คำเทศนา อ. ก้องภพ
11 เมษายน 2010
คำเทศนาเรื่อง สงครามที่ไม่สิ้นสุด
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรม อฟซ. 6 : 10 - 20 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อฟซ. 6 : 10 - 20 และให้ที่ประชุมอ่านอย่างช้าๆ พร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ สงครามที่ไม่สิ้นสุด ” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้มีโอกาสติดตามข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากทางหนังสือพิมพ์ หรือไม่ว่าจะเป็นจากทางวิทยุและหรือจากทางโทรทัศน์ก็ตาม
พี่ - น้องก็จะพบว่า ขณะนี้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกนั้น ล้วนแต่กำลังอยู่ในภาวะของสงครามทั้งสิ้นไม่สงครามระหว่างประเทศ ก็ตกอยู่ในสงครามกลางเมือง หรือไม่ก็อยู่ในภาวะของสงครามทางเศรษฐกิจ ในหลายๆประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกาต่างตกอยู่ในสงครามการกันดารอาหาร เป็นต้น
ซึ่งมีพี่ - น้องคนไทยหลายคนได้บอกกับผมว่านับรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วยเช่นกัน ที่อยู่ในภาวะของสงครามนี้ โดยเฉพาะในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า สงครามที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดนั้นคือ สงครามอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? สงครามที่น่าสะพรึ่งกลัวมากที่สุดนั่นก็คือ สงครามที่ตามองไม่เห็นซึ่งคริสเตียนเราก็ตกอยู่ในสงครามนี้ด้วยเช่นกัน
และพี่ - น้องทราบไหมครับว่า สงครามที่ทำให้ผู้คนทั่วบ้าน ทั่วเมือง ต่างต้องหนักอก หนักใจกันมากที่สุดนั้นคือ สงครามอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? สงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งคริสเตียนเราต่างก็ตกอยู่ในสงครามนี้ด้วยเช่นกัน บางคนถามว่าสงครามนี้เสร็จเมื่อไหร่ ? จนกว่าวันคืนที่พระคริสต์จะเสด็จกลับมา ( มาเมื่อไหร่ก็เสร็จเมื่อนั้น )
และพี่ - น้องทราบไหมครับว่า สงครามที่ทำให้คริสตชนหรือคนของพระเจ้านั้น จะต้องขาดพระพรของพระเจ้าอย่างไม่สมควรนั้นคือ สงครามอะไร ? สงครามในบ้านของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้เชื่อหรือสงครามของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้า
ใครคือคริสตจักรของพระเจ้าครับ ? เรานี่แหละคือ คริสตจักรของพระเจ้าไม่ใช่ตัวอาคารแต่มันคือตัวเรา
คำถามก็คือว่า วันนี้ในบ้านของพี่ - น้องมีการประกาศสงครามกันไหมครับ ? หรือคริสตจักรของพระเจ้าแห่งนี้มีใครกำลังทำสงครามกันอยู่ไหมครับ ?
