตาม แต่เราต้องรู้และเข้าใจว่า“ แท้จริงแล้วตัวขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นแหละที่เป็นคำตอบในทุกสิ่ง ”
ตอนที่พระเยซูคริสต์ ได้อ้างถึงธรรมบัญญัติ 10 ประการให้แก่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ได้ฟังนั้น ว่าไปแล้วก็ยังไม่ใช่คำตอบที่จุใจเศรษฐีหนุ่มคนนี้เท่าไหร่นัก คำแนะนำที่พระเยซูได้บอกกับเขาว่า ให้เขากลับไปหาสรรพสิ่งที่เขามีอยู่ นั่นก็คือ ทรัพย์สินเงินทองและให้เขานั้นแจกจ่ายให้กับคนยากจน ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่เขาจุใจ
คำตอบที่แทงใจของเศรษฐีหนุ่มคนนี้มากที่สุดก็คือ ตอนที่พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ ทิ้งทั้งหมดแล้วจงตามพระองค์มา เพราะผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ”คำถามคือว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้ตามพระเยซูมั้ยครับ ? เศรษฐีหนุ่มคนนี้แม้ว่าจะเป็นคนที่ฉลาดก็จริงแต่ก็ยังเป็นคนโง่เขลาอยู่ดี เพราะเขาไม่เข้าใจว่าชีวิตนิรันดร์ที่เขาต้องการนั้นแท้จริงแล้วคือ การมีชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้านั่นเอง ให้เราได้บอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า การมีชีวิตนิรันดร์ คือ การมีชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้านั่นเอง
8
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 4 ซึ่งเป็นประการสุดท้าย เราพบว่า เขาอยู่ใกล้พระเยซูก็จริง แต่ก็ยังห่างไกลจากพระเจ้าอยู่ดีนั่นเอง
พี่ - น้องที่รักครับ ในหนังสือพระกิตติคุณของพระทั้ง 4 เล่ม ซึ่งประกอบไปด้วยพระธรรม มัทธิว มาระโก ลูกาและพระธรรมยอห์น ถ้าพี่ - น้องได้อ่านอย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่าทุกๆ คนที่มาหาพระเยซูนั้น ไม่ว่าจะเข้ามาหาพระองค์ด้วยภาระปัญหาที่หนักขนาดไหน หรือไม่ว่าจะเข้ามาหาพระองค์ด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรมาก็ตาม โดยส่วนมากหรือเกือบจะทุกคนนั้น เขามักจะ
กลับออกไปด้วยความเศร้าหรือด้วยความชื่นชมยินดีครับพี่ - น้อง ? ด้วยความชื่นชมยินดีเสมอ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจริงๆ พี่ - น้องที่รัก ที่มาหาพระเยซูคริสต์แล้วจะต้องเดินคอตกกลับออกไปด้วยความผิดหวัง
คำถาม คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นผู้ที่ทำให้คนที่เดินเข้ามาหาพระองค์แล้วต้องเดิน
คอตกกลับออกไปด้วยความผิดหวังใช่หรือไม่ ?