พี่ - น้องที่รักครับ น่าเสียดายตรงที่ว่า ในเวลานี้ทั้งผู้เชื่อเองก็ดีและผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อหรือผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเองก็ตาม เราต่างทำสงครามกับศัตรูที่ไม่ใช่เป็นศัตรูตัวจริงด้วยกันทั้งสิ้น
เพื่อให้พี่ - น้องได้มีความเข้าใจในพระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้อย่างถูกต้อง ผมขออนุญาตที่จะ Ex. สักตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้พี่ - น้องได้มีความเข้าใจที่ชัดเจน เช่น คนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองในเวลานี้ ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่า นี่ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง
คนเสื้อน้ำเงินหรือคนเสื้อสีชมพูและหรือไม่ว่าคนๆ นั้นจะใส่เสื้อสีอะไรก็ตามแต่ ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า นั่นก็ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง
สามีของพี่ - น้องบางคนที่เขานั้น อาจจะกินเหล้าหรืออาจะสูบบุหรี่อยู่ที่บ้านก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง ถึงแม้ว่าภรรยาบางคนพยายามที่จะบอกว่า ( มันใช่ก็ตาม )
แต่ผมขอยืนยันกับพี่ - น้องว่า ( ไม่ใช่ ) คำถามก็คือว่า แล้วเช่นนั้นศัตรูที่แท้จริงของพี่ - น้องและผมมันเป็นใคร ? คำตอบที่ดีที่สุดและชัดเจนที่สุดอยู่ในพระวจนะคำของพระเจ้านั่นก็คือ พญามาร
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า การที่สหรัฐอเมริกาต้องพ่ายแพ้ให้แก่ประเทศเวียดนามในสมัยนั้น เป็นเพราะสหรัฐไม่รู้ว่าศัตรูของเขานั้นเป็นใคร ภายหลังจากนั้นสหรัฐจึงต้องตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมา ที่มีชื่อว่าสายลับ CIA ด้วยเหตุนี้เองรัสเซียซึ่งเป็นคู่แข่งของคนสำคัญของอเมริกา ก็ได้ตั้งหน่วยงานคู่ขนานขึ้นมา ซึ่งเรารู้จักกันในนามสายลับ KGB
อิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็มีปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาโดยตลอด ก็ได้มีการตั้งหน่วยงานหนึ่งที่มีชื่อว่าMOTSAT ขึ้นมา เพื่อที่จะศึกษาหรือเรียนรู้จักศัตรูของเขาว่าโดยแท้จริงแล้วศัตรูของเขานั้นคือใครกันแน่หรือเป็นพวกมือที่สาม
เพราะฉะนั้นพี่ - น้องที่รักครับ เราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราก็จะต้องมีความรู้และมีความใจเช่นเดียวกันว่า เรานั้นกำลังต่อสู้กับใคร และเราจะต้องรู้ว่าทำไมเราถึงจะต้องต่อสู้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ เราจะต้องรู้ว่า เราสู้ไปแล้วเราได้อะไรจากการต่อสู้นั้น ( อาเมนไหมครับ )
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 11 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
ประการที่ 1 คือ เราพบศัตรูของคริสเตียน
พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราผ่านทางท่าน อ. เปาโล ผู้ซึ่งเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้ว่า ศัตรูของพี่ - น้องและผมหรือศัตรูของคริสตชนทุกๆ คนนั้นคือ พญามาร
มารก็พอสมควรแล้วใช่ไหมครับพี่ - น้อง แต่นี่กับเป็น พญามาร ด้วยยิ่งร้ายกาจกันเข้าไปใหญ่จริงไหมครับพี่ - น้อง ?
ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ พระวจนะคำของพระเจ้าจึงบอกกับเราอย่างชัดเจนในข้อถัดไปว่า เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่คริสเตียนทุกคนต่อสู้กับใครครับ ให้เราได้อ่านด้วยกันถึงข้อที่ 12 ร่วมกันครับ
และผมอยากที่จะให้พี่ - น้องชายหญิงได้เปิดไปที่ 1 ปต. 5 : 8 - 9 และอ่านอย่างช้าๆ พร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พระคำของพระเจ้าใน 1 ปต. 5 : 8 - 9 ได้บอกกับเรา เพื่อให้เรานั้นได้ทราบว่า มาร ซาตาน นั้นมันมีพฤติกรรมอย่างไร
มาร ซาตาน นั้นมันมีพฤติกรรมอย่างไรครับพี่ - น้อง ? พฤติกรรมของมาร ซาตาน มันชอบที่จะวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำราม พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้ชี้ให้เราทั้งหลายนั้นได้แลเห็นอย่างชัดเจนว่า มาร - ซาตาน นั้นมันเจ้าเล่ห์ มันมีทริคหรือมันมีแทคติคต่างๆ นาๆ
คำถามก็คือว่า มันวนเวียนอยู่ที่ไหนครับ ? คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ
1. มันวนเวียนอยู่ที่ความรู้สึกและความนึกคิดของพี่ - น้องและผม
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พี่ - น้องและผมต่างเริ่มที่จะมีความรู้สึก ต่างเริ่มที่จะมีความนึกคิดที่ไปในทางของเนื้อหนัง เช่น ขี้เกียจไม่อยากที่จะมาโบสถ์ ไม่อยากที่จะสัตย์ซื่อกับพระเจ้า ไม่อยากที่จะมีส่วนในคริสตจักรฯ
พระคำของพระเจ้าใน 1 ปต. 5 : 8 - 9 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า มาร ซาตาน มันจะเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้
ซึ่งนั่นหมายความว่ามารซาตาน มันก็พร้อมที่จะสนับสนุนในเหตุผลของพี่ - น้องในทันทีที่พี่ - น้องมีความรู้สึกหรือมีความนึกคิดอย่างนั้น
คำถามก็คือว่า มันวนเวียนอยู่ที่ไหน ? คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ
2. มันวนเวียนอยู่ที่ดวงตาและดวงจิตของพี่ - น้องและผม เช่น สงกรานต์นี้เราจะไปสาดน้ำสาวๆ ที่ตรอกข้าวสารกันดีไหม เพราะมีแต่ผู้หญิงที่แต่งตัวแหล่มๆ ทั้งนั้นเลย
ซึ่งนั่นหมายความ มาร ซาตานมันพร้อมที่จะสนับสนุนในสิ่งที่ - พี่น้องกำลังจะมองหรือในสิ่งที่พี่ - น้องกำลังจะดู
คำถามก็คือว่า มันวนเวียนอยู่ที่ไหน ? คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ
3. มันวนเวียนอยู่ท่ามกลางพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่เป็นผู้เชื่อและทั้งผู้ที่ไม่เป็นผู้เชื่อ ซึ่งนั่นหมายความว่า มาร ซาตาน มันสามารถที่จะใช้ใครก็ได้ ที่จะให้ตกเป็นเครื่องไม้เครื่องมือมือของมัน
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าจึงบอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้เรานั้นสงบใจและจงระวังให้ดี ดังนั้นพี่ - น้องจะต้องกลั่นกรองใคร่ครวญและพิจารณากันให้ดีๆ เพื่อที่เราจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของมารซาตาน อาเมน
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 10 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
ประการที่ 2 คือ ผู้เชื่อหรือคริสตชนทุกคนนั้นถูกเรียกให้ต่อสู้กับมาร ซาตาน
ก่อนที่เราจะต่อสู้กับมาร ซาตานนั้น ผมอยากพูดกับพี่ - น้องเพื่อให้ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดี และก่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันอย่างชัดเจน และไม่มีความผิดเพี้ยนในเรื่องของความเชื่อหรือไม่ผิดเพี้ยนต่อหลักแห่งศาสนศาสตร์นั่นก็คือว่า
พี่ - น้องอย่าได้คิดเชิง ยกเข่ง หรือ เหมาเข่ง เหมาเอาว่าทุกสิ่งและทุกอย่างนั้นมันมาจากมาร ซาตานเสมอไป ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องด้วยความจริงใจว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นมันมาจาก ซาตัว เหมือนกัน
พี่ - น้องรู้จัก ซาตัว ไหมครับ ? คือ ตัวกูเนี่ยแหละ ที่จะเอาอย่างนั้น เอาอย่างนี้พอถึงคราวที่มีปัญหาก็ไปโทษมาร ซาตาน นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องเพราะฉะนั้นนอกจากมาร ซาตานแล้ว ซาตัว เราก็จะต้องระมัดระวังให้ดีด้วยเช่นกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากที่จะสื่อสารกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า ผู้เชื่อบางคนบอกว่าไม่มีซาตาน พอใครพูดถึงมาร ซาตาน เขาก็จะหัวเราะคริ…คริ…คริ…ทำเป็นเรื่องตลก เหตุเพราะเขาถือว่า พระเยซูทรงชนะโลกนี้แล้ว เพราะฉะนั้นคนพวกนี้เขาจึงปฏิเสธ
ปฏิเสธว่าโลกนี้นั้นไม่มีมารซาตาน เพราะฉะนั้นเขาจึงนั่งอยู่เฉยๆ เพียงอย่างเดียวโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลยได้ไหมครับพี่ - น้อง ? ไม่ได้
ถ้าเราบอกว่า “ พระเยซูทรงชนะโลก ” นี้แล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปหรือเราไม่ต้องต่อสู้แล้ว คำถามก็คือว่า แล้วเราจะรู้จักฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงพระชนมือยู่นั้นได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นพี่ - น้องที่รักครับ ในการเป็นผู้เชื่อหรือในการเป็นคริสเตียนของเรานั้นเราจะต้องสมดุลย์ ถ้าเราไม่สมดุลย์เราก็อาจจะเป็นคริสเตียนที่ผิดเพี้ยนไปได้ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวัง
พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ถ้อยคำที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสว่า “ เราชนะโลกนี้ ” แล้วนั้น เป็นถ้อยคำที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงบอกกับเราว่า“ ถึงแม้โลกใบนี้จะมีศัตรูอยู่ก็จริง ซึ่งนั่นก็คือ มาร ซาตาน แต่ผู้เชื่อที่สวย หล่อและหน้าตาดีอย่างพี่ - น้องและผมก็สามารถที่จะชนะศัตรูตนนี้ได้ แต่มันต้องไม่ใช่ด้วยกำลังของเรา ” แต่มันต้องเป็นกำลังที่มาจากใครครับพี่ - น้อง ?