รม. 8 : 28 “ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ ” ดังนั้นคำถามเมื่อสักครู่ที่ถามว่าองค์พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ทำให้คนที่เดินเข้ามาหาพระองค์แล้ว ต้องเดินคอตกกลับออกไปด้วยความผิดหวังใช่หรือไม่ คำตอบ คือ ( ไม่ใช่ ) เมื่อไม่ใช่แล้ว
คำถาม ต่อไปก็คือว่า แล้วใครกันเล่า ที่ทำให้คนที่เดินเข้ามาหาพระองค์แล้ว จะต้องเดินคอตกกลับออกไปด้วยความผิดหวัง ? คำตอบ ก็คือ ตัวของเราเองนั่นแหละ
พระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นหนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้สติและให้ปัญญากับเรา ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้ได้วิ่งเข้ามาหาพระองค์และได้คุกเข่าอยู่ใกล้ๆ กับพระบาทพระเยซู
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าจะว่ากันในทางภูมิศาสตร์แล้ว เศรษฐีหนุ่มคนนี้เขาอยู่ห่างพระเยซูเพียงแค่คืบหรือสองคืบเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะว่ากันในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว เศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาช่างห่างไกลจากพระเยซูเสียจริงๆ ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ ก็ได้มีการบันทึกบุคคลในลักษณะที่ ใกล้แต่ไกล เอาไว้ด้วยเช่นกัน เช่น
9
ปีลาตชาวโรมที่เป็นเจ้าเมืองยูเดีย ซึ่งครั้งหนึ่งเขาได้มีโอกาสยืนอยู่ใกล้พระเยซู ได้มีโอกาสได้พูดและได้ถามพระเยซูในหลาย ๆ คำถาม จนกระทั่งปีลาตต้องพูดออกมาใน ลก. 23 : 4 ว่า “ เราไม่เห็นว่าคนๆ นี้จะผิดอะไร ” แต่ในตอนท้ายปีลาตก็ห่างไกลจากพระเยซู
ยูดาสอิสคาริโอท สาวกของพระเยซูก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาส นอนด้วยกัน กินด้วยกัน เดินทางไปด้วยกัน ทำงานร่วมกันกับพระเยซู แต่จุบมรณะนั้นก็ทำให้เราทราบว่า เขานั้นก็เป็นคนหนึ่งที่มีจิตใจที่ห่างไกลจากพระเยซู
เศรษฐีหนุ่มคนนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่วิ่งมาหาพระองค์และได้คุกเข่าที่แทบพระบาทของพระเยซู ซึ่งเขาได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเยซูเป็นอย่างมาก เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้นและทรงรักเขา ” และเขาได้ถามคำถามต่อพระองค์ และเขาก็ได้รับคำตอบจากพระเยซู ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบที่น่าจะทำให้เขาไปถึงชีวิตนิรันดร์ได้
แต่เมื่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ได้รับคำตอบจากพระเยซูแล้วเขากลับหมุน 180 องศาและเดินจากพระเยซูไปในทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด เพราะเศรษฐีหนุ่มคนนี้
1 ) เขาจงใจที่จะปฏิเสธพระเยซู ซึ่งถือว่าเป็นบาปที่ใหญ่ที่สุด
2 ) เขาไปไม่ถึงขั้น ที่จะตัดสินใจก้าวไปในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือ การยอมมอบชีวิตของเขาทั้งหมดให้กับพระเยซู
เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้ ที่เรามีผู้เชื่อหรือมีคริสเตียนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ในคริสตจักรอื่นและอยู่ในคริสตจักรฯ นี้ ที่เขา 1 ) ได้เข้ามาอยู่ใกล้กับพระเยซูคริสต์ 2 ) ได้เข้ามาอยู่ใกล้กับคริสตจักรของพระองค์ 3 ) ได้มาอยู่ใกล้กับผู้เชื่อด้วยกัน 4 ) ได้มาอยู่ใกล้กับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งหลายคนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูและคำสอนในพระคัมภีร์เป็นอย่างดี หลายคนสามารถที่จะอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ หลายคนเคยผ่านการรับบัพติสมาในน้ำ หลายคนเคยผ่านการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการล้มแล้วล้มอีกและผ่านการล้มมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่หลายคนก็จับคันไถแล้วหันหลังกลับ
10
เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้ ที่เรามีผู้เชื่อหรือมีคริสเตียนอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ในคริสตจักรอื่นและในคริสตจักรฯ นี้ ที่ในบางครั้งชีวิตของเขาก็หัน 180* หันไปหาพระเยซู และในหลายๆ ครั้งที่ชีวิตของเขาก็หัน 180* หันไปหาเนื้อหนังของตน และก็หันกลับไปกลับมาอย่างนี้ ซึ่งปีหนึ่งๆ เราไม่รู้ว่ามีผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่หันไป หันมา ในลักษณะอย่างนี้กี่ครั้ง แต่ที่รู้ก็คือว่าน่าจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นถึงแม้ว่าพี่ - น้องบางคนจะมาคริสตจักรของพระเจ้าหรือมาโบสถ์ในวันอาทิตย์ก็ตาม แต่ถ้าท่านยังหันไป หันมา ในลักษณะอย่างนี้ คือ เดี๋ยวเอาพระเจ้า เดี๋ยวเอาเนื้อหนังของตน ท่านก็ยังห่างไกลจากพระเยซูอยู่ดีนั่นเอง คำถามก็คือว่า เพราะอะไร ?