ในข้อที่ 10 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ จงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า ”ซึ่งนั่นหมายความว่า จะต้องเป็นกำลังที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเท่านั้น เราถึงจะชนะศัตรูตัวที่ร้ายกาจตัวนี้ได้
เพราะฉะนั้นพี่ - น้องที่รักครับ ถ้อยคำที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า “ เราชนะโลกนี้ ” แล้ว จึงเป็นคำตรัสที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเชิญชวนให้พี่ - น้องและผมนั้น ต่างได้เข้ามาร่วมส่วนในชัยชนะนั้นร่วมกับพระองค์
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้พี่ - น้องและผมนั้นนั่งกันอยู่เฉยๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ( ไม่ใช่ ) พี่ - น้องและผมยังคงที่จะต้องทำในส่วนของเราต่อไปนั่นก็คือ เราจะต้องร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในการที่จะต่อสู้กับมาร ซาตานตัวนี้จนถึงที่สุด ( อาเมนไหมครับพี่ - น้อง )
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 13 ให้พี่ - น้องชาย หญิง ได้อ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
ประการที่ 3 คือ เราพบคำสั่งให้ติดอาวุธ
เวลานี้รัฐบาลของท่านนายก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งให้เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ในรัฐบาลของท่านทำอย่างไรครับ ? อย่าติดอาวุธ ซึ่งตรงกันข้ามกับพระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ที่พระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้เรียกร้องให้คริสตชนทำไมครับ ติดอาวุธนี้ครบมือตลอดเวลาอยู่เสมอ
ถ้าพี่ - น้องได้อ่านอย่างพิจารณาพี่ - น้องก็จะพบคำว่า จง กี่ครั้งครับ ? 6 - 7 ครั้งด้วยกันและถ้าพี่ - น้องได้อ่านอย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณากันให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่า ยุทธภัณฑ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้กับเรานั้น เป็นยุทธภัณฑ์ชุดใหญ่เป็นยุทธภัณฑ์ที่ครบชุด เป็นยุทธภัณฑ์ที่ครบเครื่องอย่างแท้จริง เหตุเพราะพระเจ้าทรงรู้ว่าผู้เชื่อทุกคนนั้น จะต้องต่อสู้กับศัตรูที่มีกำลังเหนือมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องใช้ยุทธภัณฑ์ต่างๆ ที่มีกำลังเหนือมนุษย์ด้วยเช่นกัน ( อาเมน ) และยุทธภัณฑ์ที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ยุทธ์ภัณฑ์ที่มีโลโก้หรือเครื่องหมายการผลิตที่ได้รับการรับรองจากพระเจ้าเท่านั้น
ก่อนที่ผมจะแบ่งปันในระดับที่ลึกลงไปในแต่ละยุทธภัณฑ์นั้น ผมอยากที่จะให้พี่ - น้องได้เข้าใจในสภาพความเป็นอยู่ของท่าน อ. เปาโล ผู้ซึ่งเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้สักเล็กน้อยว่าในขณะที่ท่านกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น ท่าน อ. เปาโล มีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร
พี่ - น้องที่รักครับ ท่าน อ. เปาโล เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาทั้งๆ ที่ตัวของท่านเองอยู่ในสภาพของนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหรืออยู่ในคุก มือของท่าน อ. เปาโล มีโซ่ล่ามติดอยู่กับทหารยามคนหนึ่ง
ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า ในขณะที่ท่าน อ. เปาโล ได้เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่นั้น ท่าน อ. เปาโล ท่านมองเห็นถึงเครื่องแบบของทหารโรมที่ใช้ในการสวมใส่อย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นมีอะไรๆ ใส่ติดตัวกันอยู่บ้าง
ด้วยเหตุนี้ท่านอ. เปาโล จึงได้เอาภาพใกล้ๆ ตัวที่ท่านได้เห็นนั้น มาเขียนในทำนองที่ว่า คริสเตียนซึ่งเปรียบเสมือนทหารของพระเจ้าเอง ก็ควรที่จะต้องมียุทธภัณฑ์ที่จะต้องใช้ในการสวมใส่ในการต่อสู้กับ มาร ซาตาน ทั้งนี้เพื่อปกป้องชีวิตทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
อ. เปาโล มองไปที่ทหารของโรม แล้วท่านเห็นว่า ชุดทหารของทหารโรมนั้นมันมีสายเขื่องๆ อยู่เส้นหนึ่งคาดเอาไว้ที่เอว สายนี้จะทำหน้าที่ในการยึดเครื่องแบบทหารเอาไว้ทั้งชุด ให้มันมีความกระชับ ไม่ให้มันหลุดมันล่วง
ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักท่าน อ. เปาโล จึงได้เขียนเอาไว้ในตอนต้นของข้อที่ 14 a ว่าให้คริสเตียนนั้นเอาความจริงคาดเอาไว้ที่เอว พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นความจริง
ซึ่งนั่นหมายความว่าคริสเตียนเราทุกคนจะมั่นคงได้เราก็จะต้องยึดเอาพระคำของพระเจ้า ไม่ใช่ยึดเอาอารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง และก็ไม่ใช่ยึดเอาประสบการณ์ในอดีตของตนเอง มาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต
เพราะฉะนั้นพี่ - น้องคริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม จะต้องรู้ความจริงแห่งพระวจนะ เพราะความจริงแห่งพระวจนะนั้นพิชิตความเท็จของมารได้ อาเมนไหมครับ
ในตอนปลายของข้อที่ 14 b ท่าน อ. เปาโล บอกกับเราว่า ให้คริสเตียนทุกคนนั้นเอาความชอบธรรมเป็นทับทรวง เป็นเครื่องป้องกันอก
ความชอบธรรมที่ท่านอ. เปาโล พูดถึงนี้นั่นก็คือ สิ่งที่ถูกต้อง คริสเตียนทุกคนจะต้องเชื่อและจะต้องดำรงอยู่และจะต้องยืนหยัดอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่พระเจ้าทรงโปรดพอพระทัย และถ้าคริสเตียนทุกคนเลือกที่จะอย่างนี้เขาก็จะปลอดภัยจากการล่อลวงของมาร ซาตาน อาเมน
ในข้อที่ 15 ทำให้เราทราบว่า อ. เปาโล นั้นมองเห็นรองเท้าซึ่งเป็นรองเท้าแตะของพวกทหารโรม ซึ่งใต้พื้นของรองเท้านั้น มันมีปุ่มของตะปูเต็มไปหมดเลย เพื่ออะไร
คำตอบก็คือ เพื่อที่จะยึดกับพื้นดินให้ได้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการต่อสู้กับศัตรูมันจะช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า คริสเตียนเมื่อสวมรองเท้าแล้วเราจะต้องรู้ว่า 1. เราจะต้องออกไปทำสงครามกับมาร ซาตาน เพื่อช่วงชิงจิตวิญญาณของคนที่ยังไม่ได้รับความรอดนั้น ให้มาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 2. เราจะต้องออกไปประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าให้กับผู้คนมากมายที่ยังติดอยู่ในกับดักหรือติดอยู่ในบ่วงแร้วของมาร แล้วเมื่อคนเหล่านี้ได้มารู้จักกับพระเจ้าพระเยซูเขาก็จะพบกับสันติสุขที่แท้จริง
เช่นเดียวกับท่านอ. เปโตร ที่เมื่อเขาสวมรองเท้าแล้วเขาออกไปประกาศกับคนยิว เช่นเดียวกับท่าน อ. เปาโล ที่เมื่อเขาสวมใส่รองเท้าแล้ว เขาได้ไปประกาศคนต่างชาติหรือชาวมาซิโดเนีย เป็นต้น
คำถามที่สำคัญก็คือว่า ในการแต่งตัวออกจากบ้านของพี่ - น้องในทุกๆ วันนี้เมื่อพี่ - น้องและผมได้สวมใส่รองเท้าแล้ว เราอยู่ในท่าทีอย่างเดียวกันกับท่าน อ. เปโตร หรือท่าน อ. เปาโลหรือไม่ ?