คำตอบคือ เพราะเขาไปไม่ถึงขั้น ที่จะตัดสินใจก้าวไปในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือ การยอมมอบชีวิตของเขาทั้งหมดให้กับพระเยซู และให้พระเยซูเป็นผู้นำชีวิตของเขาและมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูนั่นเอง
ผมจะสรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ด้วยการตั้งคำถามๆ พี่ - น้อง ซึ่งพี่ - น้องไม่จำเป็นที่จะต้องตอบผม แต่ขอให้พี่ - น้องได้ตอบคำถามนี้ภายในใจของท่านและขอให้พี่ - น้องได้รู้เถิดว่าพระเจ้าทรงไม่พอพระทัย ลิ้นที่มุสา ดังนั้นขอให้พี่ - น้องโปรดสัตย์ซื่อต่อตัวของท่านเอง ผมจะไม่ถามว่าพี่ - น้องรักพระเจ้าหรือไม่ ? แต่คำถามที่ผมจะถามพี่ - น้องก็คือว่า การกระทำหรือการตัดสินใจบางอย่างของท่านในเวลานี้กำลังแสดงออกว่าท่านกำลังรักสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้าใช่หรือไม่ ?
ถ้าภายในใจของท่านมันฟ้องหรือมันตอบว่า ใช่ 1 ) ขอให้รู้เถิดว่าท่านกำลังห่างไกลจากพระเจ้าเหมือนกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ และผมในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าอยากจะพูดพระวจนะของพระเจ้ากับพี่ - น้องว่า “ จงกลับใจเสียใหม่ ” โดยให้ท่านได้อธิษฐานสารภาพบาปต่อพระเจ้าเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เพราะถ้าพี่ - น้องไม่กลับใจเสียใหม่พี่ - น้องจะพบอะไร ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ พระธรรมวิวรณ์ 2 : 16 พระวจนะของพระเจ้าได้ตรัสว่า“ จงกลับใจเสียใหม่ มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้าและจะสู้กับเขาเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา ”
ในสมัยของพระคัมภีร์เดิมพี่ - น้องทราบมัยครับว่า ถ้าพระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำของพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ต่ออิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติของพระองค์เมื่อไหร่แล้ว คนที่รักและอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณา ก็จะรู้ได้ทันทีว่า
11
พระเจ้ากำลังจะเอาเรื่องกับอิสราเอลแล้ว หรือไม่อิสราเอลกำลังจะแย่แล้ว หรือไม่อิสราเอลใกล้จะย่อยยับพินาศแล้ว
ขอบคุณพระเจ้า ที่พวกเราซึ่งเป็นอิสราเอลหรือเป็นชนชาติของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าซึ่งเป็นยุคแห่งพระคุณ ดังนั้นถ้อยคำใน วิวรณ์ 2 : 16 ที่ได้ทรงตรัสเอาไว้ โดยพระคุณของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทำให้เราซึ่งเป็นอิสราเอลหรือเป็นประชากรของพระเจ้าในเวลานี้จะต้องย่อยยับพินาศหรือดับไป แต่ถ้าเราไม่กลับใจเสียใหม่ยังรักสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้า ยังให้สิ่งอื่นเป็นรูปเคารพในใจของท่านและสิ่งนั้นทำให้ท่านมีชีวิตที่ห่างไกลจากพระเจ้า หรือท่านยังเล่นชู้กับรูปเคารพในฝ่ายวิญญาณนั้นต่อไป พี่ - น้องจะขาดซึ่งพระพรของพระเจ้า ซึ่งนั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์
ในเช้าวันนี้ ผมในฐานะผู้เลี้ยงและเป็นผู้ซึ่งกล่าวถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
อยากจะกล่าวพระวจนะของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “ จงกลับใจเสียใหม่ ” โดยให้ท่านได้อธิษฐานสารภาพบาปต่อพระเจ้าตั้งแต่เด๋ยวนี้ และเมื่อพี่ - น้องได้อธิษฐานสารภาพบาปต่อพระเจ้าแล้ว ให้พี่ - น้องได้อธิษฐานขอ ขอที่ท่านจะได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีหรือรื้อฟื้นแท่นบูชาของท่านกับพระเจ้าใหม่อีกครั้ง โดยที่ท่านและครอบครัวของท่านจะมีชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ขอเชิญทีมนมัสการและให้เราแสวงหาพระเจ้าด้วยกัน