ยุวชนของคริสตจักรไทยโดยส่วนมากเมื่อสวมรองเท้าแล้ว ก็มักที่จะพากันไปที่ร้านเกมส์ใช่หรือไม่ อนุชนเมื่อสวมรองเท้าแล้วก็มักที่จะพากันไปเที่ยวกับเพื่อนแถมเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อเสียด้วย คนหนุ่มคนสาวในคริสตจักรเมื่อสวมรองเท้าแล้วก็พากันไปกับคนหน้าแปลกหรือคนแปลกหน้า
คนทำงานส่วนมากเมื่อสวมรองเท้าแล้ว ก็มักจะพากันไปเดินที่โลตัสหรือไม่ก็ตลาดนัดกลางบางแก้ว พอสูงอายุหน่อยก็เดินมันอยู่ในบ้านนั้นแหละ ชวนไปเซลล์ก็ไม่ยอมไป กลัวฝนมันจะตกจริงไหรือไม่จริง พี่ - น้องบางคนกลัวบ้านมันจะเปียกหรือไม่กลัวของจะหายทั้งๆ ที่บ้านของพี่ - น้องหลายคนก็ไม่ได้มีอะไรที่จะน่าขโมยสักอย่างเลย
ขอพระเจ้าเมตตาพวกเรา ที่ทุกครั้งเมื่อพี่ - น้องและผมสวมรองเท้าแล้วเราจะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าบ้าง
ในข้อที่ 16 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ เอาความเชื่อเป็นโล่ ” พี่ - น้องที่รักครับโล่บางอันก็เป็นแผ่นเหล็กหนาๆ ซึ่งหนักมาก ซึ่งผมเองก็เคยยกมาแล้วที่โบสถ์ของท่าน อ. ไพฑูรย์ โล่บางอันก็เป็นแผ่นหนังแข็งๆ โล่เหล่านี้ทำหน้าที่ในการกันคมหอกคมดาบและลูกศรเพลิง เป็นต้น
พี่ - น้องจะต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนนะครับว่า ในเรื่องของความเชื่อในพระคัมภีร์นั้นมี 2 ความหมายด้วยกัน ความหมายแรกนั้นคือ หลักข้อเชื่อใหญ่ๆ ของคริสเตียน ความหมายที่ 2 นั่นก็คือ ลักษณะของความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าในข้อนี้ ต้องการที่ให้พี่ - น้องและผมนั้นที่จะมีความเข้าใจในความหมายที่ 2 นั่นก็คือ มีความเชื่อและมีความวางใจในพระเจ้า
ให้พี่ - น้องชายหญิงเปิดไปที่หนังสือ 1 ปต. 5 : 9 และอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าจงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยจิตใจที่มั่นคงในความเชื่อ
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าในเวลานี้มาร ซาตาน มันได้ยิงลูกศรเพลิงของมันเข้ามาหาพี่ - น้องและผม พี่ - น้องและผมจะต้องมีความเชื่อและมีความไว้วางใจว่า ลูกศรเพลิงของพญามารนั้นมันจะไม่มาถึงเรา เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้ดับลูกศรเพลิงนั้นเสียกลางอากาศในทันที อาเมนไหมครับ เราจะต้องมีความเชื่ออย่างนั้นนะครับ
ในข้อที่ 17 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “ จงเอาความรอดนั้นเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ ”ทำไมพระคำของพระเจ้าถึงได้ตรัสเอาไว้อย่างนั้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
พี่ - น้องทราบไหมครับ ว่าสมรภูมิรบระหว่างผู้เชื่อกับมาร ซาตานนั้นอยู่ที่ไหนอยู่ที่ความคิดหรือหัวสมองกับจิตใจของเรานี่เอง ดังนั้นมันจึงไม่เรื่องที่แปลก ที่ท่าน อ. เปาโล ได้บอกกับเราเอาไว้ว่า “ จงเอาความรอดนั้นเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ ”
ท่าน อ. เปาโล ต้องการที่จะบอกกับผู้เชื่อทุกคนว่า ให้คริสเตียนเรานั้นมีศีรษะหรือมีสมองเอาไว้คิด หลายๆ คนอาจจะบอกว่าอาจารย์ คนก็มีสมองเอาไว้คิดด้วยกันทั้งนั้นแหละ ? ใช่ครับ ถูกครับและไม่ผิด
แต่…มันต้องไม่ใช่อย่างที่มนุษย์ในโลกนี้คิด มนุษย์ในโลกนี้เขาคิดอย่างไร ? เขาคิดถึงแต่ตัวเอง ครอบครัวตัวเอง คนที่เรารัก มนุษย์ในโลกนี้เขาคิดถึงแต่ธุรกิจหรือผลกำไรของตัวเอง จริงหรือไม่จริงครับพี่ - น้อง
แต่คริสเตียนที่เติบโตในทางของพระเจ้าแล้ว เขาจะต้องใช้ศีรษะหรือใช้สมองคิดอย่างที่พระเจ้าคิด เช่น พระเจ้ามีความคิดที่จะให้มนุษย์นั้นได้รับความรอด พี่ - น้องและผมก็จะต้องคิดว่า เราจะเห็นคนใน จ. สมุทรสงคราม นี้รอดจากการถูกพิพากษาในบึงไฟนรกนี้ได้อย่างไร เช่น พระบุตรคิดถึงแผนการบนไม้กางเขนของพระบิดา ทำให้พระเจ้าได้รับพระเกียรติและพระสิริ เราจะยอมถูกกดขี่ข่มเหงเพื่อให้พระคริสต์ได้รับพระเกียรติและพระสิริในชีวิตของเราได้ไหม
ดังนั้น ถ้ามนุษย์เราไม่ได้มีอะไรมาปกป้องความคิดของตัวเราเองแล้ว ความชั่ว ความเห็นแก่ตัวและอะไรต่อมิอะไรอีกหลายๆ อย่างที่มันอยู่ในกมลสันดานของมนุษย์ มันก็สามารถที่จะเข้ามาทางความคิดของเราได้ อาจจะกล่าวได้ว่า ความคิดของคริสเตียนที่อยู่ในทางของพระเจ้านั้น จะทำให้ผู้เชื่อนั้นได้รับความรอดอยู่เสมอ ( ให้พี่ - น้องบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวา ว่าให้คุณคิดแบบพระเจ้า )
ในข้อที่ 17 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ จงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้าในการต่อสู้กับมาร ”
และถ้าพี่ - น้องยังจำกันได้พี่ - น้องก็จะพบว่าในมัทธิวบทที่ 4 นั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้พระวจนะของพระเจ้านั้นต่อสู้กับมารถึง 3 ครั้ง
พี่ - น้องยังจำได้ไหมครับ “พระเยซูตรัสว่ามีคำเขียนว่า” แล้วตามด้วยพระวจนะ “พระเยซูตรัสว่ามีคำเขียนว่า” แล้วตามด้วยพระวจนะ “พระเยซูตรัสว่ามีคำเขียนว่า”แล้วตามด้วยพระวจนะในทุกๆ ครั้ง ( ใช่ไหมครับ )
และด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักเป็นเหตุทำให้มาร ซาตาน จึงต้องหนีจากพระองค์ไป อาจจะกล่าวได้ว่า “ ยุทธภัณฑ์ ” ทั้งหมดที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสสั่งให้พี่ - น้องและผมได้สวมใส่นั้น อาวุธชิ้นนี้เป็นเพียงชิ้นเดียวที่ถือได้ว่าเป็นอาวุธเชิงรุกนอกนั้นถือได้ว่าเป็นอาวุธเชิงรับทั้งสิ้น แล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ได้เอาแสงของพระวิญญาณหรืออาวุธเชิงรุกชิ้นนี้ใส่เอาไว้ในมือของพี่ - น้องและผมเรียบร้อยแล้วเพื่อใช้ในการต่อสู้กับพญามารหรือเพื่อใช้ในการต่อสู้กับการทดลองที่เข้ามาทุกชนิด
ปัญหาก็คือว่า คริสเตียนส่วนมากไม่ค่อยที่จะสนใจอาวุธฝ่ายวิญญาณชิ้นนี้กันสักเท่าไหร่ ปัญหาที่ตามมาก็คือ พอเราจะต้องทำสงครามกับพญามาร เราชักมันไม่ค่อยจะออกเพราะดาบมันขึ้นสนิม บางคนชักดาบนี้ออกจากฝักก็จริงอยู่ แต่ฟันไม่ค่อยจะเข้าเพราะดาบมันไม่มีความคมเลย ที่แย่ที่สุดคือ คริสเตียนบางคนชักพระแสงนี้ออกมาดาบเกิดหักคาฝักเอาดื้อๆ กลายเป็นลูกหลานของพิชัยดาบหักไปโดยอัตโนมัติ ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวา คุณคงไม่ใช่คนนั้น )
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า คริสเตียนหลายต่อคนอายที่จะพกดาบหรือพกพระคัมภีร์ติดตัวไปด้วย กลัวเพื่อนบ้านจะถามว่าหนังสืออะไรอ่ะทำไมเล่มมันหนาๆ ผู้เชื่อใหม่บางคนบอกไม่รู้สิที่โบสถ์เขาให้มา
พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนเราไม่ควรที่จะอายในการพกพาอาวุธของพระเจ้าและคริสเตียนไม่ควรอายที่จะบอกกับคนทั้งปวงว่านี่คือพระแสงดาบของพระเจ้า
เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดครบหรือยังครับ ( ยัง ) เกือบจะครบชุดแล้วแต่ยังไม่ครบ
ในข้อที่ 18 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้เรานั้นได้อธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ ในการรบหรือในการสงครามนั้น การสื่อสาร ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานหนึ่งที่สำคัญต่อการพิชิตศึกสงครามเป็นอย่างมาก
สงครามในฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ ที่ถือว่าฝ่ายการสื่อสารหรือการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ท่าน อ. เปาโล จึงได้บอกกับผู้เชื่อทุกๆ คนว่าอย่าได้ขาดการติดต่อจากพระเจ้าเป็นอันขาดหรือเราอย่าได้ลืมโทรศัพท์ติดต่อกับศูนย์หรือกองบัญชาการใหญ่ของพระเจ้าอย่างเด็ดขาด
เพราะถ้าพี่ - น้องและผมขาดการติดต่อจากพระเจ้าเมื่อใด เราอาจจะขาดกำลังจากพระเจ้า เราอาจจะการสนับสนุนในบางเรื่องจากพระเจ้า หรือเราอาจจะขาดการส่งกองกำลังบำรุงจากพระเจ้า และหรือเราอาจขาดยุทธวิธีในการทำสงครามจากพระเจ้าก็เป็นได้
การอธิษฐานที่ท่าน อ. เปาโล ได้หนุนใจเราให้มีต่อการทำสงครามที่ไม่สิ้นสุดนี้นั่นก็คือ ให้ผู้เชื่อได้อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ อธิษฐานด้วยหัวใจที่ร้อนรน หนักแน่นมั่นคงไม่อ่อนระอาใจ และบริบูรณ์ทุกเวลา ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้ผู้เชื่อนั้นเก็บทุกๆ หัวข้อของการอธิษฐาน
และถ้าพี่ - น้องและผมได้ทำอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าได้สอนเราในเช้าวันนี้พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ลูกศรเพลิงของพญามารมันไม่มาสามารถที่จะทำอะไรพี่ - น้องและผมได้อย่างแน่นอน
สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้
1. ศัตรูของเราคือพญามาร 2. คริสเตียนถูกเรียกให้ต่อสู้กับมาร 3. ในสงครามที่ไม่สิ้นสุดนี้คริสเตียนถูกสั่งให้ติดอาวุธครอบมือตลอด 24 ชั่วโมง
ขอพระเจ้าอำนวยพระพร
ก้องภพ